มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 159 เด็ดท้อ
คันฉ่องฟ้ากระจ่างหยุดหมุนแล้ว ไป๋เชียนจวินลอยตกลงไปด้านบน เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้
ไป๋เจ่ารู้จักนิสัยของจิ๋งจิ่ว รู้ว่าเขาไม่มีทางรามือแค่นี้แน่
แล้วก็เป็นจริงดั่งว่า จิ๋งจิ่วเตรียมจะเดินขึ้นไปบนคันฉ่องฟ้ากระจ่าง
แต่ไป๋เจ่ายังไม่ทันจะได้เอ่ยปากพูดอะไร เขาก็พลันหยุดฝีเท้าลง
แสงสว่างที่ทอดลงมาจากทางด้านบนโพรงถ้ำพลันมืดสลัวลง มือยักษ์ที่รวมตัวขึ้นมาจากแสงสีเขียวข้างหนึ่งลอยลงมา
ไป๋เจ่ามายืนอยู่ตรงหน้าจิ๋งจิ่วอย่างเงียบๆ
ถงเหยียนกล่าวคารวะว่า “คารวะอาจารย์”
เหล่าผู้แสวงมรรคาที่อยู่ในถ้ำถึงได้รู้ว่านักพรตไป๋ได้ลงมาแล้ว จึงรีบโค้งตัวคำนับ ทำตัวสงบเสงี่ยม มิกล้าพูดอะไร
มือข้างนั้นลอยลงไปตรงกลางของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง คีบเอาไข่มุกคืนสวรรค์ขึ้นมา แล้วก็พาไป๋เชียนจวินออกไปด้วย
ผ่านไปครู่หนึ่ง เหล่าผู้แสวงมรรคามั่นใจว่านักพรตไป๋ได้จากไปแล้ว พวกเขาจึงทยอยลุกขึ้นยืน สีหน้าดูผ่อนคลายลง
ในเวลานี้เอง ด้านข้างคันฉ่องฟ้ากระจ่างพลันมีเสียงดังขึ้นมา
“ทำไมเจ้าถึงต้องรีบขนาดนี้ล่ะ?”
คนที่พูดคือเหอจาน เขาตื่นขึ้นมาแล้ว ภายในดวงตามิได้มีความรู้สึกผิดหวังและทอดถอนใจมากนัก มีเพียงแค่ความรู้สึกหวนรำลึกและความรู้สึกเสียดายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ในเวลานี้ทุกคนถึงนึกขึ้นมาได้ว่าเขาก็คือผู้แสวงมรรคาคนสุดท้ายที่ออกมาจากถึงแดนแห่งความฝันของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง เพียงแต่คำพูดประโยคนี้มันหมายความว่าอย่างไร ต้องรออะไร?
เหอจานลุกขึ้นยืน มองจิ๋งจิ่วพลางกล่าวว่า “ข้าใช้ชีวิตอยู่บนทะเลมีความสุขอย่างมาก เจ้าน่าจะให้ข้าได้อยู่ตรงนั้นต่ออีกสักหลายปีนะ”
จิ๋งจิ่วมองดูเขาเงียบๆ พลางกล่าว “ที่นี่ก็มีทะเลและท้องฟ้าเหมือนกัน”
เหอจานกล่าวว่า “แต่ไม่มีคนเหล่านั้น”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ที่นี่ก็มีคน”
เหอจานนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “เจ้าพูดมีเหตุผล”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็มองไปทางถงเหยียน
จากนั้นเขามองไปยังคันฉ่องฟ้ากระจ่างที่ดูคล้ายดินน้ำมันที่หยุดหมุนไปแล้ว พลางกล่าวว่า “สักวันข้าจะกลับไปดูที่นั่นอีกครั้ง เจ้าล่ะ?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “อาจจะ”
……
……
งานชุมนุมแสวงมรรคาจบลงแล้ว แต่แม่นางชิงเอ๋อร์กลับไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง เหล่าผู้บำเพ็ญพรตที่เข้าร่วมงานชุมนุมแสวงมรรคาต่างเดินออกมาจากถ้ำด้วยตนเอง ออกมาจากหอเล็ก มายังด้านนอกหุบเขาหุยอิน
เหล่าผู้บำเพ็ญพรตจากหลายสำนักที่รอคอยอยู่ข้างพากันเข้าไปกับสอบถามผู้แสวงมรรคาและแสดงความห่วงใย
หลิ่วสือซุ่ยกลับไปยังแท่นชมการประลองของศิษย์สำนักอู๋เอินเหมิน ไม่มีใครสังเกตเห็น
