มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 170 ชีวิตในวัดกั่วเฉิง (2)
ในรุ่งเช้าวันที่ห้า เสียงระฆังรวมตัวดังมาแต่ไกล จิ๋งจิ่วลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ พาเจ้าล่าเยวี่ยออกไปจากสวนจิ้งหยวน ตรงไปในวัด
วันนี้ตำหนักแสดงธรรมมีการเทศนาธรรมะโดยไต้ซือเฉิงเจีย
วัดกั่วเฉิงใหญ่มาก ตำหนักอารามเจดีย์มีอยู่ทั่วทุกที่ จิ๋งจิ่วเดินอยู่ในนั้นอย่างเป็นธรรมชาติ ดูค่อนข้างคุ้นเคย
ตำหนักแสดงธรรมเป็นตำหนักใหญ่หลังหนึ่ง ในเวลานี้มีสมณะหลายสิบรูปมารวมตัวกัน สวมใส่จีวรที่แสดงถึงสถานะที่แตกต่างกัน นั่งอยู่บนอาสนะ ไม่มีเสียงใดๆ เมื่อเห็นจิ๋วจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยที่เดินเข้ามาในตำหนัก เหล่าสมณะต่างตกใจ เพราะที่นี่เป็นวัดส่วนใน เหตุใดโยมสองท่านนี้ถึงมาที่นี่ได้?
มีสมณะที่จำจิ๋งจิ่วกับเจ้าล่าเยวี่ยได้ จึงกล่าวเสียงเบาๆ สองสามประโยค จากนั้นสายตามองไปทางไต้ซือเฉิงเจีย ดูว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร
ไต้ซือเฉิงเจียเองก็ค่อนข้างแปลกใจ ในใจครุ่นคิดว่าหรือโยมสองท่านนี้จะมาฟังธรรมจริงๆ?
สำนักชิงซานและสำนักจงโจวต่างก็เป็นผู้นำแห่งสำนักฝ่ายธรรมะ วัดกั่วเฉิงย่อมต้องให้ความเคารพแก่สำนักชิงซาน แต่ที่ผ่านมาตำหนักแสดงธรรมไม่อนุญาตให้คนนอกเข้ามา….
ไต้ซือเฉิงเจียคิดถึงความสัมพันธ์ของฉานจึและยอดเขาเสินม่อ จึงยิ้มๆ พลางส่ายศีรษะเพื่อบอกว่าไม่เป็นไร
นักพรตจิ่งหยางมีความสัมพันธ์กับฉานจึฉันศิษย์อาจารย์อยู่ครึ่งหนึ่ง วันนี้ถือเป็นการตอบแทนก็แล้วกัน
จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยเดินเข้าไปยังมุมหนึ่งที่ไม่สะดุดตา
ในอดีตตอนที่อยู่บนเขาฉีผาน เจ้าล่าเยวี่ยเคยเตือนเขาว่าในสถานการณ์แบบนี้ต้องระมัดระวังหน่อย ดังนั้นเขาจึงมิได้เอาเก้าอี้ไม้ไผ่มา แต่ไปนั่งอยู่บนอาสนะเหมือนสมณะเหล่านั้น
วัดกั่วเฉิงแสดงธรรมไม่มีการพูดเกริ่นอะไรทั้งสิ้น ระฆังแขวนดังขึ้นสามครั้ง การแสดงธรรมก็เริ่มขึ้น
เสียงของสมณะต้าเจียค่อนข้างทุ้มต่ำ เหมือนดั่งเสียงระฆัง นุ่มนวลเป็นยิ่งนัก
ธรรมที่เขาบรรยายในวันนี้คือเจ็ดพระสูตรแห่งต้นไม้สวรรค์ ค่อนข้างเข้าใจยาก เสียงที่ราบเรียบไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ดังสะท้อนไปมาในตำหนักแสดงธรรม ช่วยให้รู้สึกง่วงนอนได้ดีทีเดียว
สมณะหลายสิบรูปที่นั่งอยู่บนอาสนะนั่งฟังอย่างสงบ ท่าทีดูตั้งใจเป็นอย่างมาก
สมณะหนุ่มที่สภาวะยังไม่สูงพอต้องแอบหยิกต้นขาของตัวเอง ถึงจะสามารถขับไล่ความรู้สึกง่วงนอนไปได้
แต่เจ้าล่าเยวี่ยกลับฟังอย่างตั้งใจ ไม่เหม่อลอยวอกแวกแม้เพียงครู่ ม่านตาเปล่งประกายขึ้นเรื่อยๆ สีดำและสีขาวในดวงตายิ่งดูชัดเจน สายตาดูมีชีวิตชีวา
หลังผ่านไปครึ่งชั่วยาม เสียงระฆังแขวนดังขึ้นอีกสามครั้ง การแสดงธรรมหยุดลงชั่วคราว
