มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 167 บึงน้ำยี่สิบสามปี (2)
คันฉ่องฟ้ากระจ่างนั้นคือของวิเศษชั้นสวรรค์ที่แท้จริง สถานะภายในสำนักจงโจวใกล้เคียงกับกิเลนฉีหลินและมังกรชางหลงที่ตายไป มีเพียงอาจารย์ทั้งสองท่านถึงจะทำการตัดสินใจเช่นนี้ได้
สาวน้อยคนนั้นทำอะไรผิดกันแน่ ถึงได้ถูกลงโทษเช่นนี้?
ถงเหยียนศึกษาวิถีแห่งหมากล้อมจนลึกวึ้ง พลังการคำนวณแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ใช้เวลาเพียงสั้นๆ ก็สามารถเข้าใกล้ความจริง ขณะเดียวกันก็ได้ข้อสรุปออกมาว่านี่มิใช่เรื่องที่เขาจะสอดมือเข้าไปยุ่งได้
เขาเอาเหยือกสุราวางไปบนโต๊ะหิน ลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอกถ้ำอย่างไม่ลังเล
เมื่อรับรู้ได้ว่าเขาจากไป เสียงที่ดังมาจากส่วนลึกใต้พื้นดินก็ค่อยๆ หายไป ทุกอย่างกลับคืนสู่ความเงียบสงัด สิ้นหวังถึงที่สุด
ถงเหยียนมาถึงปากถ้ำ สะบัดมือโยนป้ายหยกออกมา
ป้ายหยกวาดลำแสงเป็นทางยาว พุ่งออกไปยังที่ที่หนึ่งในเขาอวิ๋นเมิ่ง นำพากระแสจิตของเขาไปหาไป๋เจ่า
—-ข้ารู้แจ้งอะไรบางอย่างมาจากในดินแดนแห่งความฝัน ตัดสินใจเก็บตัว เวลายังไม่ทราบ
เขาเปิดข่ายพลังปิดกั้นทั้งสามชั้นออกอีกครั้ง จากนั้นหมุนตัวเดินเข้าไปในส่วนลึกของถ้ำแล้วตั้งม่านพลังสายหนึ่งขึ้นมา ก่อนจะเดินมาที่ด้านหน้าผนังหิน จ้องมองดูรอยแตกรอยนั้นอยู่เป็นเวลานาน
ไม่นานเขาก็ได้ข้อสรุปข้อที่สองออกมา นี่แทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เส้นปราณแผ่นดินเชื่อมต่อกับข่ายพลังอวิ๋นเมิ่ง หากคิดจะแอบเข้าไปในส่วนลึกของเส้นปราณแผ่นดินก็มิอาจใช้พลังใดๆ ได้ ไม่อย่างนั้นจะต้องถูกพบเข้าอย่างแน่นอน
และของล้ำค่าอย่างคันฉ่องฟ้ากระจ่างจะต้องมีคนคอยเฝ้าอยู่อย่างแน่นอน อาจจะเป็นสัตว์เทพกิเลนฉีหลิน ต่อให้เข้าไปถึงส่วนลึกของเส้นปราณแผ่นดินได้จริงๆ แล้วเขาจะทำอะไรได้?
เขาไม่มีข้อสรุปที่สาม
สำหรับคนที่เฉลียวฉลาดและคาดการณ์อะไรไม่เคยพลาดแล้ว มีสถานการณ์เพียงสองอย่างเท่านั้นที่ไม่จำเป็นต้องครุ่นคิด
อย่างแรกคือคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก อีกอย่างก็คือคิดอย่างไรก็ไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี อย่างนั้นในเวลาแบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องคิดคาดการณ์อะไรอีก แค่ทำไปก็พอ
ถงเหยียนถอดเสื้อผ้าท่อนบนออก พับเก็บอย่างเรียบร้อยแล้ววางไปบนเตียง ก่อนจะเดินไปที่ด้านหน้าผนังหิน
สองมือที่มั่นคงวางลงไปบนผนังหินที่แข็งแกร่ง ก่อนจะเริ่มขุดเอาหินก้อนใหญ่ออกมาก้อนหนึ่งอย่างไร้ซุ่มเสียง เหมือนเอามือควักลงไปในเต้าหู้อย่างไรอย่างนั้น
ไม่นานซอกหินซอกนั้นก็ถูกขุดจนกลายเป็นปากโพรงขึ้นมา บนพื้นเต็มไปด้วยเศษหินเศษทรายที่กองรวมกันเหมือนภูเขาลูกเล็กๆ
