มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 158 ชิงกระถางสัมฤทธิ์
ฮ่องเต้แคว้นฉินได้สติขึ้นมา เขามองดูจิ๋งจิ่วที่ยืนอยู่ตรงหน้ากระถางสัมฤทธิ์ ใบหน้าคล้ายวิญญาณหลุดออกจากร่าง กล่าวพึมพำว่า “เป็นไปไม่ได้ กฎจะถูกทำลายได้อย่างไร?”
จิ๋งจิ่วหมุนตัวกลับมามองเขา รู้สึกว่าคำถามนี้ช่างโง่เขลานัก
ความหมายหรือพูดอีกอย่างก็คือเป้าหมายของการบำเพ็ญพรตก็คือการทำลายกฎเกณฑ์ หลุดพ้นออกจากพันธนาการ โบยบินขึ้นไปสู่ธรรมะวิถี
หากหวังจะให้สวรรค์เห็นใจหรือว่าอนุญาต นั่นคงจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เจ้าจำเป็นต้องไม่หวาดกลัวทัณฑ์สวรรค์ ถึงจะสามารถสะบั้นแผ่นฟ้าแล้วออกไปได้
ไม่ว่าจะเป็นโลกแห่งความจริงหรือว่าดินแดนแห่งความฝันก็ล้วนแต่เป็นเช่นนี้
นับตั้งแต่วันแรกที่เขามาเกิดอยู่ในวังแคว้นฉู่และได้ยินคำพูดในหัวสมองประโยคนั้น เขาก็ไม่เคยคิดที่จะไถ่ถามกระถางสัมฤทธิ์อะไรนั่น
สิ่งที่เขาคิดก็คือ — ชิงกระถางสัมฤทธิ์!
การกลายเป็นเจ้าแห่งใต้หล้า และได้รับการยอมรับจากเทวทูตนั้นมิได้มีความหมายอะไรเลย เพราะนั่นยังคงเป็นการฝากความหวังไว้กับสวรรค์ หรือก็คือคนอื่น
ขอเพียงทลายกฎเกณฑ์ ทำลายขีดจำกัดของโลกนี้ กระถางสัมฤทธิ์ก็จะตกเป็นของเขา
หลายๆ คนรวมไปถึงฮ่องเต้แคว้นฉินต่างมองว่านี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับเขาแล้ว นี่กลับเป็นเรื่องที่ผู้แสวงมรรคาทุกคนควรจะทำ
โลกภายในคันฉ่องฟ้ากระจ่างตายตัวไม่เปลี่ยนแปลง ผู้แสวงมรรคามาจากโลกด้านนอก ขอเพียงรักษาใจแห่งเต๋าให้ใสกระจ่าง ในดวงตาก็จะไม่มีอุปสรรคใดๆ ขวางกั้นอยู่ตรงหน้า
ใช้ความจริงเข้าสู่ความลวงตา กฎเกณฑ์ของที่นี่จะพันธนาการพวกเขาเอาไว้ได้อย่างไร?
เรื่องนี้พูดแล้วฟังดูง่าย แต่ความจริงแล้วกลับยากลำบากเป็นอย่างมาก นอกจากคนที่มีใจแห่งกระบี่ใสกระจ่างและมองข้ามอุปสรรคต่างๆ อย่างจิ๋งจิ่วแล้ว ยังจะมีใครที่สามารถทำเช่นนี้ได้อีก?
“ต่อให้ทำลายกฎเกณฑ์ แล้วจะเอายันต์เซียนมาได้อย่างไร?”
ฮ่องเต้แคว้นฉินตะโกนอย่างไม่ยอมรับจากทางด้านหลังเขา “หากเจ้าได้รับการยอมรับจากท่านเทวทูต ท่านก็จะเอายันต์เซียนมอบให้แก่เจ้า แล้วตอนนี้ใครยังจะเอายันต์เซียนให้เจ้าได้อีก!”
