มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 161 ใช่ขอรับ อาจารย์อา
ดวงตาที่เหมือนจานหยกในเงามืดนั้นก็คือสัตว์เทพของสำนักจงโจว กิเลนฉีหลิน
เมื่อได้ยินคำพูดของนักพรตไป๋ สายตาของกิเลนฉีหลินก็ยิ่งเย็นยะเยือก จิตสังหารรุนแรงคล้ายจับต้องได้จริง เห็นได้ชัดว่าต้องการสังหารจิ๋งจิ่ว
“ยันต์เซียนไม่อาจถูกหลอมละลายได้ เจ้าไม่ต้องลงมือ”
นักพรตไป๋กล่าวอย่างเฉยชา “เจ้ากับข้าทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้ก็แล้วกัน”
“ดวงจิตคันฉ่องมีปัญหา จะเรียกออกมาถามหน่อยไหม?” ฉีหลินพูดผ่านทางจิต
“จะกลายเป็นปีศาจแล้ว ไยต้องถามอีก?”
นักพรตไป๋ยื่นมือไปคว้าจับบางสิ่งในท้องฟ้ายามค่ำคืน
ของสิ่งนั้นก็คือคันฉ่องฟ้ากระจ่าง เพียงแต่ไม่รู้ว่านางใช้วิธีอะไรถึงทำให้มันหดเล็กลงจนกลายเป็นจานวงกลมเล็กๆ ใบหนึ่ง สามารถถือเอาไว้ในมือได้
พลังที่เย็นยะเยือกจำนวนนับไม่ถ้วนไหลออกมาจากนิ้วมือของนักพรตไป๋ ผิวของคันฉ่องฟ้ากระจ่างค่อยๆ จับตัวเป็นน้ำแข็ง
น้ำแข็งลี้ลับนี้ดูเหมือนจะบาง แต่ความจริงแล้วกลับแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ต่อให้เป็นกระบี่เซียนก็ยากที่จะทำลายได้
นางโบกมือ ฝังคันฉ่องฟ้ากระจ่างที่ถูกน้ำแข็งปิดผนึกลงไปในเส้นปราณแผ่นดินที่อยู่ในส่วนลึกใต้ดินของเขาอวิ๋นเมิ่ง
หลังจากนี้อีกหลายร้อยปี เมื่อดวงจิตคันฉ่องสูญสลายไป ดินแดนแห่งความฝันเริ่มเดินใหม่อีกครั้ง บางทีคันฉ่องฟ้ากระจ่างอาจจะได้ออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันอีกครั้งก็เป็นได้
เมื่อเห็นภาพนี้ ในดวงตาของฉีหลินก็มีแววตาพึงพอใจปรากฏขึ้นมา มันคิดว่าการจัดการเช่นนี้เหมาะสมที่สุด
นักพรตไป๋ออกไปจากถ้ำ มายังด้านบนของเขาอวิ๋นเมิ่ง อากาศค่อยๆ เย็นลง คล้ายจะกลายเป็นภูเขาหิมะที่เย็นยะเยือกและไม่อาจสั่นคลอนได้
งานชุมนุมแสวงมรรคาครั้งนี้ เป้าหมายของสำนักจงโจวก็คือหาผู้สืบทอดให้แก่ยันต์เซียน ขอเพียงแข็งแกร่งพอ จะเป็นใครก็ล้วนแต่ได้ทั้งนั้น
แต่ในเมื่อคนที่ได้ยันต์เซียนไปคือศิษย์ของชิงซานผู้นั้น เช่นนั้นจากผู้สืบทอดก็จะกลายเป็นผู้แบกรับ
ผู้สืบทอดและผู้แบกรับมีความหมายใกล้เคียงกัน แต่สิ่งที่ต้องพบเจอกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
ก็เหมือนอย่างที่นางกล่าวกับกิเลนฉีหลิน คนผู้นั้นจะถูกยันต์เซียนควบคุม กลายเป็นหุ่นเชิด นอกเสียจากอีกฝ่ายจะสามารถหลอมยันต์เซียนได้
แต่หากมองไปทั่วทั้งโลกนี้ ยังมีใครที่สามารถหลอมยันต์เซียนได้อีกล่ะ?
