มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 165 ตกเย็นอยากดื่มสุรา
เจ้าล่าเยวี่ยเลิกคิ้วขึ้น ในใจคิดว่านั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว แต่นางก็ยังรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจ จึงกล่าวถามว่า “แต่เหตุใดนางถึงยังคิดจะใช้ยันต์เซียนกลับมาอีก?”
นี่ก็เป็นเรื่องที่หลิ่วฉือไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน สิ่งที่ผู้บำเพ็ญพรตปรารถนาก็คือการบรรลุกลายเป็นเซียน ในเมื่อเป็นเซียนแล้ว เหตุใดถึงยังจะกลับมายังโลกนี้อีก?
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เป็นเพราะว่าหวาดกลัว”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวว่า “นางกังวลว่าหากนักพรตจิ่งหยางยังมีชีวิตอยู่ เมื่อพบความจริงเข้าจะมาแก้แค้นเหล่าศิษย์ของเขาอวิ๋นเมิ่ง ดังนั้นจึงคิดจะแบ่งร่างกลับมาจับตาดูเจ้าเอาไว้?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “นั่นมิใช่ความหวาดกลัวอย่างแท้จริง การที่นางทิ้งยันต์เซียนเอาไว้ ก็เหมือนเป็นการทิ้งทางหนีทีไล่เอาไว้ หรือก็คือทางกลับมา”
เจ้าล่าเยวี่ยถามอย่างจริงจังว่า “สิ่งที่นางหวาดกลัวคืออะไรกันแน่?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “มหาสมุทรและท้องฟ้าดูเหมือนกว้างใหญ่ไพศาล แต่สุดท้ายแล้วก็ยังมีขอบเขต แต่ในโลกนั้นคือความว่างเปล่าที่ไร้ขอบเขตอย่างแท้จริง เมื่ออยู่ที่นั่นเจ้าจะหาจุดให้เจ้าปักหลักไม่พบ ไม่มีสิ่งให้ใช้อ้างอิง ไม่มีสหาย ไม่มีที่มาและไม่มีที่ไป นี่คือจุดเริ่มต้นของความหวาดกลัวอย่างแท้จริง”
เจ้าล่าเยวี่ยนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ใจแห่งเต๋าค่อยๆ เงียบสงัด ความอ้างว้างโดดเดี่ยวค่อยๆ เกิดขึ้น?”
“ถูกต้อง เมื่ออยู่ที่นั่น เงาของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในโลกแห่งจิตใจจะถูกขยายใหญ่ขึ้นนับหลายร้อยหลายพันเท่า จากนั้นค่อยๆกลืนกินร่างของตัวเองไป”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “สิ่งที่นางหวาดกลัวก็คือความไร้ขอบเขตและตัวเองที่อยู่ในความไร้ขอบเขต”
เจ้าล่าเยวี่ยพอจะเข้าใจความหมายของเขา จึงกล่าวถามต่อว่า “ทำไมถึงต้องมาพูดเรื่องเหล่านี้กับข้า?”
เรื่องเกี่ยวกับการบรรลุเป็นเซียนของนักพรตจิ่งหยาง ความลับเกี่ยวกับเซียนและโลกใบนั้น นางเชื่อว่าจิ๋งจิ่วไม่เคยพูดกับคนอื่นมาก่อน ยกเว้นนาง
ความเชื่อมั่นหรือก็คือความคาดหวังเช่นนี้ได้สร้างความกดดันให้แก่นางอย่างมาก