ลวดลายที่อยู่บนผิวกระถางสัมฤทธิ์แผ่กระจายพลังเซียนบางๆ ออกมา ดูแล้วยันต์เซียนวัฒนะน่าจะอยู่ด้านใน เพียงแต่ถ้าหากเป็นเหมือนอย่างที่ฮ่องเต้แคว้นฉินว่ามา แล้วจิ๋งจิ่วจะเอายันต์เซียนออกมาได้อย่างไร?
“กฎก็คือเครื่องประดับของโลก หลังจากหายไปแล้ว ความจริงทุกอย่างก็จะปรากฏออกมา”
จิ๋งจิ่วมิได้สนใจฮ่องเต้แคว้นฉิน เขามองดูกระถางสัมฤทธิ์พลางกล่าวว่า “ที่แท้เจ้าก็คือยันต์เซียน”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็ยื่นมือเตรียมจะหยิบกระถาง
มือของเขาห่างจากกระถางสัมฤทธิ์อีกเพียงเล็กน้อย แต่จู่ๆ พลันหยุดลง
เขาค่อยๆ หดมือขวากลับมา มองดูกระถางสัมฤทธิ์อย่างเงียบๆ นิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร หรือว่ากำลังรออะไร
ฮ่องเต้แคว้นฉินมองดูแผ่นหลังของเขา ในใจเกิดความรู้สึกสงสัยและไม่สบายใจขึ้นมาเป็นอย่างรุนแรง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ จิ๋งจิ่วเปลี่ยนเป็นมือซ้าย ยื่นไปหากระถางสัมฤทธิ์อีกครั้ง
ในเมื่อทำการตัดสินใจออกมาแล้ว ก็จะลังเลไม่ได้อีก การเคลื่อนไหวของเขา เป็นเหมือนดั่งสายลมที่แผ่วเบาที่สุดและสายฟ้าที่รวดเร็วที่สุด คว้าจับกระถางสัมฤทธิ์เอาไว้
ในช่วงเวลาสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา เขามองดูกระถางสัมฤทธิ์ใบนี้อยู่ในวัดมาแล้วหลายครั้ง แล้วก็เคยจับมาแล้วหลายครั้ง มั่นใจว่ามันเป็นเพียงกระถางสัมฤทธิ์ธรรมดาใบหนึ่ง
แต่ครั้งนี้เขารับรู้ได้ถึงความแตกต่างที่ชัดเจน
พลังเซียนที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากสายหนึ่ง
แล้วก็ยังมีความคิดที่โดดเดี่ยวและเล็กจ้อย
กระถางสัมฤทธิ์พลันหายไป
สีหน้าของจิ๋งจิ่วแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง มือซ้ายกำแน่นเป็นหมัด
ลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วน สาดกระจายออกมาจากในมือของเขา ส่องสว่างจนมือของเขาสว่างเจิดจ้า มองเห็นกระทั่งกระดูกที่อยู่ด้านในได้อย่างชัดเจน
ภาพนี้ช่างงดงามและแปลกประหลาด
ลำแสงเหล่านั้นแฝงเอาไว้ด้วยพลังเซียนที่บริสุทธิ์และสง่างาม ดูคล้ายอ่อนโยน แต่ไม่รู้ว่าแฝงพลังเอาไว้มากน้อยเท่าไหร่
จิ๋งจิ่วสองคิ้วขมวดขึ้น ร่างกายสั่นเทาขึ้นมาเบาๆ
ความเจ็บปวดที่เขากำลังแบกรับอยู่ในขณะนี้ได้เหนือไปกว่าที่เขาได้แสดงออกมาแล้ว
นี่คือการโจมตีของพลังเซียน!