เมื่อคิดถึงปัญหานี้ ในส่วนลึกของดวงตานางก็มีความรู้สึกระแวดระวังปรากฏขึ้นมาให้เห็นจางๆ
เงาที่หลบหนีออกมาจากคุกสะกดมาร จักรพรรดิแห่งหมิงที่ถูกปล่อยออกมา แสวงมรรคาอยู่หลายสิบปี แต่คิดเพียงจะบำเพ็ญเพียรเพื่อบรรลุสภาวะ ยอดเขาปู้โจวที่ถูกทำลายจนราบเป็นหน้ากลอง
หรือว่าจะเป็นเจ้าจริงๆ?
เจ้ายังมีชีวิตอยู่หรือนี่?
อย่างนั้นครั้งนี้เจ้าคงจะตายได้แล้วสินะ?
……
……
บนพื้น ผนัง และกรอบประตูของเรือนลอกคราบล้วนแต่ถูกแกะสลักเป็นร่องรอยจำนวนนับไม่ถ้วน ดูแล้วเหมือนอักขระยันต์ เมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็จะสะท้อนออกมาเป็นแสงรูปร่างแปลกประหลาด
จิ๋งจิ่วนอนอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ นิ้วชี้มือขวาไล้ไปบนขอบประตูอย่างช้าๆ รับรู้ถึงสัมผัสที่มหัศจรรย์นั้น มองดูแผ่นหลังของหนานว่าง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
บริเวณหน้าผาพลันมีลมพัดขึ้นมา พัดพาหมู่เมฆให้กระจายตัวออกไป เกิดเป็นช่องว่างที่คล้ายมีคล้ายไม่มี จากนั้นคล้ายมองเห็นชุดสีเขียวเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
หนานว่างลุกขึ้นคารวะ
เจ้าสำนักชิงซานหลิ่วฉือเดินเข้ามาจากด้านนอกหน้าผา
เขาคือยอดคนที่ยืนอยู่ในจุดสูงสุดของแผ่นดินเฉาเทียนอย่างไม่ต้องสงสัย แต่นอกจากรูปร่างที่สูงใหญ่แล้ว ก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นที่ดูพิเศษ
เขาสวมเสื้อผ้าธรรมดา คิ้วทั้งสองดูนุ่มนวล สีหน้าอ่อนโยน เหมือนดั่งกระบี่ในฝัก ไร้ซึ่งเหลี่ยมคม
แต่แน่นอน พลังของเขาเองก็กว้างใหญ่และโอบอ้อม เหมือนดั่งฝักกระบี่ที่สามารถแบกรับทุกสิ่งเอาไว้ได้
หลิ่วฉือโบกมือเพื่อบอกให้หนานว่างออกไป
หนานว่างเลิกคิ้วเล็กน้อย กระบี่พิณวิจิตรขยับ เก็บเอาสายพิณกระบี่ทั้งหมดกลับมา จากนั้นหมุนตัวเดินออกไปพลางส่งเสียงเหอะออกมาที่หนึ่ง
เมื่อเห็นท่าทางที่นางเดินออกไปอย่างโมโห หลิ่วฉือจึงยิ้มอย่างเอ็นดู จากนั้นสังเกตเห็นว่าบนใบหน้าของจิ๋งจิ่วเองก็มีรอยยิ้มจางๆ อยู่เช่นกัน
หลิ่วฉือค่อนข้างตกใจ เพราะรอยยิ้มจางๆ เช่นนี้ สำหรับจิ๋งจิ่วแล้วถือว่าเป็นความเอ็นดูอย่างมากแล้ว
ดูแล้วเวลาเจ็ดสิบปีในคันฉ่องฟ้ากระจ่าง เหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้าง
หลิ่วฉือสะบัดแขนเสื้อเล็กน้อย เจตน์กระบี่ของกระบี่แบกสวรรค์แผ่กระจายออกมา กลายเป็นข่ายพลังที่ไร้รูปร่างปกคลุมเรือนลอกคาบเอาไว้
ต่อให้กิเลนของเขาอวิ๋นเมิ่งแอบเข้ามาใกล้ ก็ไม่มีทางได้ยินบทสนทนาระหว่างเขากับจิ๋งจิ่วหลังจากนี้
“ยันเซียนวัฒนะมิใช่ยันต์รอง หากเป็นยันต์หลัก”
ไม่มีการเกริ่นนำและไม่มีการทักทาย จิ๋งจิ่วกล่าวออกมาตรงๆ
หลิ่วฉือกล่าวว่า “ในอดีตท่านบรรพจารย์ไป๋ได้ทิ้งยันต์รองและยันต์หลักเอาไว้อย่างละสามแผ่น ภายหลังตอนที่สะกดจักรพรรดิ์แห่งหมิงได้ใช้ยันต์หลักไปหนึ่งแผ่น ในงานชุมนุมแสวงมรรคาก็ยังเอายันต์หลักออกมาใช้อีก พวกเขาคิดจะทำอะไร?”
