มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 169 วัดแห่งนี้สวนแห่งนี้สามารถสงบใจได้
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูเจดีย์หินที่ดูธรรมดานั้น ในใจครุ่นคิด ใครจะรู้ได้ว่าฮ่องเต้องค์ก่อนจะถูกฝังอยู่ที่นี่?
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ตั้งแต่เล็กเขาชอบใช้ชีวิตเรียบง่าย หากไม่เป็นเพราะไม่มีทางเลือกอื่น เขาก็คงไม่มีทางเป็นฮ่องเต้อยู่ที่เมืองเจาเกอนานขนาดนั้น”
เจ้าล่าเยวี่ยเงยหน้าขึ้นมามองเขา กล่าวถามว่า “เพื่อนที่ท่านมาหาก็คือเขา?”
ตอนที่อยู่บนยอดเขาเสินม่อ จิ๋งจิ่วเคยบอกว่าเพื่อนของเขาคนนั้นตายไปแล้ว
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ถึงแม้จะไม่ถูกต้องนัก แต่ในใจข้า เขานั้นเป็นเหมือนเพื่อนมาโดยตลอด”
สายตาของเจ้าล่าเยวี่ยมองไปยังมือซ้ายที่กำแน่นของเขา กล่าวว่า “เขาจะช่วยท่านได้อย่างไร?”
“ข้ามาที่นี่เพียงไม่กี่ครั้ง แต่ทุกครั้งที่มา ข้าจะรู้สึกสงบเป็นที่สุด”
จิ๋งจิ่วมองดูเจดีย์หินองค์นั้น สายตาสงบนิ่ง มองไม่ออกว่ารู้สึกอย่างไร
สิ่งที่ยากลำบากที่สุดในการหลอมยันต์เซียนนั้นมิใช่พลังเซียนที่ทรงอานุภาพ หากแต่เป็นจิตเซียนที่ไป๋เริ่นทิ้งเอาไว้
จิตเซียนที่แท้จริงไม่สามารถถูกพลังเต๋าบนโลกมนุษย์ทำลายได้ มันจะค่อยๆ ปนเปื้อนใจแห่งเต๋าเหมือนฝนฤดูในใบไม้ผลิที่ชุ่มชื้นในเวลากลางคืน เหมือนดังเปลวเทียนที่ส่องสว่างเสาคาน
ใจแห่งเต๋าและใจแห่งฌานล้วนแต่คือใจ ใจที่นิ่งดั่งน้ำถึงจะสามารถต้านทานการปนเปื้อนนี้ได้
เจดีย์หินเล็กๆ องค์นี้ อาทิตย์ตกดินในป่าเจดีย์ วัดเก่าที่อยู่ใต้อาทิตย์อัสดง เสียงระฆังทำวัตรเช้าภายในวัด เสียงไหวเอนของป่าสนสามารถช่วยให้ใจเขาสงบได้ จากนั้นก็นำจิตเซียนสายนั้นไปยังที่สถานที่แห่งการทำลาย
นี่ก็คือเหตุผลที่จิ๋งจิ่วมายังวัดกั่วเฉิง
แมวขาวลืมตาตื่นขึ้นมา มองดูสวนที่สงบเงียบ รู้สึกงุนงงและตื่นเต้น
มันเงยหน้าสูดดมอากาศ ไม่รู้ว่าดมได้กลิ่นอะไร มันค่อยๆ สงบลง จากนั้นปีนลงมาจากบนตัวจิ๋งจิ่ว
มันไม่ได้กระโดดกลับไปในอ้อมอกของเจ้าล่าเยวี่ย หากแต่ค่อยๆ เดินไปบนอาสนะที่อยู่ตรงหน้าเจดีย์หินองค์เล็กองนั้น นอนขดตัวเองเป็นวงกลมพร้อมกับหลับตา เข้าสู่ดินแดนแห่งความฝันอันหอมหวานอีกครั้ง