หากเปลี่ยนเป็นผู้แสวงมรรคาคนอื่น ต่อให้เป็นเจ้าล่าเยวี่ยที่มีใจแห่งเต่ามั่นคงที่สุด ในเวลานี้ก็คงได้แต่ต้องปล่อยมือ
จิ๋งจิ่วมิได้ปล่อยมือ สีหน้ายิ่งขาวซีดขึ้นเรื่อยๆ ดูคล้ายกระดาษ
ไกลออกไปบนยอดเขา มีเสียงนกร้องดังขึ้นมา คล้ายกำลังบอกเตือน
โลหิตสดๆ ไหลออกมาจากริมฝีปากของเขา แต่เขาก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ
เสียงกระดิ่งที่ดังสดใสเสียงหนึ่งดังมาจากในท้องฟ้าที่ไกลออกไป หรืออาจจะมาจากโลกภายนอก
สายตาของจิ๋งจิ่วยิ่งดูชัดเจนขึ้น จนคล้ายเฉยชา เขากล่าวตะโกนเบาๆ ว่า
“เก็บ!”
เสียงฟึบเบาๆ ดังขึ้น
คล้ายกับหนังสือเล่มหนึ่งที่ประกบปิด
เสียงตูมดังสนั่น
เสียงฟ้าคำรามนับหลายร้อยดังขึ้นพร้อมกัน จากนั้นหายไปในพริบตา
ภูเขาปู้โจวสั่นสะเทือนขึ้นมา คล้ายว่ากำลังจะพังทลายลง
เศษหินที่อยู่บนยอดเขาลอยขึ้นมากลางอากาศ ก่อนจะกระจายตัวออกไปรอยๆ
ทะเลเมฆที่อยู่ไกลออกเป็นก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
สรรพสิ่งจำนวนนับไม่ถ้วนได้ถูกพลังที่ไร้รูปลักษณ์บางอย่างบีบให้ถอยออกไปยังขอบของท้องฟ้าอันว่างเปล่า!
สีฟ้ายิ่งฟ้าขึ้น ส่วนที่โล่งก็ยิ่งโล่งขึ้น
บนยอดเขามีพื้นที่โล่งปรากฏขึ้นมา
……
……
จิ๋งจิ่วยืนอยู่ตรงกลางพื้นที่โล่ง มองขึ้นไปบนท้องฟ้า
เขาพบว่าท้องฟ้าคล้ายจะบางลง หรือก็คือเข้ามาใกล้ขึ้น
จากนั้นเขามองดูพื้น พบว่าพื้นคล้ายจะหนาขึ้น หรือก็คือเข้ามาใกล้ขึ้น
นี่ก็หมายความว่าฟ้าดินคล้ายจะขยับเข้ามาใกล้ขึ้นกว่าแต่ก่อน
จากนั้นเขาก้มมองดูมือซ้ายของตนเอง
มือซ้ายของเขายังคงกำแน่น หว่างนิ้วมีพลังเซียนแผ่กระจายออกมา
พลังเซียนที่ว่านั้นเบาบาง นอกจากเขาแล้วน่าจะไม่มีใครสัมผัสถึงมันได้
ยันต์เซียนอยู่ในมือ ถึงเวลาที่ต้องจากไปแล้ว
เขาทอดตามองออกไป จากทะเลสีครามทางด้านตะวันออกไปยังเมืองหลวงของแคว้นฉู่ที่อยู่ทางด้านตะวันตก สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่ภูเขา พบว่าใบไม้ที่เป็นสีเขียวเปลี่ยนกลับเป็นสีแดงอีกครั้ง
“ไปล่ะ”
ไม่รู้ว่าประโยคนี้เขาพูดกับใคร
เขาเหยียบอากาศทะยานออกไป
……
……
เขาอวิ๋นเมิ่ง
หุบเขาหุยอิน
ภายในถ้ำที่อยู่ด้านหลังหอ
ริมคันฉ่องฟ้ากระจ่าง
สายตาจำนวนมากมองไปยังจิ๋งจิ่ว
พริบตาที่เขาลุกยืนขึ้นมาจากอาสนะ ผู้แสวงมรรคาทั้งหมดก็รู้ว่ากำลังมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น
จู่ๆ จิ๋งจิ่วก็ขยับขึ้นมา ก้าวเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
จากนั้นเขาลืมตาตื่นขึ้นมา
เขามองออกไปรอบๆ มองเห็นหลิ่วสือซุ่ย ไป๋เจ่า ถงเหยียน จัวหรูซุ่ย แล้วก็มีผู้แสวงมรรคาที่จำชื่อไม่ได้เหล่านั้น