นี่ดูคล้ายจะรวดเร็ว แต่เมื่อคิดถึงความลึกของเส้นปราณแผ่นดินและระยะห่างจะพื้นผิวก็จะรู้ได้ว่านี่ยังคงช้าเป็นอย่างมาก
ถงเหยียนคำนวณเรียบร้อยแล้ว หากอยากจะขุดลงไปถึงเส้นปราณแผ่นดินจะต้องใช้เวลาประมาณยี่สิบปี
ความจริงอันนี้ไม่ได้ทำให้เขาคิดถอยแม้แต่เพียงนิดเดียว เขายังคงขุดต่อไปอย่างเงียบๆ
สำหรับผู้บำเพ็ญพรตแล้ว การเก็บตัวยี่สิบปีถือเป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก
……
……
ฤดูหนาวมาเยือน
ข่ายพลังชิงซานเปิดออกเหมือนอย่างที่ผ่านมา ต้อนรับหิมะแรกและหิมะสอง หิมะสาม
บนยอดเขาเสินม่อ ประตูหินของถ้ำแห่งหนึ่งเปิดออก
จิ๋งจิ่วเดินสองมือไพล่หลังมายังริมผา ทอดตามองดูยอดเขาต่างๆ ที่อยู่ภายใต้พายุหิมะ มือซ้ายยังคงกำอยู่
หิมะตกลงอย่างเงียบเชียบ ยอดเขาเทียนกวงเป็นเหมือนปกติ ยอดเขาซั่งเต๋อเป็นเหมือนปกติ ยอดเขากระบี่ ยอดเขาซีไหล แต่ละยอดเขาล้วนแต่เป็นปกติ
ทิวทัศน์ที่อยู่ตรงหน้ากับทิวทัศน์ที่ตัวเขาได้เห็นก่อนที่จะตัดสินใจไปยังเมืองเจาเกอเมื่อหลายปีก่อนไม่ได้มีอะไรแตกต่างกัน
เพียงแต่ยอดเขาชิงหรงที่อยู่ไม่ไกลมีเสียงเพลงลอยมา
ไม่ว่าจะเพื่อชื่นชมหิมะ หรือเพื่อชื่นชมดอกเหมย อย่างไรเสียก็ต้องมีเหตุผลให้บรรเลงเพลง
ผลงานในงานชุมนุมสืบทอดกระบี่และทดสอบกระบี่ของยอดเขาชิงหรงในหลายปีนี้ไม่ค่อยดี นี่ย่อมต้องเป็นเพราะหนานว่างคอยให้ท้าย
จิ๋งจิ่วส่ายศีรษะ มองดูก้านธงสีขาวที่ตั้งอยู่ในพื้นหิมะ นิ้วมือขวาดีดออกไป
เสียงผัวะเบาๆ ดังขึ้น
แมวขาวกระเด้งตัวขึ้นมาจากพื้นหิมะหนาๆ ส่งเสียงร้องอย่างโกรธเกรี้ยว ขนสีขาวทั่วทั้งร่างพองตัวออกคล้ายลูกธนู ในขณะที่กำลังเตรียมจะขย้ำคนที่เข้ามา กลับพบว่าเป็นเขา จึงได้แต่ต้องเก็บความโกรธเกรี้ยวเอาไว้อย่างขมขื่น
จู่ๆ มันพลันรู้สึกว่าเหมือนเคยเห็นภาพเหตุการณ์แบบนี้ที่ไหน จึงเอียงศีรษะเล็กน้อย ดูค่อนข้างงุนงง
ไม้วิญญาณอัศนีทั้งห้าอันถูกเอากลับมาจากคุกกระบี่แล้ว ในเวลานี้อยู่ที่ยอดเขาเสินม่อ แต่จิ๋งจิ่วกลับไม่ได้ให้อาต้ากลับไปยังยอดเขาปี้หู
เห็นได้ชัดว่าเจ้าสำนักไม่เห็นด้วยที่เขาจะเอาผู้พิทักษ์ของชิงซานมาเป็นแมวเฝ้าบ้านของตนเองแบบนี้ แต่เขากลัวตายขนาดนี้ จึงขี้เกียจจะไปสนใจ
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “อาต้า ประเดี๋ยวเตรียมตัวตามข้าไปที่หนึ่ง”
จำเป็นต้องบอกกล่าวเป็นการเฉพาะ อีกทั้งยังต้องเตรียมตัว ดูแล้วสถานที่นั้นคงจะไกลเป็นอย่างมาก ต้องเดินทางเป็นเวลานาน
เมวขาวรู้สึกโมโห ในใจครุ่นคิดว่าหรือจะเอาอีกแล้ว? หากตามเจ้าไปท่องเที่ยวบนโลกเพื่อรังแกคนอื่นก็ว่าไปอย่าง แต่สิ่งที่ตนเองได้ไปเจอทุกครั้งถ้าไม่ใช่ชางหลงก็เป็นเทพกระบี่ซีไห่ ใครมันจะไปรับมือไหว? อีกอย่างไม้วิญญาณอัศนีก็กลับมาแล้ว หรือยังจะต้องเอาไปให้หมาอีก?
