มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 163 ลมอันหนาวเหน็บทำให้ใจข้าปั่นป่วน (1)
ในที่สุดน้ำแกงสีขาวภายในหม้อก็เหือดแห้งลงไป ต้นหอมสองสามท่อนที่ถูกต้มจนเปื่อยตกไปอยู่ริมหม้ออย่างไร้เรี่ยวแรง ดูเหมือนหนังตาของจัวหรูซุ่ย
แขนเสื้อของหลิ่วฉือในตอนที่จากไปได้ทำให้เกิดลมสายหนึ่งขึ้นมา พัดจนไฟที่อยู่ใต้หม้อดับลงไป ต้นหอมเหล่านั้นไม่ต้องกังวลว่าจะถูกต้มจนไหม้
ไอหมอกที่อยู่ในห้องส่วนตัวและในเหลาสุราถูกกวาดออกไปจนหมด สายลมพัดผ่านประตูออกไป มาถึงบนถนน พัดพาเมฆหมอกทั้งหมดออกไป
แสงอาทิตย์ที่แจ่มใสสาดส่องลงมายังเมืองอวิ๋นจี๋ เป็นครั้งแรกที่ความหนาวเย็นและความยิ่งใหญ่ของฤดูใบไม้ร่วงปรากฏสู่สายตาของผู้คนอย่างชัดเจนเช่นนี้
นักท่องเที่ยวจากต่างถิ่นนั้นยังดีหน่อย แต่เหล่าชาวเมืองที่อาศัยอยู่ในเมืองต่างพากันตกตะลึง
คนส่วนใหญ่ไม่เคยเห็นภาพเมืองที่ไร้เมฆหมอกเช่นนี้มาก่อน
ไม่นานทุกคนก็ได้สติขึ้นมา นี่จะต้องเป็นสุดยอดวิชาของอาจารย์เซียนชิงซานอย่างแน่นอน จึงรีบคุกเข่าไปกับพื้น
……
……
เมฆหมอกไหลมาจากบนยอดเขาของหมู่เขาชิงซาน เป็นการไหลเวียนตามธรรมชาติของไอน้ำ แล้วก็มีความเกี่ยวข้องกับข่ายพลังนั้นด้วย
ข่ายพลังชิงซานเปิดออก แสงอาทิตย์เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย สีสันของหมู่ไม้บนยอดเขาคล้ายเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
เหล่าลูกศิษย์ที่อยู่ริมธารสี่เจี้ยนและบนหน้าผาต่างเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า จากนั้นมองเห็นเมฆกระบี่ลอยมา จึงรู้ว่าเจ้าสำนักกลับมาจากเขาอวิ๋นเมิ่งแล้ว พวกเขาจึงพากันทำการคารวะ
เมฆกระบี่ก้อนนั้นมิได้บินไปทางยอดเขาเทียนกวง หากแต่ลอยไปทางยอดเขาเสินม่อที่อยู่ไกลออกไป ข่ายพลังปิดกั้นของยอดเขาเสินม่อเปิดออก ต้นไม้บนภูเขาสั่นไหวเล็กน้อย คล้ายกำลังต้อนรับอะไรบางอย่าง
ศิษย์ชิงซานรู้สึกแปลกใจ ก่อนจะคิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง บนใบหน้าเผยให้เห็นสีหน้าประหลาดใจ
อาจารย์อาเล็กกลับมาแล้ว!