ผู้แสวงมรรคาทั้งหมด รวมไปถึงถงเหยียนต่างพากันโค้งคารวะให้แก่เขาเพื่อเป็นการแสดงความยินดี
จิ๋งจิ่วพยักหน้ารับการคารวะเอาไว้ เขามองหลิ่วสือซุ่ย ย่างเท้าเดินออกไปนอกถ้ำ
กระดิ่งเครื่องเคลือบอันนั้นยังคงส่งเสียงดังสดใส ลอยตามอยู่ด้านหลังเขา
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ ทุกคนต่างตกใจ
ผู้แสวงมรรคามักจะเกิดความรู้สึกสับสนและผิดหวังหลังจากที่ตื่นขึ้นมาจากในดินแดนแห่งความฝันของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง แม้แต่คนอย่างซีอี้อวิ๋นก็ใช้เวลาอยู่ครู่นึงจะสามารถสงบสติอารมณ์ได้
จะมีใครที่สามารถสงบนิ่งได้เหมือนอย่างเขา คล้ายไม่จำเป็นต้องใช้เวลาในการปรับตัวจากภาพลวงตาเข้ามาสู่ความเป็นจริง เหมือนกับว่าช่วงเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมานั้นไม่มีอยู่อย่างไรอย่างนั้น!
“หยุดนะ!”
ภายในถ้ำพลันมีเสียงตะโกนอย่างโกรธแค้นดังขึ้นมา
ทุกคนหันไปมอง
ไป๋เชียนจวินนั่งอยู่บนอาสนะ เขาเองก็ลืมตาตื่นขึ้นมา ในดวงตาเต็มไปด้วยสายตาที่โกรธแค้นและไม่ยินยอม
“เจ้าไม่ทำตามกฎ! ข้าไม่ยอม!”
ถงเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย คิ้วจึงดูหนาขึ้นกว่าเดิม
เขารู้ว่าในเวลานี้ศิษย์น้องไม่สะดวกที่จะพูดอะไร เขาจึงเตรียมเอ่ยปาก
ไม่มีใครคิดถึงว่าในเวลานี้ไป๋เชียนจวินที่เพิ่งจะตื่นขึ้นมาจากดินแดนแห่งความฝันจะยังคงก่อความวุ่นวายตามนิสัยของฮ่องเต้แคว้นฉินที่เกรี้ยวกราดดุร้าย
เขาใช้วิชาหลบหนีฟ้าดินตามมายังด้านหลังของจิ๋งจิ่ว ปล่อยหมัดออกไปหมัดหนึ่ง!
ในกำปั้นของเขาเปล่งแสงสีขาวจางๆ ออกมา แฝงเอาไว้ด้วยพลังจักรวาลอันแข็งแกร่ง
จิ๋งจิ่วหมุนตัว ปล่อยหมัดออกไปหมัดหนึ่งอย่างสบายๆ เช่นกัน
ไป๋เจ่าลอบอุทานในใจว่าแย่แล้ว จิ๋งจิ่วปล่อยหมัดออกไปปะทะโดยไม่รู้ว่าศิษย์พี่นั้นใช้ของวิเศษประจำกาย เกรงว่าคงจะต้องเสียเปรียบอย่างมาก
นางมั่นใจในตัวจิ๋งจิ่วเป็นอย่างมาก ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตนเองจะต้องลงมือ ในเวลานี้หากคิดอยากจะเรียกระฆังมหาบรรพตทิศใต้ออกมาก็คงจะไม่ทันการเสียแล้ว
สิ่งที่สำนักชิงซานฝึกก็คือกระบี่ สิ่งที่สำนักจงโจวฝึกก็คือพลังจักรวาล ต่างมิได้เน้นหนักเรื่องพละกำลัง แต่ในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญพรต ร่างกายแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า กำปั้นก็ย่อมต้องแข็งแกร่งดุจค้อนเช่นเดียวกัน ทุกคนต่างคิดว่าในตอนที่กำปั้นทั้งสองปะทะเข้าด้วยกันจะต้องทำให้เกิดเสียงดังกัมปนาทราวเสียงฟ้าคำรามอย่างแน่นอน แต่ใครจะไปคิดบ้างว่าเสียงที่ดังสะท้อนไปมาในถ้ำหลังจากนั้นจะกลายเป็นเสียง…..