ครั้งที่แล้วจิ๋งจิ่วใช้คำว่าสู้มาเกลี้ยวกล่อมมัน
การต่อสู้ของมังกรและพยัคฆ์
ครั้งนี้คำที่เขาใช้ก็คือสถานที่หนึ่ง
“ข้าจะไปวัดกั่วเฉิง ไม้วิญญาณอัศนีอยู่บนทางที่ถูกต้องแล้ว ส่งกลับปี้หู หลิ่วฉือจะดูมันเอง”
แมวขาวนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะส่งเสียงเมี้ยวออกมาเพื่อบอกว่าเห็นด้วย
สำหรับตัวมันในตอนนี้แล้ว การบรรลุเป็นเซียนเรียกได้ว่าหมดหวัง จึงได้แต่ต้องหาวิธียืดอายุขัยให้ยืนยาว
วิชาในด้านนี้ย่อมต้องเป็นสำนักฌานที่เก่งกาจที่สุด มันอยากจะไปฟังธรรมะที่วัดกั่วเฉิงมานานแล้ว เพียงแต่ไม่มีโอกาสที่เหมาะสมเสียที
กู้ชิงและหยวนฉวี่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหน จึงเดินออกมาจากในถ้ำ คารวะจิ๋งจิ่วและแมวขาว
จิ๋งจิ่วกล่าวกับกู้ชิงว่า “อุ้มแมว ตามข้ามา”
ในอดีตจากเมืองเจาเกอไปยังทะเลตะวันตก พวกเขาก็เดินทางกันแบบนี้
กู้ชิงไม่ทันได้ถาม เดินมาตรงหน้าแมวขาว คารวะอีกครั้ง จากนั้นยื่นมือออกมา
เมื่อเห็นภาพนี้ หยวนฉวี่รู้สึกค่อนข้างอิจฉา จะมีศิษย์ชิงซานสักกี่คนที่ได้อุ้มท่านผู้พิทักษ์ไปเดินเที่ยวในโลก? เพียงแต่กู้ชิงเป็นศิษย์ของจิ๋งจิ่ว เขาเป็นศิษย์หลาน สุดท้ายแล้วก็ยังห่างกันอยู่ชั้นหนึ่ง แล้วก็ไม่สะดวกที่จะแย่งชิงอะไร
แต่คิดไม่ถึงว่าแมวขาวกลับไม่ยอมให้กู้ชิงอุ้ม มันโบกอุ้งเท้าให้เขาถอยห่างออกไปหน่อย สีหน้าดูรังเกียจ
เจ้าล่าเยวี่ยเดินมาทางหน้าผา มองดูดวงตาของจิ๋งจิ่วพลางกล่าวว่า “ข้าอุ้มแล้วกัน”
แมวขาวพยักหน้าไม่หยุด
จิ๋งจิ่วกล่าว “ก็ดี”
……
……
เมื่อทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งให้หยวนฉวี่ส่งต่อให้ทางนั้นแล้ว จิ๋งจิ่วก็พาเจ้าล่าเยวี่ยและแมวขาวออกมาจากยอดเขาเสินม่อ
กระบี่มิคำนึงดูสะดุดตาเกินไป พวกเขาจึงใช้กระบี่เหล็กเล่มนั้น ยิ่งไปกว่านั้นบินไปได้ไม่ไกลเท่าไรก็ลงมายังเมืองอวิ๋นจี๋ กินหม้อไฟมื้อหนึ่งก่อนถึงจะเดินทางออกไป
ในการเดินทางหลังจากนั้นพวกเขามิได้ขี่กระบี่ หากแต่ใช้วิธีเดินเท้า
แมวขาวซบอยู่ในอ้อมอกของเจ้าล่าเยวี่ย รู้สึกว่าการเดินทางครั้งนี้ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว ถนนขรุขระไปบ้างก็ไม่เป็นไร
ถนนผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่งบนภูเขา เมื่อมาถึงสันเขาแล้วมองลงไปด้านล่าง ก็จะมองเห็นเรือนที่นับวันจะยิ่งใหญ่ขึ้นทุกวันหลังนั้น
บิดาแซ่หลิ่วยังคงง่วนอยู่กับงานภายในเรือน เส้นผมบนศีรษะยังคงดกดำ ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ ดูเหมือนร่างกายจะยังคงแข็งแรง
มารดาแซ่หลิ่วอุ้มเด็กชายตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ส่วนมือก็จูงเด็กผู้หญิงอายุห้าหกขวบคนหนึ่งเดินออกมา
บิดาแซ่หลิ่วเข้าไปพูดอะไรสักสองสามประโยค ทั้งครอบครัวต่างหัวเราะกันขึ้นมา ดูมีความสุขกันอย่างมาก
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูภาพด้านล่างพลางกล่าวว่า “หลิ่วสือซุ่ยรู้หรือเปล่า?”