สมณะส่วนใหญ่ยังคงนั่งอยู่บนอาสนะ ทำความเข้าใจกับธรรมะที่ไต้ซือแสดงให้ฟัง
สมณะบางรูปลุกขึ้นยืน เดินไปยังใต้ต้นฮว๋ายที่อยู่ด้านนอกตำหนักแสดงธรรม บ้างก็รำเพลงมวย บ้างก็ทอดตามองออกไปไกล รู้สึกสดชื่นขึ้นเล็กน้อย
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูภาพเหล่านี้พลางยิ้มเล็กน้อย คิดถึงภาพงานชุมนุมแสวงมรรคาของสำนักจงโจวที่กู้ชิงบรรยายให้ฟัง คิดในใจว่าหากจัวหรูซุ่ยอยู่ที่นี่ เกรงว่าใช้เวลาไม่นานก็คงจะเข้าไปในความฝันอย่างแน่นอน จากนั้นนางมองไปทางจิ๋งจิ่ว คิดอยากจะขอคำชี้แนะบางอย่างจากเขา แต่กลับพบว่าเขาหลับตาลง ลมหายใจทอดยาว หลับไปแล้วเสียอย่างนั้น
นี่กำลังฟังธรรมอย่างนั้นหรือ?
……
……
หลิ่วสือซุ่ยไปยังสวนจิ้งหยวน พบว่าจิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยล้วนแต่ไม่อยู่ทั้งคู่ จึงไปถามท่านไป๋กุ่ย แต่แมวก็หาได้สนใจไม่ จึงได้แต่ต้องไปรบกวนสมณะต้าฉาง ถึงได้พบว่าพวกเขาไปฟังธรรม
ธรรมะเหล่านั้นเขาล้วนแต่เคยได้อ่านมาแล้วและทำความเข้าใจแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปฟังอีกรอบ อย่างนั้นวันนี้จะทำอะไร?
เขากลับมายังสวนผัก ตัดต้นไผ่มาหลายต้น จากนั้นกลับมายังสวนจิ้งหยวนอีกครั้ง แล้วเริ่มซ่อมเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวนั้น
สมณะต้าเฉิงเดินเข้าไปกวาดใบไม้ในสวน มองดูเขาที่เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วขึ้นเรื่อยๆ จึงยิ้มเล็กน้อยพลางคิดในใจ ศิษย์ชิงซานเหล่านี้ช่างน่าสนใจจริงๆ
“ใบไม้ที่กวาดไปแล้วทุกวันขนเอาไปไว้ที่ไหนขอรับ? ไต้ซือ ต่อไปเรื่องพวกนี้เดี๋ยวข้าจัดการให้แล้วกันขอรับ”
หลิ่วสือซุ่ยรับรู้ได้ถึงสายตาของสมณะต้าฉางที่มองมาที่ตน ด้านหนึ่งก็ซ่อมเก้าอี้ไม้ไผ่ไป อีกด้านหนึ่งก็กล่าวว่า “ได้ยินคุณชายบอกว่าเมื่อก่อนท่านเป็นรองเจ้ากรมวัดไท่ฉาง คิดไม่ถึงว่าพอออกบวช ฉายาทางธรรมจะเป็นต้าฉาง ต่างกันเพียงจุดเดียว[2] ช่างน่าสนใจจริง”
สมณะต้าฉางสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย คิดในใจว่าเรื่องแบบนี้มีอะไรน่าสนใจ จึงไม่คิดจะสนใจคนผู้นี้อีก ถือไม้กวาดไม้ไผ่กวาดใบไม้ต่อ
หลิ่วสือซุ่ยเหลียวหน้ากลับมามอง ก่อนกล่าวอย่างเป็นห่วงว่า “ไม้กวาดของท่านดูค่อนข้างเก่าแล้วเหมือนกัน วันนี้ข้าเอาไม้ไผ่มาพอดี ถ้ายังไงข้าทำไม้กวาดด้ามใหม่ให้ท่านดีไหมขอรับ”
สมณะต้าฉางจนปัญญา ในใจครุ่นคิดว่ามิน่าจิ๋งจิ่วถึงอยากจะให้เจ้าเรียนปิดวาจา
ที่ผ่านมาหลิ่วสือซุ่ยไม่จำเป็นต้องมีคู่สนทนาเวลาพูด เขายังคงก้มหน้าก้มตาซ่อมเก้าอี้ไม้ไผ่ กล่าวพึมพำไม่หยุด
สมณะต้าฉางถอนใจ รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้ายิ่งลึกขึ้น มองดูเจดีย์หินองค์นั้น ในใจครุ่นคิดว่าที่นี่หนวกหูเช่นนี้ ฝ่าบาทพระองค์ทรงต้องการย้ายบ้านหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?