ศิษย์สำนักชิงซานอย่างเยาซงซานและเหลยอี้จิงพากันแสดงความตื่นเต้นยินดี พวกเขาเดินเข้ามาหาจิ๋งจิ่วพลางกล่าวว่า “อาจารย์อาเล็กแข็งแกร่งยิ่งนัก”
จิ๋งจิ่วพยักหน้าอย่างสงบนิ่ง จากนั้นหมุนตัวเดินเข้าไปหาเซ่อเซ่อที่อยู่ใต้ต้นไม้พลางกล่าวว่า “กระดิ่งของเจ้าใช้ดีมาก”
เซ่อเซ่อยื่นมือเรียกกระดิ่งกลับเข้าไปในแขนเสื้อ ก่อนจะกล่าวอย่างภูมิใจว่า “กระดิ่งของข้าย่อมต้องใช้ดีอยู่แล้ว อย่าลืมเรื่องที่รับปากข้าไว้ก็พอ”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เพิ่มให้อีกห้าคน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของเซ่อเซ่อพลันเปล่งประกายขึ้นมา ในใจคิดว่าฆ่าเพิ่มอีกห้าคน เช่นนั้นคงไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องตนแล้วกระมัง?
ศิษย์สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยที่ยืนอยู่ข้างกายนางฟังสิ่งที่นางคุยกับจิ๋งจิ่วไม่รู้เรื่อง สีหน้าดูสับสน
จิ๋งจิ่วมองนางพลางกล่าวว่า “เจ้าชื่ออะไร?”
ศิษย์สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะพูดคุยกับตน นางมองดูใบหน้าเขา ทำอะไรไม่ถูก พูดอะไรไม่ออก
“แย่งสิทธิ์เข้าร่วมประลองของคนอื่นไปจนได้ยันต์เซียนมา แต่กลับจำไม่ได้แม้กระทั่งชื่อของอีกฝ่าย นี่มันจะเกินไปหน่อยแล้ว!”
เซ่อเซ่อแสร้งทำเป็นกล่าวอย่างโมโหว่า “จำไว้นะ ศิษย์พี่่ท่านนี้มีชื่อว่าเจินเถา มิใช่เจี่ยเถา”
จิ๋งจิ่วไม่รู้ว่านางกำลังหาทางลงให้แก่ตัวเองเพื่อไม่ให้ตนเองต้องขายหน้า ในใจครุ่นคิดว่าหรือตนเองจะทำเกินไปจริงๆ อย่างนั้นควรจะชดเชยอะไรให้หรือเปล่า?
เขามองดูดวงตาของศิษย์สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย ก่อนกล่าวอย่างจริงจังว่า “ชื่อไพเราะมาก”
เจินเถารู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว ยิ่งไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
จิ๋งจิ่วเดิมไม่คิดที่จะสนทนาอยู่แล้ว เขากล่าวต่อไปว่า “ข้าเข้าร่วมการแสวงมรรคาในนามของศิษย์สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย ยันต์เซียนที่ได้มาย่อมต้องเป็นของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย แต่ตอนนี้ข้ายังให้พวกเจ้าไม่ได้ ต้องรออีกสักระยะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เจินเถาค่อนข้างตกใจ ในใจคิดว่าหรือเจ้าจะเอายันต์เซียนคืนให้แก่สำนักแม่ชีจริงๆ?”
คนที่ตกใจมิได้มีเพียงนาง หากแต่เป็นทุกคนที่อยู่ตรงนั้น
ไม่มีใครคิดว่าจิ๋งจิ่วกำลังหาข้ออ้างเพื่อบอกปัด เพราะนี่มิใช่นิสัยของสำนักชิงซาน ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้เขาไม่ให้ สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยก็ไม่สามารถพูดอะไรได้เช่นกัน
แต่ว่า….ยันต์เซียนที่ใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะได้มา หรือจะให้มอบคนอื่นไปแบบนี้? นั่นมันคือยันต์เซียนเลยนะ เป็นของวิเศษของเซียนที่แท้จริง มีความหมายต่อผู้บำเพ็ญพรตอย่างที่ยากจะจินตนาการได้ ไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไป!