ยันต์เซียนเป็นของวิเศษของเซียนอย่างแท้จริง บนโลกในตอนนี้มีเพียงสำนักจงโจวเท่านั้นที่มี นั่นคือมรดกที่เซียนไป๋เริ่นทิ้งเอาไว้ในตอนที่บรรลุกลายเป็นเซียน
พลังเซียนในยันต์รองหากคนธรรมดาได้รับไป ก็เพียงพอที่จะชำระล้างร่างกายและก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียรได้ หากผู้บำเพ็ญพรตได้ไปก็จะสามารถต่อชีวิตไปได้อีกหลายสิบปี พลังเซียนในยันต์หลักนั้นมีมากกว่า และที่สำคัญกว่านั้นก็คือด้านในอาจจะมีเจตน์แห่งเซียนของบรรพจารย์ไป๋เหลือทิ้งเอาไว้อยู่ สำหรับผู้บำเพ็ญพรตแล้ว นั่นคือวิธีที่ดีที่สุดที่จะรู้แจ้งในสัจธรรมและบรรลุไปสู่วิถีธรรม
เดิมหลิ่วฉือไม่เข้าใจ ต่อให้สำนักจงโจวคิดอยากจะเป็นผู้นำแห่งสำนักฝ่ายธรรมะ เหตุใดถึงกับต้องเอายันต์เซียนมาเป็นรางวัลในงานชุมนุมแสวงมรรคา
ตอนนี้เมื่อรู้ว่าเป็นยันต์หลัก เขาก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจ
หากเปลี่ยนเป็นเขา เกรงว่าคงไม่มีทางตัดใจเอาออกมาใช้แน่
สำนักจงโจวคิดจะทำอะไรกันแน่?
เซียนไม่อยู่ในโลก ไม่มีใครที่จะสัมผัสกับยันต์เซียนได้ ตามหลักแล้วไม่มีใครที่จะสามารถคาดเดาความคิดของสำนักจงโจวได้ แต่จิ๋งจิ่วคือข้อยกเว้น
เขากล่าวว่า “เจตน์แห่งเซียนก็คือจิตเซียนที่ไป๋เริ่นทิ้งเอาไว้ นางอาจจะใช้วิชาบางอย่างพาตัวเองกลับมาจากนอกโลก”
หลิ่วฉือคิดถึงภาพตอนที่จักรพรรดิแห่งหมิงถูกสยบ สีหน้าพลันคร่ำเคร่งขึ้นมา กล่าวว่า “สิงร่าง?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ถูกต้อง คล้ายๆ กับความคิดของอาจารย์ของเจ้าในอดีต ดังนั้นสำนักจงโจวจึงจำเป็นต้องเลือกร่างเต๋าที่แข็งแกร่งที่้สุดและเหมาะสมที่สุด ใช้จิตเซียนแอบควบคุมร่างก่อน จากนั้นรอคอยให้เวลานั้นมาถึงอย่างเงียบๆ”
หลิ่วฉือรู้สึกประหลาดใจ กล่าวว่า “ไม่ง่ายเลยกว่าจะออกไปได้ จะกลับมาทำไม?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “แค่จิตเซียนสวนหนึ่งเท่านั้น สิ่งที่กลับมาไม่แน่ว่าจะต้องเป็นตัวนางทั้งหมด”
หลิ่วฉือมองไปยังเขาอวิ๋นเมิงที่อยู่ด้านนอกหน้าผา ส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “วิถีของจงโจว มักจะไม่เด็ดขาดเช่นนี้เสมอ”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “สำหรับจงโจวแล้ว นี่คือสายฟ้าที่แอบซ่อนเอาไว้แต่ไม่ยอมปล่อยออกมา ภายหลังหากเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ สายฟ้าฟาดกระหน่ำลงมา จะไม่มีใครสามารถต้านทานได้”