เมื่อเห็นภาพนี้ เจ้าล่าเยวี่ยนิ่งเงียบไปครู่ก่อนกล่าวว่า “ความจริงข้าคิดมาตลอดว่าการหลอมยันต์เซียนนั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีทางทำได้ แต่ตอนนี้รู้สึกมั่นใจขึ้นมาหน่อยแล้ว”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ตอนนี้สภาวะของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวว่า “อีกไม่ไกลก็ถึงคเนจรระดับกลางแล้ว”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เร็วเกินไปไม่ใช่ว่าจะดี หลังจากนี้หยุดลงก่อน สงบลงก่อน ฟังธรรมที่วัดกั่วเฉิงสักสองสามปี”
สำหรับเขาแล้ว สภาวะของเสี่ยวล่าเยวี่ยใกล้จะไล่ตามตัวเองทันแล้ว เช่นนั้นก็ย่อมต้องถือว่าเร็วเกินไป
หากเป็นเรื่องอื่น เจ้าล่าเยวี่ยจะต้องเชื่อฟังเขาอย่างแน่นอน แต่เรื่องนี้กลับมิได้เป็นเช่นนั้น นางกัดริมฝีปากดื้อรั้น ไม่ยอมพูดอะไรออกมา
ในอดีตก่อนที่จะเข้ามายังชิงซาน นางได้มองปรมาจารย์อาจิ่งหยางเป็นต้นแบบและเป็นเป้าหมายที่ต้องไล่ตาม รู้สึกเสียดายที่ไม่สามารถอยู่ร่วมยุคสมัยกับอัจฉริยะเช่นนี้ได้ ตอนนี้ไม่ง่ายเลยถึงจะมีโอกาสเช่นนี้ นางไหนเลยจะยอมพลาดได้
จิ๋งจิ่วรู้ว่าในใจของสาวน้อยกำลังคิดอะไรอยู่ จึงยื่นมือไปลูบหัวของนางพลางกล่าวว่า “คัมภีร์ของสำนักฌานนั้นค่อนข้างน่าสนใจ สือซุ่ยเรียนแล้ว เจ้าเองก็น่าจะเรียนไปหน่อย มันมีประโยชน์กับเจ้า”
บางทีอาจเป็นเพราะเสียงที่สงบนิ่งของเขาค่อนข้างมีความน่าเชื่อถือ แล้วก็อาจเป็นเพราะมือของเขามีความอบอุ่น ในที่สุดเจ้าล่าเยวี่ยจึงยอมตอบตกลง จากนั้นกล่าวถามว่า “วันไหนไปหาหลิ่วสือซุ่ย
จิ๋งจิ่วไม่เข้าใจ ตัวเองเพิ่งจะได้เจอกับสือซุ่ยที่เขาอวิ๋นเมิ่งเมื่อไม่นานมานี้ เรื่องที่ควรจะสั่งก็สั่งไปหมดแล้ว ยังจะไปหาเขาทำไมอีก?
เมื่อเห็นสีหน้าของเขา เจ้าล่าเยวี่ยก็มั่นใจว่าเขายังคงเป็นคนที่ไม่สนใจเรื่องราวทางโลก ไม่รู้เรื่องวิถีทางโลกคนนั้นอยู่ คำพูดและการกระทำดูเหมือนจะดีขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่ความจริงแล้วล้วนแต่เป็นภาพลวงตา จึงกล่าวอย่างหงุดหงิดเล็กน้อยว่า “บ้านเขาอยู่ที่วัดกั่วเฉิง พวกเรามาถึงแล้วก็ควรจะไปเยี่ยมหน่อย”
ต่อให้เรื่องธรรมเนียมทางโลกเหล่านี้จะไม่สำคัญอย่างไร แต่หลิ่วสือซุ่ยถูกท่านส่งมายังวัดกั่วเฉิง หากมาถึงนี่แล้วไม่ไปเยี่ยม เจ้านั่นรู้เข้าจะเสียใจแค่ไหน?