“สักวันเจ้าจะได้ไปยังโลกนั้น รู้เรื่องพวกนี้เอาไว้ก่อนบ้างมันก็ไม่เสียหายอะไร”
น้ำเสียงของจิ๋งจิ่วคล้ายกำลังบอกว่านางจะได้บรรลุกลายเป็นเพียงอย่างแน่นอน
เจ้าล่าเยวี่ยยิ่งรู้สึกกดดันมากขึ้นกว่าเดิม
ในช่วงเวลาพันกว่าปีที่ผ่านมา บนแผ่นดินเฉาเทียนมีเพียงไป๋เริ่นและจิ่งหยางสองคนเท่านั้นที่บรรลุกลายเป็นเซียน นางเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด มีความมั่นใจในการบำเพ็ญพรตของตัวเองอย่างมาก แต่นางก็ยังไม่กล้าที่จะคิดถึงขั้นนั้น
จิ๋งจิ่ววางหวีไม้จันทราลงแล้วเริ่มถักเปียให้นาง เขาใช้มือขวาเพียงมือเดียว การเคลื่อนไหวดูง่ายดาย
การที่เขาเล่าเรื่องเหล่านี้ให้เจ้าล่าเยวี่ยฟังเพียงคนเดียวย่อมต้องเป็นเพราะยังมีเหตุผลอื่นอีก อย่างเช่นนางไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องในอดีต หรือพูดอีกอย่างก็คือเขาไม่อาจเชื่อหลิ่วฉือและหยวนฉีจิงได้อย่างสนิทใจ แต่กลับเชื่อใจนางเป็นอย่างมาก เพราะนางคือผู้สืบทอดที่เขาเลือกเอาไว้ตอนที่อยู่ในเมืองเจาเกอท่ามกลางหิมะที่ตกลงมาเบาๆ และหลังจากที่นางกลายเป็นศิษย์ชิงซานแล้วก็ยังไม่ลืมเขา
ในฐานะที่เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนินที่ถูกสำนักชิงซานให้ความสำคัญ นางไม่จำเป็นต้องทำอะไรก็สามารถมีอนาคตที่สดใสได้ แต่นางก็ยังเสี่ยงอันตราย สืบหาความจริงเรื่องนั้น เพียงเพื่อจะทวงความยุติธรรมให้แก่เขา
ในงานชุมนุมสืบทอดกระบี่นางเป็นผู้ที่เหล่าอาจารย์ของทุกยอดเขาต่างแย่งชิงกัน กระทั่งหลิ่วฉือและหวนฉีจิงก็ยังอยากจะรับนางไว้เป็นศิษย์ แต่นางก็ยังเลือกที่จะขึ้นเขาเสินม่อเพื่อสืบทอดยอดเขาต่อจากเขา แม่ทั้งร่างจะเต็มไปด้วยบาดแผลก็ยังก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างไม่หวาดกลัว
และนับตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมา จิ๋งจิ่วก็ตัดสินใจที่จะเอาความรู้ทุกอย่างถ่ายทอดให้แก่นาง โดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อย
สำหรับเขาแล้ว ด้วยพรสวรรค์และนิสัยของล่าเยวี่ย ทั้งยังได้รับสืบทอดเพลงกระบี่และวิชาเต๋าของตนเอง หากยังไม่สามารถบรรลุกลายเป็นเซียนได้ เช่นนั้นสวรรค์ก็ไร้เหตุผลเกินไปแล้ว
ในเมื่อสวรรค์ไร้เหตุผล ดังนั้นยังจะมีสวรรค์ไว้ทำไม ถึงตอนนั้นฟันทิ้งเสียก็สิ้นเรื่อง
เจ้าล่าเยวี่ยสะบัดเปียมาข้างหน้า จากนั้นหันกลับไปมองมือซ้ายที่กำแน่นของเขา ก่อนจะถามอย่างเป็นห่วงว่า “แล้วตอนนี้จะทำอย่างไร?”