ต่อให้เซียนไป๋เริ่นที่ใช้ยันต์เซียนกลับมายังแผ่นดินเฉาเทียนจะเป็นเพียงร่างแยก แต่นั่นก็มิใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญพรตบนแผ่นดินจะสามารถต่อกรได้
เซียนก็คือเซียน แม้จะเป็นหนึ่งในร้อยก็ยังเป็นเซียน
หลิ่วฉือกล่าวว่า “อยากจะเห็นจริงๆ ว่าตอนที่สายฟ้าฟาดลงมามันจะรุนแรงแค่ไหน”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ฟาดลงมาไม่ได้ เพราะโชคของนางไม่ดี ยันต์เซียนอยู่ในมือของข้าแล้ว”
หลิ่วฉือกล่าวว่า “ท่านคิดจะทำอย่างไร?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ก็ต้องหลอมยันต์เซียนนี้ ให้นางไม่สามารถกลับมาได้”
หลิ่วฉือมองดูดวงตาของเขา พลางกล่าวว่า “ท่านรู้ว่านี่เป็นเรื่องยาก”
จิ๋งจิ่วมองดูกำปั้นข้างซ้าย กล่าวว่า “ในเมื่อมันอยู่ในมือข้า เช่นนั้นก็มีแต่ต้องทำเช่นนี้”
หลิ่วฉือกล่าวว่า “หากท่านสามารถหลอมยันต์เซียนนี้ได้จริงๆ เขาอวิ๋นเมิ่งจะต้องคาดเดาได้แน่ว่าท่านเป็นใคร”
จิ๋งจิ่วถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าเป็นคนเลว?”
หลิ่วฉือกล่าวอย่างเฉยชา “ไม่ใช่คนดี แต่ก็ไม่ใช่คนเลวเช่นกัน”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้คนทั้งโลกคาดเดาได้ว่าข้าเป็นใคร แล้วจะเป็นอย่างไร?”
คนที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาบนโลกนี้มีอยู่แค่ไม่กี่คน
เจ้าล่าเยวี่ยคล้ายจะคาดเดาได้ แต่ในเมื่อนางไม่ยอมถามออกมาตรงๆ เขาก็คิดเสียว่านางไม่รู้
ก็เหมือนกับคนที่อยู่ในสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยคนนั้น
ตัวตนที่แท้จริงของเขาถูกเปิดเผย สิ่งที่จะได้รับผลกระทบจริงๆ ก็คือชื่อเสียงของชิงซาน
ปรมาจารย์อาที่บรรลุกลายเป็นเซียนได้สำเร็จกับปรมาจารย์อาที่บรรลุกลายเป็นเซียนล้มเหลวแล้วกลับมาบำเพ็ญเพียรใหม่บนโลก นี่เป็นสองสิ่งที่มีความหมายแตกต่างกัน
หลิ่วฉือกล่าวว่า “ท่านคิดเอาไว้หรือยังว่าจะหลอมยันต์เซียนนี้อย่างไร?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “กำลังคิดอยู่”
หลิ่วฉือกล่าวว่า “ในระหว่างที่ท่านกำลังคิด จิตเซียนนั้นก็จะยึดครองร่างเต๋าของท่าน ควบคุมใจแห่งเต๋าของท่าน แล้วจะหยุดยั้งมันได้อย่างไร?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “หากไม่ได้ ข้าจะตัดมือซ้ายทิ้ง”
หลิ่วฉือมองดูมือซ้ายของเขา กล่าวว่า “ความจริงแล้วข้ามีวิธีที่ดีมากวิธีหนึ่ง เอาของบางอย่างมาหุ้มมือของท่านเอาไว้ รับรองได้ว่าจะไม่มีทางเกิดเรื่อง”
จิ๋งจิ่วหรี่ตามองดูเขาพลางกล่าวว่า “เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่มีทางตกลง”
