มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 168 รู้ก็คือไม่รู้ (1)
คนที่อยู่ในเตียงหินผู้นั้นตายไปนานหลายปีแล้ว เข็มขัดที่ทำจากเอ็นมังกรหมิงเจียวก็เปื่อยยุ่ย ขาดเป็นท่อนๆ ตกลงบนเตียง แต่ร่างกายกลับไม่เน่าเปื่อย ร่างกายที่อยู่ภายใต้ชุดไหมฟ้าที่ฉีกขาดล้วนเต็มไปด้วยรอยปริแตก คราบเลือดที่ผ่านมานานหลายปีเปรอะเปื้อนอยู่ด้านบนเสื้อผ้าคล้ายคราบหมึก ดูค่อนข้างแปลกประหลาด
ไม่ว่าจะเป็นชิงซานหรือว่าสำนักอื่นๆ อย่างจงโจวหรือต้าเจ๋อ ขั้นแรกของการบำเพ็ญพรตก็คือการฝึกร่างกายและลมปราณ สภาวะยิ่งสูงร่างกายก็ยิ่งแข็งแกร่ง อย่างเช่นร่างกายของศิษย์ขั้นมิประจักษ์ของชิงซานที่เรียกได้ว่าแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า แต่ก็เหมือนอย่างที่กล่าวกันว่าพอคนตายเต๋าก็สลาย ดังนั้นการที่คนผู้นี้เสียชีวิตมาเป็นเวลายี่สิบกว่าปี แต่ร่างกายกลับยังไม่เน่าเปื่อย ทั้งๆ ที่อยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ไม่มีการจัดการอะไรเป็นพิเศษ นี่จึงถือเป็นเรื่องที่พบเห็นได้น้อยมาก ไม่รู้ว่าสภาวะก่อนที่คนผู้นี้จะเสียชีวิตสูงส่งถึงขั้นไหน
จิ๋งจิ่วมิได้ปลดกระบี่เหล็กที่สะพายอยู่ด้านหลังลงมา เขายื่นนิ้วมือออกไปขีดเขียนเป็นเส้นหลายสิบเส้นรอบๆ ถ้ำ ใช้เพลงกระบี่แบกสวรรค์ว่างข่ายพลังกระบี่ขนาดเล็กเอาไว้ เนื่องจากสภาวะที่ยังต่ำต้อยและความขัดแย้งที่มีต่อตัวกระบี่แบกสวรรค์ ข่ายพลังกระบี่นี้จึงย่อมมิอาจเทียบกับข่ายพลังที่หลิ่วฉือวางเอาไว้ในเรือนลอกคราบบนเขาอวิ๋นเมิ่งได้ แต่มันก็แข็งแกร่งเพียงพอเช่นกัน
เมื่อทำเรื่องเหล่านี้เสร็จ เขาก็นั่งลงไปบนอาสนะ สองมือวางลงบนหัวเข่า มือซ้ายค่อยๆ คลายออก ระหว่างนิ้วมือทั้งห้ามีรอยแตกเล็กๆ ปรากฏขึ้นมา ลำแสงสีทองจางๆ หลั่งไหลออกมาจากในรอยแตก จากนั้นพยายามจะลอยออกไปนอกถ้ำ แต่กลับถูกข่ายพลังกระบี่ขังเอาไว้ ไม่สามารถออกไปได้
พลังเซียนนี้เป็นพลังเซียนเพียงหนึ่งในพันส่วนของพลังเซียนที่อยู่ในยันต์เซียนวัฒนะ ด้วยสภาวะของเขาในตอนนี้ หากอยากจะควบคุมมันยังคงเป็นเรื่องที่ยากลำบาก สีหน้าพลันขาวซีดขึ้นมาทันที
เขารู้ว่าตนเองจำเป็นต้องเร่งความเร็วขึ้น จึงปล่อยกระแสจิตไปที่ศพร่างนั้น
ศพร่างนั้นสั่นไหวขึ้นมาทันทีที่สัมผัสกับกระแสจิตของเขา ราวกับว่าจะคืนชีพขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น
แต่ความจริงแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ หากแต่เป็นเพราะจิ๋งจิ่วใช้กระแสจิตของตนเองในการโคจรพลังแทนศพร่างนั้น ด้วยคิดอยากจะบีบเอาของบางสิ่งที่ถูกฝังอยู่ในส่วนลึกของหัวใจออกมา
ใช้เวลาไม่นาน จุดแสงเล็กๆ สิบกว่าจุดก็ลอยออกมาจากรอยบาดแผลบนผิวของศพนั้น