ไป๋เริ่นไม่มีทางคิดคำนวณได้ว่าหลังจิ่งหยางตกลงมาจากดินแดนเซียนแล้วจะยังมีชีวิตอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นยันต์เซียนที่ตนเองทิ้งเอาไว้ยังตกอยู่ในมือของเขาอีก
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ ไม่ใช่แผนการที่วางเอาไว้แต่แรก แต่สำหรับจิ๋งจิ่วแล้ว นี้ยังคงเป็นบททดสอบที่ยากเข็ญอย่างมาก เรียกได้ว่าอันตรายถึงชีวิต
เส้นทางที่วางอยู่ตรงหน้าเขามีเพียงเส้นเดียว นั่นก็คือหลอมละลายยันต์เซียน ไม่อย่างนั้นจิตเซียนที่อยู่ในยันต์เซียนจะค่อยๆ รุกล้ำเข้ามาในร่างกายและใจแห่งเต๋าของเขา จนกระทั่งแอบยึดครองอย่างเงียบๆ
แต่ปัญหาก็คือการจะหลอมยันต์เซียนมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเอาไว้
ตอนที่เขาพูดกับหลิ่วฉือว่าจะหลอมยันต์เซียน ท่าทีเขาดูสงบเยือกเย็น แต่หลิ่วฉือมองออกว่าเขาไม่มั่นใจในตัวเองเท่าไร
ในดินแดนแห่งความฝันของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง ตอนที่เขายื่นมือไปหากระถางสัมฤทธิ์ใบนั้น เขาก็สัมผัสได้ว่าหากพลังเซียนที่เก็บซ่อนอยู่ภายในยันต์เซียนถูกปลดปล่อยออกมาจริงๆ มันจะมีอานุภาพที่รุนแรงเป็นอย่างมาก ต่อให้เป็นยอดคนขั้นทะลวงสวรรค์ก็ยากที่จะเผชิญหน้าตรงๆ ได้
อยากจะหลอมยันต์เซียนแต่กลับไม่อยากสัมผัสถูกพลังเซียนที่อยู่ด้านใน นี่เป็นเรื่องที่ยากลำบากเป็นอย่างมาก และที่ยากลำบากที่สุดก็คือระดับชั้นของจิตเซียนดวงนั้นสูงส่งเป็นอย่างมาก เหนือกว่าผู้บำเพ็ญพรตทั้งแผ่นดินเฉาเทียน
“ครั้งนี้อาจจะต้องไปให้เพื่อนคนหนึ่งช่วยจริงๆ แล้ว”
จิ๋งจิ่วมองไปยังด้านบนของถ้ำ
ท้องฟ้าสีน้ำเงินกว้างใหญ่ไพศาล มิได้มีกลิ่นของฤดูใบไม้ร่วงเท่าไรนะ
เพื่อนที่เขาพูดนั้นย่อมมิใช่ราชินีที่อยู่ในส่วนลึกของที่ราบหิมะ แล้วก็มิใช่เพื่อนยักษ์ที่อยู่ในดินแดนแปลกหน้า
เจ้าล่าเยวี่ยมองตามสายตาเขาขึ้นไปบนฟ้า รู้สึกไม่ค่อยเข้าใจ แต่ที่มากกว่านั้นก็คือรู้สึกสงสัย
เมื่อหลายปีก่อน เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องผีกระบี่แล้ว จิ๋งจิ่วได้ไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนคนหนึ่ง ในตอนนั้นนางและกู้ชิง ต่างคิดในใจว่าท่านก็มีเพื่อนด้วยอย่างนั้นหรือ?
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในภายหลังได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าจิ๋งจิ่วนั้นมีเพื่อนอยู่จริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อนของเขาก็คือจักรพรรดิแห่งหมิงองค์สุดท้าย
เจ้าล่าเยวี่ยอยากจะรู้นักว่าครั้งนี้เขาจะไปหาใคร เพื่อนคนนั้นจะเป็นยอดคนที่น่าตกตะลึงแค่ไหนกัน
จิ๋งจิ่วรู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ จึงมองท้องฟ้าเงียบๆ อยู่ครู่ ก่อนกล่าวว่า “เขาตายไปแล้ว”
……
……
ท้องฟ้ายามเย็นปกคลุมวัดกั่วเฉิง
ป่าสนแดงฉานคล้ายเตาไฟ ป่าเจดีย์ย้อมแสงอาทิตย์ยามเย็น
ภายในป่าเจดีย์มีเจดีย์หินบ้างสูงบ้างต่ำจำนวนนับไม่ถ้วน ฝังร่างสมณะสูงศักดิ์ของวัดกั่วเฉิงแต่ละยุคแต่ละสมัยเอาไว้ แต่กลับไม่มีความรู้สึกน่ากลัวอะไร มีเพียงแค่ความสงบ
อินซานนั่งอยู่บนบันไดหินตรงด้านหน้าห้องภาวนา ขลุ่ยกระดูกจรดอยู่ที่ริมฝีปาก นิ้วมือกดเบาๆ เป่าบทเพลงที่ไม่มีเสียง แล้วก็ไม่ได้มีความรู้สึกเศร้าสร้อยอะไร ยังคงเงียบสงบ
ปรมาจารย์แห่งสำนักเสวียนอินเดินออกมาจากในห้อง ยืนอยู่ด้านหลังเขา ฟังบทเพลงที่ไม่มีเสียงนี้อย่างเงียบๆ จนจบ จากนั้นถึงจะพูดขึ้นา
“คนที่อยู่ในคุกสะกดมารคือจิ๋งจิ่ว เหตุใดถึงไม่บอกเรื่องนี้กับสำนักจงโจว?”