ภายในใจของศิษย์ชิงซานในอดีตที่ผ่านมา ยอดเขาเหลี่ยงว่างคือสถานที่ที่ทำให้พวกเขารู้สึกภาคภูมิใจและเลื่อมใสศรัทธามากที่สุด แต่ตอนนี้ตำแหน่งนี้ได้ถูกยอดเขาเสินม่อมาแทนที่แล้ว
ยอดเขาเสินม่อมีเจ้าล่าเยวี่ย มีกู้ชิง ทั้งคู่ล้วนแต่มีอายุไม่ต่างกับตัวเองมากนัก แต่กลับมีชื่อเสียงขจรขจาย ยิ่งไปกว่านั้นบนยอดเขาเสินม่อยังมีอาจารย์อาเล็กคนนี้ด้วย
ตั้งแต่งานชุมนุมเหมยฮุ่ยครั้งนั้นมาถึงตอนนี้ได้ผ่านมาสิบห้าปีแล้ว จิ๋งจิ่วถูกขังอยู่ในที่ราบหิมะมาหกปี ภายหลังเพื่อจะแก้ไขปัญหาเรื่องผีกระบี่ เขาได้แอบเข้าไปยังคุกสะกดมารในเมืองเจาเกอ ฝึกวิชาอยู่กับจักรพรรดิแห่งหมิงเป็นเวลาสามปี หลังออกมาก็อยู่เป็นเพื่อนกั้วตง เมื่อคำนวณดูดีๆ แล้ว ในช่วงเวลาสิบห้าปีที่ผ่านมา ระยะเวลาที่เขาอยู่ในชิงซานนั้นมีไม่ถึงสามปี
ทว่าศิษย์ชิงซานไม่เพียงแต่จะไม่ลืมชื่อของเขา แต่ก็ยังเล่าขานต่อๆ กันยิ่งกว่าเดิมด้วย
เจ้าล่าเยวี่ยพ่ายแพ้ให้แก่จัวหรูซุ่ยในงานชุมนุมทดสอบกระบี่ของชิงซาน แต่เพียงพริบตาอาจารย์อาเล็กก็เอาชนะกลับมาได้ในเขาอวิ๋นเมิ่ง อีกทั้งยังคว้าอันดับหนึ่งในงานชุมนุมแสวงมรรคาของสำนักจงโจวมาได้ด้วย!
บนเขาซั่งเต๋อมีหิมะตกโปรยปราย ศิษย์น้องอวี้ซานและศิษย์พี่ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่สองสามคนนั่งอยู่ในตำหนัก ด้านหนึ่งก็แทะเมล็ดสนไป ด้านหนึ่งก็พูดคุยเรื่อยเปื่อย
จู่ๆ พวกเขาพลันได้ยินเสียงจากด้านนอก จึงเดินออกไปดูด้านนอกตำหนัก ก่อนจะเห็นเมฆกระบี่ก้อนนั้นลอยไปบนยอดเขาเสินม่อ บนใบหน้าของศิษย์น้องอวี้ซานเผยให้เห็นสีหน้ายินดี นางเอาเมล็ดสนที่อยู่ในมือยัดเข้าไปในหน้าอกของศิษย์พี่ผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกาย จากนั้นกล่าวว่า “ข้ามีธุระ ไปก่อนละ”
เมื่อเห็นร่างของนางหายไปบนทางขึ้นเขาอย่างรวดเร็ว ศิษย์พี่ผู้นั้นก็ถอนใจพลางกล่าวว่า “ศิษย์น้องชอบเป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยเลย… ไม่รู้แล้วว่านางเป็นศิษย์ของยอดเขาไหนกันแน่”
……
……