ศิษย์ชิงซานเองก็ตกใจ พวกเขาคิดว่ายันต์เซียนเป็นสิ่งที่อาจารย์อาเล็กใช้พรสวรรค์อันน่าเหลือเชื่อและความมุ่งมั่นในการแสวงมรรคามาเป็นเวลาหลายสิบปีกว่าจะได้มา เขาจะจัดการกับมันอย่างไรย่อมต้องไม่มีปัญหา เพียงแต่ยันต์เซียนนั้นมีความสำคัญอย่างมาก
……
……
ไข่มุกคืนสวรรค์ถูกนักพรตไป๋หยิบไป โลกภายในคันฉ่องฟ้ากระจ่างไม่มีดวงอาทิตย์
ค่ำคืนอันเป็นนิจนิรันดร์มาเยือน
อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว ลำธารภูเขา ไปจนถึงต้นไม้และเหล่าสัตว์ ทุกสรรพสิ่งล้วนถูกแช่แข็ง เย็นยะเยือกยิ่งกว่าที่ราบหิมะในโลกแห่งความเป็นจริง ฟ้าดินตกอยู่ในความเงียบวังเวง
ในโลกนี้ไม่มีเสียง แล้วก็ไม่มีชีวิต
ทุกอย่างหยุดนิ่งอยู่ในสภาพก่อนหน้า อยู่ในท่าทางและการเคลื่อนไหวเดิม รวมไปถึงมนุษย์ ทุกสิ่งต่างรอคอยการเริ่มต้นครั้งต่อไปของดินแดนแห่งความฝัน
นกชิงเหนี่ยวบินไปในโลกที่มืดมิดอย่างรวดเร็วราวสายฟ้า ประเดี๋ยวก็ไปอยู่บนน้ำทะเลสีน้ำเงินที่แข็งตัวเหมือนก้อนไขมัน ประเดี๋ยวก็ไปอยู่ริมทะเลสาบด้านนอกเมืองชางโจว
เมื่อมองดูโลกที่รกร้างและมืดมิด ภายในใจนางเกิดความรู้สึกโศกเศร้าขึ้นมา
ตามหลักแล้ว ที่นี่ควรจะเป็นโลกของนาง แต่นางเองก็ไม่มีวิธีที่จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งเช่นเดียวกัน ก็เหมือนอย่างการเปิดและการปิดดินแดนแห่งความฝันทุกครั้งที่ผ่านมาในช่วงเวลาหลายหมื่นปี นางทำได้เพียงแบกรับการหมุนเวียนเป็นวัฏจักรเหล่านี้อย่างเงียบๆ —- คันฉ่องฟ้ากระจ่างเป็นของวิเศษของเขาอวิ๋นเมิ่ง จำเป็นต้องเชื่อฟังเจตน์จำนงของผู้เป็นนาย
นอกจากความโศกเศร้าแล้ว ภายในใจของนางยังมีความระแวงและความไม่สบายใจ เพราะนักพรตไป๋ได้เอาพระอาทิตย์ออกไปแล้ว แต่กลับไม่ยอมเรียกนางออกไปถามคำถาม
—- จิ๋งจิ่วสามารถเอายันต์เซียนไปได้ ย่อมต้องเป็นเพราะมีนางคอยช่วยเหลืออย่างแน่นอน ไม่มีทางที่นักพรตจะไม่สังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้
เมื่อคิดถึงว่าจิ๋งจิ่วพอได้ยันต์เซียนก็จากไปโดยไม่ร่ำลาอะไรสักคำ ชิงเหนี่ยวก็รู้สึกโมโหขึ้นมา ในใจครุ่นคิดว่าช่างเป็นผู้ชายที่ไร้ความรู้สึกเสียจริง
ถงเหยียนเทียบไม่ติดเลย
เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ นางก็พบว่าตนเองได้บินมาถึงพระราชวังแคว้นฉู่ จากนั้นบินลงไปเกาะบนชายหลังคา
นางเคยเห็นภาพเหตุการณ์มากมายจากที่นี่ อย่างเช่นองค์หญิงน้อยแห่งแคว้นฉินซบลงไปในอ้อมอกขององค์ชายแห่งแคว้นฉู่ อย่างเช่นองครักษ์ที่รูปร่างผอมดำถือกระบี่ยืนสัปหงก แต่แน่นอน ภาพเหตุการณ์ส่วนใหญ่ที่เห็นจากที่นี่ยังคงเป็นภาพที่น่าเบื่อเหล่านั้น อย่างเช่นสุดท้ายมั่วกงก็ไม่ชักกระบี่ออกมา อย่างเช่นการฆ่ากันไปฆ่ากันมา อย่างเช่นจิ๋งจิ่วรู้จักเพียงแค่บำเพ็ญเพียร แต่กลับไม่ยอมสอนตัวเองว่าต้องทำอย่างไรจึงจะได้รับอิสรภาพที่แท้จริง
ทันใดนั้นเอง นางพลันรู้สึกว่าโลกได้เปลี่ยนไปจากเดิม
ลมสายหนึ่งพัดผ่านกำแพงสีแดงและหลังคาสีเหลืองของพระราชวัง ทะลุผ่านปีกของนาง
ลมสายนี้ไม่มีอุณหภูมิ แต่มีกลิ่นเค็มและกลิ่นคาวจางๆ
ลมมาจากทะเล
เพราะอะไร?