อินซานวางขลุ่ยกระบี่ลง ใช้แขนเสื้อเช็ดมันอย่างตั้งใจจนสะอาด จากนั้นเสียบกลับไปที่เอวแล้วตอบว่า “หากเพียงแค่นี้ยังมองไม่ออก แล้วสำนักจงโจวจะยึดครองเส้นปราณวิญญาณที่เขาอวิ๋นเมิ่งมาสามหมื่นปีได้อย่างไร?”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินขยี้จมูกที่แดงเรื่อพลางกล่าวว่า “แต่ก็บอกตัวตนที่แท้จริงของจิ๋งจิ่วให้เขารู้ก็ได้นี่นา”
มุมปากของอินซานยกขึ้นมาเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มเย้ยหยัน กล่าวว่า “หลายปีมานี้ รายละเอียดจำนวนนับไม่ถ้วนที่เกี่ยวข้องกับเขาล้วนแต่กำลังบอกเล่าถึงเรื่องราวที่เหมือนกัน มันเหมือนกับว่าเขายืนอยู่บนยอดเขาเสินม่อแล้วตะโกนว่าข้าคือจิ่งหยาง เจ้าคิดว่าเขาคิดอยากจะปิดบังตัวตนที่แท้จริงของตนเองอย่างนั้นหรือ?”
ปรมาจารย์สำนักอินซานถอนหายใจพลางกล่าวว่า “หากสามารถคาดเดาความคิดของนักพรตทั้งสองได้ล่ะก็ ในอดีตข้าก็คงไม่พ่ายแพ้ย่อยยับถึงเพียงนี้”
อินซานลุกขึ้นยืน กล่าวอย่างเฉยชาว่า “เขาต้องการให้สายตาและการคาดเดาของคนอื่นมายืนยันว่าแท้ที่จริงแล้วตนเองเป็นใคร”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจเล็กน้อย กล่าวว่า “หรือว่าเขาสูญเสียความจำไปแล้ว”
อินซานกล่าวหยอกล้อเล็กน้อย “ไม่ เขาเพียงแค่กำลังหลบอยู่”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินมองดูใบหน้าด้านข้างของเขา หรี่ตาเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “อย่างนั้นเขาเป็นใครกันแน่?”
อินซานปัดฝุ่นพลางกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกไปแล้ว ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร อย่างไรเสียเขาก็มิใช่จิ่งหยาง”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินกล่าวว่า “เรื่องนี้ช่างน่าสนุกจริงๆ”
“แต่ข้ากลับคิดว่าเรื่องนี้มันค่อนข้างน่าเศร้า”
อินซานเดินไปในป่าเจดีย์ ก่อนจะหายไปในท้องฟ้ายามเย็นอย่างรวดเร็ว
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินมองดูท้องฟ้ายามเย็น ภายในดวงตาที่หรี่เล็กมีสายตาแปลกๆ ปรากฏขึ้นมา
ตัวเขาในเวลานี้ไหนเลยจะเหมือนสุนัขแก่ หากแต่เป็นสิงโตชราที่อยากจะกลับไปหาฝูงสิงโต ทั้งมุ่งมั่นและอดทน
เสียงระฆังบอกเวลาเย็นดังขึ้น วัดกั่วเฉิงถึงเวลารับประทานอาหารเย็น ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินถือกล่องข้าวเดินมายังห้องครัวที่อยู่ตรงเรือนส่วนหน้า มาหาสมณะอ้วนที่คุ้นเคยรูปนั้น
ทั้งสองคนหลบอยู่ตรงมุมใต้ทางเดิน เปิดกล่องข้าว ขาหมูที่ต้มเสร็จเรียบร้อยขาหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า
ด้านซ้ายของขาหมูมีใบงาสดวางอยู่สามสี่ใบ ด้านขวามีใบงาที่หมักเสร็จเรียบร้อยวางอยู่สามสี่ใบ ต่างก็ดูมีรสชาติ
สมณะอ้วนมองดูขาหมู น้ำลายไหลออกมา กล่าวว่า “เนื้อช่างหอมจริงๆ เขาอยู่ที่ทะเลตะวันตก ทุกอย่างสบายดี กินคู่กันแล้วไม่เลี่ยน กำลังหาทางกล่อมคนผู้นั้นอยู่”
เสียงของเขาเบาเป็นอย่างมาก บวกกับเสียงน้ำลาย คำพูดที่กล่าวออกมาจึงฟังดูไม่ชัดเจน แต่เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นมิได้เป็นคำพูดไร้สาระอย่างแน่นอน
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินหยิบขาหมูขึ้นมากัดคำหนึ่ง ฉีกทั้งเนื้อและหนังออกมาคำใหญ่ กล่าวเสียงอู้อี้ว่า “ขอเพียงกระบี่เดียว สังหารนักพรตทั้งสอง ทั้งเนื้อทั้งหนัง ทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ ลงมือเด็ดขาด สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน มันหอมเต็มปาก มีหรือจะไม่หวั่นไหว?”