เมฆกระบี่หยุดลงบนยอดเขา ก่อนจะสลายหายไปกลายเป็นไอเมฆจำนวนนับไม่ถ้วน จากนั้นรวมตัวกับชั้นเมฆบริเวณหน้าผาจนไม่สามารถแยกออกได้อีก ไม่ได้เห็นชิงซานมาเป็นเวลาหลายปี หากเปลี่ยนเป็นผู้บำเพ็ญพรตคนอื่น บางทีอาจจะมีความรู้สึกทอดถอนใจเล็กๆ น้อยๆ แต่จิ๋งจิ่วไม่มีความคิดเหล่านี้ เขาเพียงแต่รู้สึกว่ามีบางเรื่องได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นแล้ว
เมื่อมองดูตำหนักเต๋าและถ้ำบนยอดเขาที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง แล้วฟังเสียงร้องของวานรที่ดังมาจากบริเวณหน้าผา เขาก็พบว่าช่วงเวลาที่ตนเองอยู่ชิงซานในชีวิตนี้นับวันจะน้อยลงเรื่อยๆ ส่วนช่วงเวลาที่ออกไปเดินอยู่ในโลกภายนอกนับวันจะยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ — ต้องโทษล่าเยวี่ยที่ตอนนั้นจะออกไปเที่ยวข้างนอกให้ได้ เขาพูดกับตัวเองในใจ
เสียงร้องด้วยความยินดีของเหล่าวานรบนหน้าผาพลันหยุดลง เสียงเสียดสีกันของต้นไม้เองก็หายไปด้วย พวกมันที่เดิมคิดอยากจะขึ้นมาบนยอดเขาเพื่อหาจิ๋งจิ่วพบว่าหลิ่วฉืออยู่ด้วย จึงรู้สึกหวาดกลัวไม่กล้าเข้ามา กู้ชิงและหยวนฉวี่เดินออกมาจากในถ้ำ ยังไม่ทันจะคารวะจิ๋งจิ่วก็มองเห็นหลิ่วฉือ จึงรีบก้มกราบลงไป พวกเขาไม่เคยพบเห็นเจ้าสำนักมาก่อน แต่ในตอนที่เข้ามาเป็นศิษย์ในสำนัก พวกเขาได้เคยเห็นรูปเหมือนที่อยู่ในหอเล็กแห่งนั้น จะมีศิษย์ชิงซานคนไหนกล้าลืมใบหน้านั้นได้?
หลิ่วฉือบอกให้พวกเขาลุกขึ้น เตรียมจะกล่าวให้กำลังใจพวกเขาอย่างอ่อนโยนสักสองสามประโยค
ตอนนี้กู้ชิงมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก ภายหน้าอาจจะได้เป็นอาจารย์ของฮ่องเต้ ส่วนเด็กหนุ่มแซ่หยวนจากจังหวัดเล่อลางก็มีความเป็นมา….
บนยอดเขาพลันมีเสียงใบไม้ถูกเหยียบแตก
แมวขาวก้าวเดินออกมาจากในถ้ำ ขนยาวของมันถูกหวีจนดูเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของหยวนฉวี่หรือว่าจักจั่นเหมันต์ที่อยู่ในซ่อนอยู่ในขนมันตัวนั้น
ฝีเท้าของท่านไป๋กุ่ยแห่งชิงซานไร้ซึ่งซุ่มเสียง การที่เหยียบใบไม้จนแตกย่อมเป็นเพราะมันจงใจจะเตือนทุกคนว่าหันมามองข้าสิ หันมามองข้าสิ
หลิ่วฉือมองดูมัน ก่อนจะมองไปทางจิ๋งจิ่วแล้วกล่าวว่า “เป็นถึงผู้พิทักษ์ของชิงซาน จะให้มันมาคอยเฝ้ายอดเขาให้ท่านไม่ได้นะ”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ผู้พิทักษ์ชิงซาน ไม่คอยเฝ้าข้า แล้วจะให้ไปเฝ้าใคร?”