“แคร่ก!”
เสียงแคร่กนี้ดังชัดเจนยิ่งนัก คล้ายกับผลไม้ที่เพิ่งจะเด็ดลงมาถูกเด็กหนุ่มบางคนใช้มือบิมันออกเป็นสองส่วน แล้วก็คล้ายอ้อยสดที่ถูกหักครึ่ง
ความจริงเสียงนี้คล้ายกับเสียงโต๊ะและเก้าอี้ที่ขาดการซ่อมแซมมาเป็นเวลานานถูกคนทับจนหักลงมา
ก็เหมือนกับวัดบนยอดเขาปู้โจวที่กลายเป็นเศษซากปรักหักพังแห่งนั้น
ภายในเสียงแคร่ก กำปั้นของไป๋เชียนจวินถูกกระแทกจนฉีกกระจาย นิ้วมือทั้งห้าขาดสะบั้น อาวุธวิเศษประจำกายแตกออกเป็นชิ้นๆ
พลังอันน่ากลัวอย่างที่อยากจะจินตนาการได้สายนั้นลุกลามขึ้นไปบนแขน กระแทกกระดูกแขนและกระดูกสะบักจนแตกหัก กระทั่งกระดูกซี่โครงตรงหน้าอกก็ยังเกิดเป็นรอยแตกร้าวจำนวนนับไม่ถ้วน
เรียกได้ว่าบดขยี้อย่างย่อยยับ
ไป๋เชียนจวินถูกต่อยจนกระเด็น ลอยไปตกลงในคันฉ่องฟ้ากระจ่างอย่างแรง เลือดสดๆ กระอักออกมาจำนวนนับไม่ถ้วน
ภายในถ้ำตกอยู่ในความเงียบ
ทุกคนมองไปทางจิ๋งจิ่วอย่างตกตะลึง
ทั่วทั้งโลกต่างรู้จิ๋งจิ่วคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวของยุคสมัยนี้ โดยเฉพาะหลังจากการประลองกระบี่กับจัวหรูซุ่ยครั้งนั้น แต่ไป๋เชียนจวินเองก็เป็นอัจฉริยะที่สำนักจงโจวแอบฟูมฟักขึ้นมาอย่างลับๆ เช่นเดียวกัน ตามหลักแล้วสภาวะของทั้งสองฝ่ายไม่มีทางแตกต่างกันมากขนาดนี้อย่างแน่นอน
เหตุใดหมัดที่จิ๋งจิ่วปล่อยออกไปปะทะกับไป๋เชียนจวินถึงได้มีอานุภาพที่รุนแรงขนาดนี้?
นี่จะต้องมิได้เกิดจากความต่างกันของสภาวะอย่างแน่นอน แล้วก็มิได้มีสาเหตุมาจากปริมาณของปราณกระบี่ด้วย
สายตาทุกคนมองไปบนกำปั้นของจิ๋งจิ่ว ก่อนจะพบว่าเขาใช้กำปั้นมือซ้าย
ถงเหยียนคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ — หลังจากที่ตื่นขึ้นมาจากดินแดนแห่งความฝันของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง มือซ้ายของจิ๋งจิ่วก็กำอยู่ตลอด ไม่เคยคลายออกเลย
เมื่อคิดถึงภาพสุดท้าย ในดินแดนแห่งความฝัน เขาพลันเกิดความคิดคาดเดาแปลกๆ อย่างหนึ่งขึ้นมา หรือว่าจิ๋งจิ่วจะมิได้เก็บยันต์เซียนเอาไว้ หากแต่กำอยู่ในมือตลอดเวลา?
………………………………………………………………………….