สมณะอ้วนกล่าวด้วยสีหน้าแห้งๆ “ท่านลืมใส่เกลือ…แล้วชิงซานจะทำอย่างไร?”
ปรมาจารย์เอามือลูบหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบมัน ก่อนกล่าวอย่างดูแคลนว่า “หมักไว้ก่อนแล้ว เขามิใช่ว่าไม่มีอาจารย์เสียหน่อย ไม่กินก็หุบปาก เจ้าไร้ค่า”
สมณะอ้วนคิดอย่างโมโห ตอนนี้ท่านเป็นอย่างนี้ยังจะอารมณ์ร้ายขนาดนี้อีกหรือ? อาจารย์ท่านนั้นก็เป็นผู้หลบหนีกระบี่เช่นกัน ถึงแม้จะถูกชิงซานขังเอาไว้ในเกาะหมอกที่ทะเลทางใต้ แต่ก็ยังถือว่าใช้ชีวิตอย่างสงบและอิสระ ไหนเลยจะเป็นเหมือนผู้หลบหนีกระบี่อย่างท่านที่จะมาแอบกินเนื้ออยู่ในวัด คอยตามคนอื่นต้อยๆ?
……
……
เดินผ่านป่าเจดีย์และป่าสน ผ่านตำหนักด้านข้างและประตูด้านข้าง เมื่อมาถึงบริเวณหน้าผาบนภูเขาก็สามารถมองเห็นสวนผักที่อยู่ด้านล่าง
ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น เสียงแอดดังขึ้น ประตูของกระท่อมถูกผลักออก เสี่ยวเหอถือกาน้ำชาเดินออกมา
อินซานมองดูภาพนี้ ได้ยินเสียงไอที่ดังออกมาจากในกระท่อม คิ้วขมวดขึ้นเล็กน้อย
หลิ่วสือซุ่ยกลับมาจากเขาอวิ๋นเมิ่ง แต่บนใบหน้าของจิ้งจอกน้อยกลับไม่มีสีหน้ายินดี ดูแล้วสถานการณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร
ปัญหาความขัดแย้งของปราณก่อกำเนิดต่างชนิดในร่างกายเขาดีขึ้นหลังจากที่ได้ฝึกคัมภีร์ของวัดกั่วเฉิง แต่ในช่วงสองปีนี้กลับรุนแรงขึ้นมาใหม่
ฉานจึเคยเขียนจดหมายฉบับหนึ่งแนะนำให้เขาไปเรียนวิชาที่เรือนอี้เหมา หากเขาสามารถเรียนวิชานี้ได้สำเร็จ ก็น่าจะสามารถขจัดปัญหาภายในร่างกายไปได้ทั้งหมด แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด หลิ่วสือซุ่ยกลับไม่ได้ไป
อินซานทราบเรื่องนี้ รู้สึกว่าน่าสนใจ
แสงอาทิตย์ยามเย็นเข้มขึ้นเรื่อยๆ ท้องฟ้าสลัวลงเรื่อยๆ จู่ๆ เขาพลันตัดสินใจออกมา
เขาเดินไปเข้าไปในสวนผัก ผลักประตูเข้าไป มองดูหลิ่วสือซุ่ยพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “มีสุราไหม? วันนี้ข้าอยากดื่มเสียหน่อย”
……………………………………………………………..