ชิงเหนี่ยวกระพือปีกบินขึ้นไปในท้องฟ้ายามค่ำคืน รวดเร็วดุจดั่งสายฟ้า ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก็บินวนรอบโลกไปสามรอบ
นางบินลงไปเกาะบนชายหลังคาของพระราชวังแคว้นฉู่อีกครั้ง จากนั้นเหลียวหน้ามองไปยังที่แห่งหนึ่งบนโลก สายตาเป็นประกายเล็กน้อย
นี่คือกลิ่นของอิสรภาพอย่างนั้นหรือ?
นางเข้าใจแล้ว
จริงอยู่ที่จิ๋งจิ่วไม่ได้กล่าวอะไรกับนางและโลกใบนี้ แต่เขาได้ทิ้งสิ่งที่ล้ำค่ายิ่งกว่านั้นเอาไว้
เขาทำลายกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้ไปแล้ว
โลกใบนี้ยังไม่ตาย สักวันมันจะมีชีวิตขึ้นมาใหม่
ผู้คนที่อยู่ในโลกนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่ สักวันจะตื่นขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือกระบวนการนี้ไม่จำเป็นต้องอาศัยยันต์เซียน ไม่จำเป็นต้องมีพลังเซียน ไม่จำเป็นต้องมีวิชาของนักพรต อาศัยเพียงแค่โลกนี้และตัวผู้คนที่มีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เท่านั้น
นกชิงเหนี่ยวบินขึ้นไปอีกครั้ง ฉวัดเฉวียนไปมาราวสายฟ้า ส่องสว่างไปทั่วทั้งท้องฟ้ายามค่ำคืนและทั่วทุกมุมบนโลก อบอวลไปด้วยกลิ่นแห่งความสุข
สายฟ้าแลบผ่านไป ส่องสว่างต้นเกาลัดที่อยู่บนเนินแห่งหนึ่ง แล้วก็คนที่อยู่ใต้ต้นเกาลัด
……
……
จิ๋งจิ่วไม่ได้กล่าวอะไรอีก เขากลับไปยังแท่นชมการประลองของสำนักชิงซาน
ไป๋เจ่ารู้สึกแปลกๆ มิได้เป็นเพราะว่าเขาไม่ได้เข้ามาพูดคุยกับตนเอง หากแต่เป็นเพราะนางพบว่าจิ๋งจิ่วดูคล้ายจะสงบเยือกเย็น แต่ความจริงกลับค่อนข้างตึงเครียด
ตอนที่เจออันตรายอยู่ในที่ราบหิมะ จิ๋งจิ่วยังมิได้วิตกกังวลถึงขนาดนี้เลย หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับยันต์เซียน?