แมวขาวดวงตาหรี่เล็กลง ในใจครุ่นคิดว่าพวกเจ้าอาจารย์อากับศิษย์หลานไม่แกล้งทำเป็นไม่รู้จักกันแล้วหรือ? ช่างน่าเบื่อจริงๆ
หลิ่วฉือไม่รู้ว่าควรจะตอบคำพูดของจิ๋งจิ่วอย่างไร เมื่ออยู่ต่อหน้าศิษย์รุ่นหลังอย่างกู้ชิงและหยวนฉวี่ เขาก็ไม่สะดวกที่จะใช้คำพูดแบบนั้นตอกกลับไป จึงได้แต่ยิ้มเจื่อนแล้วจากไป
ในขณะที่กู้ชิงกับหยวนฉวี่กำลังตกตะลึง แมวขาวก็เดินเข้ามาคลอเคลียอยู่ที่ขาของจิ๋งจิ่ว
จิ๋งจิ่วรู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร มือขวาจึงยื่นนิ้วชี้ออกไป เขียนอะไรบางอย่างไปบนใบไม้ใบหนึ่งที่อยู่บนพื้น จากนั้นหยิบมันขึ้นมาโดยที่มือมิได้สัมผัส เตรียมจะมอบมันให้แก่พวกวานร แต่เมื่อครุ่นคิดเล็กน้อยก็มอบมันให้กับหยวนฉวี่พลางกล่าวว่า “เอาไปให้หยวนฉีจิง”
หยวนฉวี่ตื่นเต้นเล็กน้อย เขามองดูใบหน้าที่มีรอยยิ้มเล็กน้อยของกู้ชิง จากนั้นมองดูดวงตาที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของท่านไป๋กุ่ย ในใจครุ่นคิดว่าตอนนี้ไม่ต้องเสแสร้งอะไรแล้ว?
เขาขี่กระบี่บินออกไปจากยอดเขา แต่ไม่กล้าตรงไปยังสถานที่เป้าหมาย หากแต่บินลงมาหยุดอยู่ที่ตีนเขาตามกฎของยอดเขาซั่งเต๋อ จากนั้นเดินขึ้นไปบนเขา
เดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็มองเห็นศิษย์น้องอวี้ซานที่พุ่งทะยานลงมาราวพายุหิมะ จึงรู้สึกตกใจเล็กน้อยพลางกล่าวถามว่า “ศิษย์น้อง นี่เจ้าจะไปไหน?”
ศิษย์น้องอวี้ซานเองก็ตกใจเช่นเดียวกัน นางกล่าวว่า “ข้าจะไปพบอาจารย์อา แล้วท่านมาทำอะไรที่นี่?”
หยวนฉวี่เอาใบไม้ที่อยู่ในมือมอบให้แก่นาง จากนั้นกล่าวว่า “ช่วยข้าเอาจดหมายไปส่งหน่อยสิ เอาไปวางไว้ด้านล่างก้อนหินที่คืนนั้นเจ้ากับข้าไปดูดาวกัน”
ศิษย์น้องอวี้ซานแลบลิ้นออกมาอย่างเขินอาย กล่าวว่า “ข้าขี้เกียจสนใจแล้วว่าท่านกับอาจารย์ในยอดเขามีความสัมพันธ์อะไรกัน ท่านไปส่งเองเถอะ ข้าจะไปยอดเขาเสินม่อ”
หยวนฉวี่ถอนใจพลางกล่าวว่า “อาจารย์อาเกียจคร้านขนาดนั้น แล้วจะรับศิษย์เพิ่มได้อย่างไร ต่อให้เจ้าอยากจะเปลี่ยนยอดเขาก็ไม่มีใครรับหรอก”
บนใบหน้าของศิษย์น้องอวี้ซานเต็มไปด้วยความมั่นใจ นางกล่าวว่า “ในงานชุมนุมสืบทอดกระบี่ครั้งนั้น อาจารย์อาจิ๋งเป็นคนให้ข้าเข้ามาเป็นศิษย์ยอดเขาซั่งเต๋อ เขาไม่มีเหตุผลที่จะไม่สนใจข้า”
หยวนฉวี่กล่าวอย่างจนปัญญา “อย่าดื้อน่า อย่างน้อยวันนี้ก็อย่าเพิ่งไป อาจารย์อาอารมณ์ดูไม่ค่อยดี กำหมัดอยู่ตลอดเวลา ดูแล้วเหมือนอยากจะต่อยคน”
อวี้ซานลืมตาโต ในใจครุ่นคิดว่าถึงแม้อาจารย์อาจะเย็นชา แต่เขาก็ไม่เคยอารมณ์เสียใส่ใครมาก่อน นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
หยวนฉวี่กล่าวอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ข้าไม่รู้ อาจารย์ก็เก็บตัวอยู่ ใครจะกล้าไปถามล่ะ?”
……………………………………………………………..