จิ๋งจิ่วครุ่นคิดเล็กน้อยถึงได้เข้าใจความหมายของนาง เขากล่าวว่า “ข้าไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน”
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูดวงตาเขาพลางกล่าวอย่างจริงจัง “ข้ารู้”
คนบนยอดเขาเสินม่อที่รับผิดชอบเรื่องติดต่อกับหลิ่วสือซุ่ยก็คือกู้ชิง คนที่ส่งของมายังสวนผักก็คือกู้ชิง ก่อนที่นางจะออกมาจากยอดเขาเสินม่อ คนที่บอกที่อยู่ของสวนผักและเตือนนางว่าให้เตือนจิ๋งจิ่วว่าอย่าลืมไปเยี่ยมหลิ่วสือซุ่ยก็คือกู้ชิง
พูดอีกอย่างก็คือหากไม่มีกู้ชิง นางเองก็อาจจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ไหนเลยจะมีสิทธิ์ไปสั่งสอนจิ๋งจิ่วได้ แต่ว่าเรื่องนี้นางย่อมไม่มีทางพูดกับจิ๋งจิ่ว
……
……
เจ้าล่าเยวี่ยและจิ๋งจิ่วมาเยือนพร้อมกัน ย่อมต้องทำให้สมณะสำคัญๆ ภายในวัดกั่วเฉิงพากันตกใจ จิ๋งจิ่วไม่มีทางไปจัดการเรื่องเหล่านี้ และเขาก็คิดว่าเจ้าล่าเยวี่ยเองก็คงไม่ยอมไปจัดการเช่นเดียวกัน จึงได้ไหว้วานให้สมณะต้าฉางจัดการเรื่องเหล่านี้แทน
ในอดีตสมณะต้าฉางเป็นรองเจ้ากรมวัดไท่ฉางอยู่ในเมืองเจาเกอ รับใช้ฮ่องเต้มาตลอดชีวิต แล้วก็ใช้ชีวิตอยู่ในวัดกั่วเฉิงมาอีกสามร้อยปี จัดการเรื่องเหล่านี้ย่อมไม่ยากลำบากอะไร
ทุกปีเมืองเจาเกอจะมีกั๋วกงเดินทางมาแก้บนแทนฮ่องเต้ ทุกครั้งจะพักอยู่ในวัด เมื่อมีป้ายไม้ก็จะสามารถเข้าออกได้สะดวก
จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยหยิบเอาป้ายไม้มาสองอัน จากนั้นออกมาจากวัดกั่วเฉิง มายังด้านล่างหน้าผาที่อยู่ด้านนอกประตูข้างของวัด
แสงอาทิตย์ในฤดูหนาวไม่ค่อยอบอุ่นเท่าไร ภายในสวนผักเองก็มิได้พืชผลอะไรมากมาย ดูค่อนข้างรกร้าง
เมื่อยืนมองดูสวนผักอยู่บนหน้าผา จิ๋งจิ่วรู้สึกว่าที่นี่มิได้พิเศษอะไร กระทั่งกอไผ่เหล่านั้นก็ดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวา ไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดหลิ่วสือซุ่ยถึงไม่ยอมไปเรือนอี้เหมา
……
……
ฤดูหนาวไม่สามารถอบอุ่นร่างกายได้ แต่สามารถอุ่นหัวใจได้ หลิ่วสือซุ่ยนั่งอ่านคัมภีร์ธรรมะอยู่บนม้านั่งยาวที่ตั้งอยู่ตรงหน้าประตู เสี่ยวเหอนั่งปะรองเท้าให้เขาอยู่ข้างๆ
เมื่อเห็นจิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยเดินเข้ามา หลิ่วสือซุ่ยทั้งตกใจและดีใจ แต่ที่มากกว่านั้นก็คือไม่เข้าใจ เขารู้ดีว่าคุณชายนั้นเกียจคร้านเป็นอย่างมาก ไม่มีทางที่เขาจะเดินทางมายังวัดกั่วเฉิงเพื่อเยี่ยมตนเป็นการเฉพาะอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อหลายวันก่อนพวกเขาเพิ่งจะได้เจอกัน ทั้งยังใช้ชีวิตอยู่ในวังของดินแดนแห่งความฝันด้วยกันเป็นเวลาหลายปีด้วย
เสี่ยวเหอรู้สึกตกใจ นิ้วมือถูกเข็มแทงก็ยังไม่รู้สึก นางรีบลุกขึ้นคารวะจิ๋งจิ่ว จากนั้นคารวะเจ้าล่าเยวี่ย ตามลำดับอาวุโสของยอดเขาเสินม่อแล้ว เจ้าล่าเยวี่ยเป็นเจ้าแห่งยอดเขา ย่อมต้องมีความอาวุโสสูงสุด ดังนั้นจึงควรจะคารวะนางก่อน แต่เสี่ยวเหอมองเห็นจิ๋งจิ่วก็รู้สึกหวาดกลัว ไหนเลยจะคิดถึงเรื่องเหล่านี้ได้
แขกเดินทางมาเยือนจะไม่ดื่มสุราก็ได้ แต่หากมีญาติเดินทางมาเยี่ยม อย่างไรก็ต้องกินข้าวสักมื้อ
กับข้าวเต็มโต๊ะ ดูอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก
จิ๋งจิ่วไม่กินข้าว เขาคีบผักกาดหอมต้นที่อยู่ในผักดองรวมขึ้นมา ยังคงรู้สึกว่าค่อนข้างเปรี้ยว จึงวางตะเกียบลงไป
เสี่ยวเหอเห็นความเคลื่อนไหวของเขา อดรู้สึกคับแค้นอยู่ในใจเล็กน้อยไม่ได้ จนกระทั่งเห็นเจ้าล่าเยวี่ยกินปลาตุ๋นไปตัวหนึ่ง อารมณ์จึงรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
หลังกินข้าวเสร็จ เสี่ยวเหอก็ไปเปลี่ยนชาใหม่ให้พวกเขา จิ๋งจิ่วพลันกล่าวถามว่า “ทำไมเจ้าถึงไม่ยอมไปเรือนอี้เหมา?”
นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาถามคำถามนี้
หลิ่วสือซุ่ยก้มหน้าไม่พูดอะไร
จิ๋งจิ่วคิดถึงท่าทางของเจ้าล่าเยวี่ยที่ยืนอยู่ตรงหน้าเจดีย์ไม่ยอมรับปากตน รู้สึกค่อนข้างจนปัญญา ในใจครุ่นคิดว่าทำไมถึงได้ดื้อกันขนาดนี้?
เจ้าล่าเยวี่ยลุกขึ้นพาเสี่ยวเหอเดินออกไปจากกระท่อม เพื่อจะได้ไม่รบกวนการสนทนาระหว่างนายบ่าวคู่นี้
“ข้าจะไม่บอกใคร”
จิ๋งจิ่วให้สัญญา
สำหรับเขาแล้ว นี่เป็นเรื่องที่พบเห็นได้น้อยมาก
หลิ่วสือซุ่ยลุกขึ้น เดินไปหยิบเอากล่องใบหนึ่งออกมาจากในช่องลับแห่งหนึ่ง
ภายในกล่องมีพัดเล่มหนึ่งและพู่กันด้ามหนึ่ง
จิ๋งจิ่วมองดูพัดเล่มนั้น กล่าวว่า “ธรรมดา”
จากนั้นเขามองดูพู่กันเล่มนั้น สีหน้าขึงขังขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวว่า “ไม่เลว”
การที่สามารถทำให้เขาสามารถวิจารณ์ว่าไม่เลวได้ นั่นจะต้องเป็นอาวุธวิเศษที่ร้ายกาจอย่างมากบนแผ่นดินเฉาเทียนอย่างแน่นอน
ภายในกระท่อมพลันมีเสียงหวึ่งๆ ดังขึ้นมา
ฤดูหนาวไม่มียุง ใครกำลังส่งเสียงร้องกัน?
หลิ่วสือซุ่ยพลันยกมือขึ้นมาด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ เพราะนี่มิใช่ความตั้งใจของเขา
สร้อยข้อมือกระบี่สีเงินที่อยู่บนข้อมือของเขาสั่นสะเทือนขึ้นมาด้วยความเร็วสูง เสียงดังมาจากตรงนี้
สร้อยข้อมือสีเงินส่งเสียงร้องหวึ่งๆ เหมือนกับที่หลิวอาต้าส่งเสียงร้องเมี้ยวๆ ออกมา ทั้งคู่ต่างกำลังเรียกจิ๋งจิ่วว่า มองข้าสิ มองข้าสิ
จิ๋งจิ่วคิดถึงคันฉ่องฟ้ากระจ่างของสำนักจงโจว รู้สึกไม่พอใจมันอย่างมาก เขากล่าวว่า “หุบปาก”
มือของหลิ่วสือซุ่ยค่อยๆ วางลง กระบี่ไร้อัตตาไม่กล้าส่งเสียงอีก ภายในห้องเต็มไปด้วยบรรยากาศน้อยเนื้อต่ำใจ
สายตาของจิ๋งจิ่วมองไปยังใบหน้าของเขา กล่าวว่า “ว่ามา”
“เมื่อหลายปีก่อนมีกั๋วกงคนหนึ่งเดินทางมาแก้บนให้ฝ่าบาทที่วัดกั่วเฉิง ข้าได้ทำความรู้จักกับขุนนางคนหนึ่ง จึงแอบสอบถามดู ถึงได้รู้ว่าที่แท้อาจารย์เหยียนเป็นศิษย์ทรยศของเรือนอี้เหมา ได้ยินว่าตอนที่ออกมาจากเรือนอี้เหมา เขาได้แอบขโมยพู่กันครองเมืองออกมาด้วย หลังจากนั้นก็ถูกเรือนอี้เหมาไล่ฆ่ามาโดยตลอด แต่ข้ามักจะรู้สึกว่าเรื่องนี้มันมิได้ดูง่ายดายแบบนั้น ข้าไม่รู้ว่าอาจารย์เหยียนใช่คนดีหรือเปล่า แต่ข้ากล้ารับรองได้ว่าเขาเป็นคนที่ยินดีช่วยเหลือผู้อื่น มิเช่นนั้นแล้วเขาคงไม่ตายเพราะช่วยชีวิตข้า….”