ถงเหยียนเดินมาตรงหน้านาง ใช้สายตาบอกนาง นางจึงได้สติขึ้นมา ก่อนจะมองไปทางเหล่าผู้แสวงมรรคาที่อยู่ตรงหน้าแล้วกล่าวทักทายอย่างสงบนิ่ง
ผู้แสวงมรรคาที่อยู่ที่นี่ในเวลานี้ล้วนแต่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกของคันฉ่องฟ้ากระจ่างมาเป็นเวลานานหลายปี แม้นจะเป็นคนที่อยู่ในนั้นไม่นานก็ยังอยู่มาสิบกว่าปี ต่างคนต่างมิได้มีบุญคุณความแค้นอะไรต่อกัน ในเวลานี้ต่างมารวมตัวกันอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง กลับกลายเป็นว่ามีความรู้สึกใกล้ชิดต่อกัน คนที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมงานชุมนุมแสวงมรรคาล้วนแต่เป็นศิษย์อัจฉริยะของแต่ละสำนัก หากไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของคนที่อยู่ที่นี่ก็อาจจะกลายเป็นเจ้าสำนัก หรืออย่างน้อยก็เป็นผู้อาวุโส ความรู้สึกใกล้ชิดและประสบการณ์ที่มีร่วมกันระหว่างพวกเขาจะต้องส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ของโลกแห่งการบำเพ็ญพรตในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน
ในฐานะที่เป็นผู้นำแห่งสำนักฝ่ายธรรมะในอนาคต ไป๋เจ่าย่อมไม่อาจพลาดโอกาสเช่นนี้ไปได้ นางยิ้มให้กับทุกคนเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “เชื่อว่าทุกท่านจะต้องได้รับอะไรมาไม่น้อยจากในดินแดนแห่งความฝันอย่างแน่นอน จำเป็นต้องใช้เวลาในการซึมซับ หลังจากนี้สามปีพวกเรามาพบกันที่นี่อีกครั้ง ไม่ทราบว่าทุกคนมีความเห็นเช่นไร?”
เหล่าผู้แสวงมรรคาย่อมไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ ต่างคนต่างตอบตกลง
ซีอี้อวิ๋นกล่าวว่า “อยู่ด้านในข้าได้อ่านหนังสือที่ไม่เคยได้อ่านมาก่อน แล้วก็ได้เขียนหนังสือนิดหน่อย ไว้กลับไปยังเรือนแล้วข้าจะรวบรวมเป็นเล่ม หากสามปีหลังจากนี้จัดการเสร็จเรียบร้อย ข้าจะมาที่นี่”
ทุกคนต่างรู้สึกชื่นชม หลังจากนั้นมองไปทางอีกคนหนึ่งที่ยิ่งใหญ่อยู่ในดินแดนแห่งความฝัน มีคนที่รู้จักกับเหอจานยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “เจ้าอยู่ด้านนอกเป็นที่สองในใต้หล้า อยู่ด้านในก็เป็นที่สองในใต้หล้า หลังจากนี้คิดจะทำอะไร? ไปท่องโลก ตามหาของวิเศษ พยายามก้าวต่อไปข้างหน้า?”
เหอจานมองถงเหยียน กล่าวว่า “ข้ามีเพื่อนคนหนึ่งเคยกล่าวเอาไว้ว่า…เมื่อมีจิ๋งจิ่วอยู่เหนือขึ้นไปด้านบน ดังนั้นก็ไม่ต้องคิดถึงอันดับที่หนึ่ง ข้าว่าจะไปเมืองไป๋เฉิง”
“ไป๋เฉิง เจ้าจะไปเมืองไป๋เฉิงทำไม?”
เซ่อเซ่อคิดในใจว่าต่อให้เจ้าปลอมเป็นพระวัดกั่วเฉิง เจ้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะไปที่นั่นนี่นา หรือว่า….นางมองไปทางร่างกายด้านล่างของเหอจาน คิดอย่างเป็นห่วงว่าคงไม่ใช่ว่าจิตใจได้รับการกระทบกระเทือนหรอกนะ? ในขณะที่นางเตรียมจะถามเขาว่าไม่ชินที่มีอะไรบางอย่างเพิ่มขึ้นมาหรือว่า เจินเถาพลันตะโกนเสียงเบาๆ ขึ้นมาว่า “ตรงนั้นเกิดอะไรขึ้นหรือ?”
ทุกคนต่างมองไป พบว่าเป็นแท่นชมการประลองของสำนักชิงซาน จึงอดรู้สึกตกใจไม่ได้ ในใจครุ่นคิดว่าใครกันที่กล้าไปหาเรื่องคนพวกนั้น?
บรรยากาศตรงนั้นดูค่อนข้างมีปัญหา ค่อนข้างตึงเครียด
จิ๋งจิ่วยืนอยู่ตรงหน้าหนานว่าง สีหน้าของหนานว่างค่อนข้างเย็นยะเยือก
เซ่อเซ่อพลันลืมเรื่องของเหอจานไปทันที นางกล่าวกับเจินเถาว่า “ข้าเคยบอกแล้วใช่ไหมล่ะ สำนักชิงซานจะเอายันต์เซียนให้พวกเจ้าได้อย่างไร ให้ก็โง่แล้ว”
…………………………………………………………