หากมองดูดีๆ จะพบว่าจุดแสงเหล่านั้นเปล่งประกายสีทองจางๆ ยิ่งไปกว่านั้นความจริงแล้วพวกมันเป็นเศษชิ้นส่วนอะไรบางอย่าง เพียงแต่เป็นเพราะมีขนาดที่เล็กเป็นอย่างมาก จึงทำให้ดูเหมือนเป็นจุดแสง
จิ๋งจิ่วยกมือขวาขึ้นมาลูบพลังเซียนที่ไหลออกมาจากในยันต์เซียนวัฒนะให้แบนราบ จากนั้นถูมันไปทั่วๆ ในอากาศที่อยู่ตรงหน้า กลายเป็นเหมือนแผ่นบางๆ ที่มีสีทองจางๆ แผ่นหนึ่ง จากนั้นใช้ข่ายพลังกระบี่บีบอัดจุดแสงเหล่านั้นลงไปบนแผ่นสีทองแผ่นนั้น ดูคล้ายกับช่างฝีมือคนหนึ่งกำลังเอาหินหยกฝังลงไปบนแผ่นทอง
เศษชิ้นส่วนเหล่านั้นตกลงไปบนพลังเซียนที่เป็นชั้นบางๆ พวกมันสั่นไหวเล็กน้อยก่อนจะสงบลง เรียกได้ว่าสงบนิ่งเสียยิ่งกว่าศพร่างนั้นเสียอีก
เมื่อเห็นภาพนี้ จิ๋งจิ่วก็ยิ่งมั่นใจในการคาดเดาของตัวเอง แต่เขาก็มิได้หยุดความเคลื่อนไหว หากแต่ยังคงมองดูพลังเซียนที่เป็นแผ่นบางๆ แผ่นนั้น
แต่ไหนแต่ไรมาสายตาของเขานั้นสงบนิ่งเป็นอย่างมาก ม่านตาใสกระจ่าง คล้ายผิวน้ำที่อยู่ในบ่อน้ำ แต่ในเวลานี้กลับสว่างเจิดจ้าขึ้นมา
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเศษชิ้นส่วนและพลังเซียนสายนั้นสะท้อนเข้าไปในส่วนลึกของม่านตาหรือว่าเป็นเพราะตัวเขากำลังตื่นเต้น แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรมันก็คล้ายดวงอาทิตย์ดวงหนึ่งที่จู่ๆ ก็ลอยขึ้นมาจากใต้ทะเลลึก
ในอีกแง่หนึ่งแล้ว ตัวเขาคือร่างกระบี่ไร้ลักษณ์แต่กำเนิด อย่างนั้นดวงตาของเขาก็คือเนตรกระบี่แต่กำเนิด
เมื่ออยู่ต่อหน้าดวงตาคู่นี้ ไม่มีสิ่งใดที่จะหลบหนีไปได้
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร จิ๋งจิ่วค่อยๆ ปิดตาลง ยกมือซ้ายเก็บเอาพลังเซียนสายนั้นกลับมา ขณะเดียวกันเศษจุดแสงเหล่านั้นก็กลับเข้าไปในศพด้วยเช่นกัน
พลังเซียนสายนั้นเป็นเพียงหนึ่งในพันส่วนของพลังเซียนในยันต์เซียน แต่การที่เขาทำแบบนี้มันก็ยังอันตรายอย่างมากอยู่ เพราะหลิ่วฉือมิได้อยู่ข้างกาย อาต้าเองก็อยู่ริมบึงน้ำ
เขามิได้ลืมตาขึ้น หากแต่เริ่มทำสมาธิ จากนั้นภายในความมืดที่อยู่ในดวงตาพลันมีดาวตกจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา
นั่นมิใช่ดาวตกจริงๆ หากแต่เป็นกระบี่เซียนที่โบนบิน
กระบี่เซียนนับหลายหมื่นเล่มลุกไหม้ขึ้นมาท่ามกลางหมู่ดาว
นี่คือภาพที่เขาเคยเห็นด้วยตาตัวเอง
แล้วก็เคยบอกเล่าให้จักรพรรดิแห่งหมิงฟังในคุกสะกดมาร
นอกจากนี้แล้ว เขายังเคยเห็นอะไรมาอีกมากมาย
จากนั้นเขาพบว่าในร่างกายของตนเองมีพลังบางอย่างที่คล้ายมีคล้ายไม่มีคอยดึงตัวเองเอาไว้อยู่
ปลายอีกด้านหนึ่งของพลังสายนั้นคือความว่างเปล่า
ความว่างเปล่าที่อยู่ในหมู่ดาวนั้นมิใช่ความว่างเปล่าที่แท้จริง หากแต่เป็นโลกที่มองไม่เห็น บ้างก็มหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง บ้างก็ระดับชั้นต่ำต้อย
ในโลกเหล่านั้น กระทั่งความเร็วของแสงก็ยังเชื่องช้าอย่างมาก