หลิ่วสือซุ่ยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นออกมา คิดถึงภาพที่อาจารย์เหยียนแตกสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน น้ำตาไหลออกมาอย่างเงียบๆ
“ตอนนั้นจักรพรรดิแห่งหมิงก็ถูกพู่กันเล่มนี้พันธนาการเอาไว้ จากนั้นก็ถูกยันต์เซียนสยบเอาไว้ หากให้เหล่าบัณฑิตของเรือนอี้เหมารู้ว่าพู่กันเล่มนี้อยู่ที่เจ้า คงจะเกิดปัญหาขึ้นอย่างแน่นอน”
จิ๋งจิ่วคล้ายว่ามองไม่เห็นน้ำตาของเขา กล่าวต่อว่า “….ดังนั้นเจ้าก็อย่าให้พวกเขารู้ก็สิ้นเรื่อง”
หลิ่วสือซุ่ยใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา กล่าวว่า “แต่ข้ากลัวว่าถ้าไปเรือนอี้เหมา ข้าจะอดใจไม่ไหวจนเผลอไปสืบเรื่องราวในอดีตของอาจารย์เหยียน หากเป็นแบบนั้นจะต้องสร้างปัญหาให้แก่คุณชายอย่างแน่นอน...ตอนนี้ทุกคนต่างรู้ถึงความสัมพันธ์ของคุณชายกับข้า ต่อให้ท่านไล่ข้าออกจากสำนักมันก็ไม่มีความหมาย”
จิ๋งจิ่วถอนใจออกมา กล่าวว่า “เจ้าก็รู้หรือ?”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าวว่า “ใช่ขอรับ ดังนั้นข้าถึงได้ไม่ยอมไปเรือนอี้เหมา”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “แต่ถึงอย่างไรปัญหาปราณก่อกำเนิดในร่างกายของเจ้าต้องทำการแก้ไข เจ้าลองคิดเอาเองแล้วกัน ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็กลับไปคุกกระบี่ขอร้องหมาตัวนั้น”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าว “ข้าเองก็รู้สึกแบบนี้จะดีกว่า เพราะถึงอย่างไรท่านซือโก่วก็ถือเป็นผู้อาวุโสของข้า ยังไงเขาก็ต้องไม่มีทางปล่อยให้ข้าตายโดยไม่ช่วยใช่ไหมขอรับ?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เรื่องนี้เจ้าผิดแล้ว ถ้าพูดถึงเรื่องเห็นคนตายแล้วไม่ช่วยล่ะก็ นอกจากชางหลงแล้ว เจ้าหมาตัวนั้นถือว่ามีประสบการณ์ที่สุดแล้ว เพราะพวกมันต่างทำหน้าที่นี้”
หลิ่วสือซุ่ยงุนงงเล็กน้อย กล่าวว่า “คุณชาย ตอนนี้เหมือนท่านจะพูดเยอะกว่าแต่ก่อนนะขอรับ”
จิ๋งจิ่วลุกขึ้นเดินออกไปนอกกระท่อม กล่าวกับเจ้าล่าเยวี่ยที่กำลังมองดูภาพทิวทัศน์หิมะอันน่าเบื่อว่า “ไป”
เขากับเจ้าล่าเยวี่ยเดินออกไปด้านนอกสวนผัก เตรียมจะเดินตามทางขึ้นเขากลับไปยังวัด แต่กลับพบว่าหลิ่วสือซุ่ยเดินตามอยู่ด้านหลัง ดูเป็นธรรมชาติ
“อืม?” จิ๋งจิ่วส่งเสียงอืมออกมา
“คุณชาย ในเมื่อท่านจะพักอยู่ที่วัดกั่วเฉิงเป็นเวลานาน แล้วจะขาดคนรับใช้ไปได้อย่างไรขอรับ?”
เมื่อคิดถึงช่วงเวลาในอดีตตอนอยู่ที่ชิงซาน อารมณ์ของหลิ่วสือซุ่ยก็ดีขึ้นมาไม่น้อย เขายิ้มพลางกล่าวว่า “จะว่าไปหลังออกมาจากศาลาหนานซงแล้ว ข้าก็ไม่ได้ทำเรื่องเหล่านี้มานานหลายปีแล้ว”
จิ๋งจิ่วครุ่นคิด กล่าวว่า “ก็ดีเหมือนกัน”
ประตูในสวนผักปิดลง
เสียงแอ๊ดดังขึ้น
คับแค้นใจยิ่งนัก