“ข้าไม่รู้”
จิ๋งจิ่วหยิบเอายาขึ้นมาเม็ดหนึ่ง ส่งให้เจ้าล่าเยวี่ยพลางกล่าวว่า “เอาไปละลายในตุ่มน้ำ ทิวทัศน์ของสระน้ำที่อยู่ในหมู่บ้านไม่เลว เจ้าไปรอข้าอยู่ที่นั่น”
แมวขาวเงยหน้าขึ้นมา มองดูหิมะที่ตกโปรยปรายลงมาจากบนฟ้า ในใจครุ่นคิดว่ายืนชมวิวอยู่ริมสระน้ำในฤดูหนาว เจ้าบ้าหรือเปล่า?
เจ้าล่าเยวี่ยรับคำ อุ้มแมวขาวเดินไปในหมู่บ้าน เอายาใส่ลงไปในตุ่มน้ำของบ้านตระกูลหลิ่ว จากนั้นเดินไปยังริมสระน้ำแห่งนั้น มองดูผิวน้ำ
หิมะตกลงไปบนผิวน้ำ พริบตาก็ละลายหายไป ราวกับว่าไม่เคยมีอยู่มาก่อน
นางใกล้จะบรรลุถึงขั้นคเนจรระดับกลาง สำหรับคนธรรมดาแล้ว นี่คือเซียนที่แท้จริง เมื่อยืนอยู่ริมสระน้ำก็ไม่มีใครมองเห็น
แมวขาวรับรู้ได้ว่านางค่อนข้างตื่นเต้น จึงส่งเสียงร้องเบาๆ ด้วยคิดจะปลอบใจนาง
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูเกล็ดหิมะที่อยู่บนผิวน้ำ ไม่ได้พูดอะไร
……
……
จิ๋งจิ่วมั่นใจแล้วว่าไม่มีใครมองตนอยู่ ไม่ว่าจะบนท้องฟ้าหรือว่าใต้ดิน เขาเดินออกมาจากหมู่บ้าน เดินกลับไปตามทางที่เขาเดินลงมาในอดีต
บิดาและมารดาแซ่หลิ่วให้กำเนิดลูกอีกสองคน ต้นไม้ที่อยู่ริมสระดูแก่ลงไป ผ่านมายี่สิบสามปีแล้ว
หลังเดินผ่านป่าออกมาเป็นเวลานาน ในที่สุดเขาก็มาถึงริมธารสายนั้น ตอนนั้นเขาตัดไม้ก่อกองไฟขึ้นที่นี่ เป็นครั้งแรกในชีวิตของการเป็นคนมาสองครั้งที่เขาผึ่งเสื้อผ้าให้แห้งด้วยไฟ
ริมธารมีหิมะตกโปรยปรายลงมา บนบึงน้ำที่อยู่ใกล้ต้นน้ำมีแผ่นน้ำแข็งบางๆ ลอยอยู่ แต่เนื่องจากน้ำตกที่ตกลงมาจากกึ่งกลางภูเขา จึงทำให้มันไม่จับตัวแข็ง
จิ๋งจิ่วไต่ตามน้ำตกขึ้นไป เข้าไปในกึ่งกลางภูเขา ทะลุเข้าไปในอุโมงค์ที่มืดมิด มาถึงด้านในถ้ำแห่งนั้น
ไข่มุกที่อยู่ในถ้ำส่องแสงสลัว ส่องสว่างเตียงหินและอาสนะสองใบที่วางอยู่ตรงหน้าเตียง
คนผู้นั้นยังคงนอนอยู่บนเตียงหิน บนใบหน้ามีหมอกที่หนาทึบปกคลุม แล้วก็คล้ายมีดวงดาวนับพันนับหมื่น มองไม่เห็นใบหน้า
จิ๋งจิ่วเดินไปข้างเตียง กล่าวว่า “ข่ายพลังจะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน วันนี้พวกเรามาตรวจดูหน่อยว่าไป๋เริ่นลงมือหรือเปล่า”