เขาหันกลับไปมอง พบว่าความว่างเปล่าแห่งนั้นคือสถานที่ที่ตัวเองจากมา นั่นก็คือแผ่นดินเฉาเทียน
การบรรลุเป็นเซียนยังคงมีปัญหา
ข่ายพลังหมอกควันจางหายบนยอดเขาเสินม่อไม่สามารถตัดขาดความผูกพันทั้งหมดที่มีกับโลกนี้ได้
เรียกได้ว่าพลังสายนั้นคือกรรม หรือพูดอีกอย่างก็คือภายในร่างกายของเขายังมีพลังที่ไม่สะอาดหลงเหลืออยู่
มีคนไม่อยากให้เขาจากไป
เขามิได้สนใจ เตรียมจะสะบั้นพลังสายนั้น หลอมให้กลายเป็นยันต์เซียนส่งกลับไปที่ชิงซาน จากนั้นเดินทางไปยังอีกโลกอื่น
เขากำลังหาวิธีที่จะกำจัดพลังที่ไม่สะอาดในระหว่างการเดินทาง ขณะเดียวกันก็หวังจะได้เห็นทิวทัศน์ที่มากขึ้น
การจะสะบั้นใจตัวเองเป็นเรื่องยาก ดังนั้นเขาจึงใช้กระบี่ไร้อัตตา
กายใจไม่แบ่งแยก
ในเวลาเดียวกับที่กระบี่ฟันลงมา การลอบโจมตีก็มาถึงพร้อมกัน
กระบี่บินนับหมื่นเล่มที่อยู่ในหมู่ดาวที่อยู่ไกลโพ้นกลายเป็นเปลวเพลิงที่งดงามในดวงตาของเขา
……
……
จิ๋งจิ่วลืมตาขึ้นมา นิ่งเงียบไปครู่
พลังเซียนที่อยู่ในยันต์เซียนวัฒนะและเศษพลังเซียนที่หลงเหลืออยู่ในศพคือพลังแบบเดียวกัน
เช่นนี้ก็สามารถมั่นใจได้แล้วว่าผู้ที่ลอบโจมตีเขาก็คือเซียนไป๋เริ่นแห่งสำนักจงโจว หรือก็คือผู้ที่โลกแห่งการบำเพ็ญพรตแห่งแผ่นดินเฉาเทียนในปัจจุบันเรียกว่าบรรพจารย์ไป๋
เขาลุกขึ้นยืน มองดูคนที่อยู่บนเตียงหินพลางกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “เรียกนางว่าบรรพจารย์ออกจะดูพิกลอยู่นะ”
ในอดีตนักพรตไท่ผิงไปเรียนวิธีทำหม้อไฟมาจากอี้โจว ส่วนตัวเขากินแล้วแต่กลับไม่ยอมเรียนรู้ว่าทำอย่างไร เพียงแค่เรียนภาษาอี้โจวมาเล็กน้อยเท่านั้น
คิดไม่ถึงว่าในที่สุดวันนี้จะได้ใช้
……
……
ในหมู่บ้านยังคงมีหิมะตกลงมา เพียงแต่ยังมิได้ทับถมเป็นกอง เด็กๆ ในหมู่บ้านก็มิได้ชอบเล่นหิมะเหมือนเด็กที่อยู่ในเมือง ดังนั้นริมบ่อน้ำจึงไม่มีคน
เจ้าล่าเยวี่ยกอดแมวขาวไว้แน่น ยืนอยู่ในพายุหิมะมองดูถนนที่อยู่ตรงปากทางเข้าหมู่บ้านเส้นนั้น ไม่แม้แต่จะกะพริบตา
จนกระทั่งร่างของจิ๋งจิ่วปรากฎขึ้น ร่างกายที่แข็งเกร็งของนางถึงผ่อนคลายลง แมวเขาเองก็รู้สึกตัวเบาขึ้นเล็กน้อย
จิ๋งจิ่วเดินเข้ามาหานางพลางกล่าวว่า “ไป”
เจ้าล่าเยวี่ยอยากจะถามว่าเขาได้เจอเพื่อนคนนั้นหรือเปล่า แต่กลับไม่กล้าถามออกไป เมื่อเห็นมือซ้ายของเขายังคงกำแน่นอยู่ นางจึงถามหยั่งเชิงว่า “ยังจะไปวัดกั่วเฉิงหรือเปล่า?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าบอกแล้วว่าจะไปให้ไปเพื่อนช่วย”
เมื่อมาถึงเมืองอวิ๋นจี๋อีกครั้ง กระบี่เหล็กก็แหวกอากาศพุ่งออกไป ไม่นานก็เข้าไปยังมณฑลหนานเหอ จากนั้นบินจากเมืองเฉาหนานเลียบแม่น้ำจั๋วไปทางตะวันออก มุ่งหน้าไปยังมั่วชิว
ความเร็วของกระบี่เหล็กนั้นเร็วเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าเร็วจนไม่อาจจินตนาการได้