หลิ่วฉือยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า “ข้าก็แค่พูดๆ ไปเท่านั้น ท่านจะร้อนใจทำไม”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “รีบส่งข้ากลับชิงซาน”
สายตาของหลิ่วฉือมองไปที่มือซ้ายของเขาอีกครั้ง รู้ว่าความจริงแล้วเขาไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะหลอมยันต์เซียนได้สำเร็จหรือไม่
รอยแตกที่อยู่บนพื้นของเรือนลอกคราบพลันสั่นสะเทือนขึ้นมา จากนั้นค่อยๆ ลอยขึ้น กลายเป็นเส้นที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
สายตาของหลิ่วฉือสงบนิ่ง แต่กลับมีสมาธิ คล้ายบึงน้ำที่ชั่วชีวิตนี้ไม่มีลมพัดผ่าน
จิ๋งจิ่วรู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร จึงเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่มิได้ปฏิเสธ
เจตน์กระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนตกลงไปบนมือซ้ายของเขา ห่อหุ้มเป็นชั้นๆ เอาไว้อย่างแน่นหนา คล้ายกับถุงมือที่มองไม่เห็น
ต่อให้เป็นพลังเซียนที่เล็กละเอียดแค่ไหนก็ไม่สามารถเล็ดรอดออกมาจากซอกนิ้วมือของจิ๋งจิ่วได้ ต่อให้เป็นสัตว์เทพที่มีความไวต่อพลังเซียนแค่ไหนก็ไม่มีทางได้กลิ่น
นี่คือเพลงกระบี่แบกสวรรค์ของเจ้าสำนักชิงซาน แล้วก็เป็นข่ายพลังในระดับสูงสุดของแผ่นดินเฉาเทียน มองไม่เห็น แต่กลับมีอยู่จริง
จิ๋งจิ่วยอมรับว่าไม่ว่าจะเป็นตัวเขาหรือว่าศิษย์พี่ก็ล้วนแต่ใช้เพลงกระบี่แบกสวรรค์ได้ไม่ดีเท่าหลิ่วฉือ พรสวรรค์ของกู้ชิงขาดอีกนิดหน่อย ได้แต่ต้องดูว่ามีวิธีอื่นหรือไม่
เขาถามว่า “เรื่องชิงกระถางสัมฤทธิ์ไม่ตรงตามกฎแก้ไขแล้วหรือ?”
หลิ่วฉือกล่าวว่า “ไม่อย่างนั้นข้าจะมาที่นี่ทำไม? เพราะรู้อยู่แล้วว่าท่านไม่เคยเดินบนเส้นทางปกติ”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ในเมื่อสำนักจงโจวเอายันต์เซียนออกมาด้วยความคิดเช่นนี้ พวกเขาย่อมไม่มีทางขัดขวางแน่ ส่วนเส้นทางที่ข้าเลือกนั้นล้วนแต่เป็นเส้นทางเพียงหนึ่งเดียว หาใช่ข้าจงใจเลือกไม่”
หลิ่วฉือส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “ในอดีตตอนที่เล่นไพ่นกกระจอก อาจารย์เคยกล่าวเอาไว้ว่าเส้นทางที่ท่านเลือกนั้นไม่เหมือนคนอื่น ค่อนข้างตายตัว”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “พวกเราไม่ได้เล่นไพ่ด้วยกันมาสามร้อยกว่าปีแล้วสินะ?”
หลิ่วฉือนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะคารวะพลางกล่าวว่า “ใช่ขอรับ อาจารย์อา”