……
……
ชีวิตที่เงียบสงบและมีความสุขมักจะคล้ายๆ กัน ทุกวันมิได้ต่างอะไรกับเมื่อวาน เพียงแต่บางครั้งมีฝนตกปรอยๆ บางครั้งมีลมพัดเบาๆ
ใต้ทางเดินในสวนจิ้งหยวนมีอาสนะ มีเก้าอี้ไม้ไผ่ คนสามคนและแมวหนึ่งตัวบ้างนอนบ้างฟุบหมอบ วันหนึ่งๆ ผ่านไปเช่นนี้
บางครั้งเมื่อฟุบหมอบจนเบื่อแล้ว แมวขาวก็จะออกไปเดินเล่น ที่นี่คือวัดกั่วเฉิง มีเขตหวงห้ามมากมาย มันเองก็ไม่มีทางเดินไปไหนไกล
ทุกห้าวันหรือสิบวัน ตำหนักแสดงธรรมจะมีไต้ซือมาสาธยายธรรม จิ๋งจิ่วก็จะพาเจ้าล่าเยวี่ยไปฟังธรรม มีอยู่ครั้งหนึ่งที่แมวขาวรู้สึกเบื่อจริงๆ จึงตามพวกเขาไป แต่กลับพบว่าน่าสนใจเป็นอย่างมาก มันจึงตั้งใจฟังธรรม
เก้าอี้ไม้ไผ่ซ่อมเสร็จเรียบร้อย วันที่จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยไปฟังธรรม หลิ่วสือซุ่ยจะอยู่ในสวนผัก ทำงานที่เก็บสะสมไว้หลายวันจนหมด แล้วก็ได้ออกกำลังกายไปในตัวด้วย เพียงแต่ฤดูหนาวค่อยๆ ผ่านไป ปราณก่อกำเนิดที่ขัดแย้งกันภายในร่างกายเขาเริ่มมีแนวโน้มว่าจะกำเริบขึ้นมา จำนวนครั้งที่ไอเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เสี่ยวเหอรู้สึกเป็นห่วงอย่างมาก
ภายในตำหนักฌานที่อยู่ริมป่าเจดีย์ อินซานเองก็กำลังอ่านคัมภีร์ธรรมะอยู่
ที่นี่อยู่ห่างจากตำหนักแสดงธรรมและสวนจิ้งหยวนค่อนข้างไกล ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีความรู้ทางธรรมะที่ลึกซึ้ง ไม่จำเป็นต้องไปฟังไต้ซือเหล่านั้นบรรยายธรรม จึงไม่เคยไปที่นั่นมาก่อน
นอกจากอ่านคัมภีร์ธรรมะแล้ว สิ่งที่อินซานทำบ่อยที่สุดก็คือนั่งอาบแดดฤดูหนาวอยู่บนบันไดหินด้านหน้าตำหนักฌาน
เรื่องที่ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินทำบ่อยที่สุดก็คือแอบไปกินเนื้อด้านนอกวัด เขามักจะกินจนปากเต็มไปด้วยคราบน้ำมัน
บางครั้งอินซานจะหยิบขลุ่ยกระดูกขึ้นมาเป่าบทเพลงที่ไม่มีเสียง
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินยืนอยู่ด้านหลังเขา ลูบจมูกที่เป็นสีแดง ทอดตามองออกไปไกล คิดอะไรอยู่ในใจอย่างเงียบๆ
อินซานไม่รู้ว่าจิ๋งจิ่วอยู่ที่นี่
จิ๋งจิ่วก็ไม่รู้ว่าอินซานอยู่ที่นี่
ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่เป็นตำนานของชิงซานหรือเรียกได้ว่าเป็นตำนานที่สุดในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในวัดกั่วเฉิงเช่นนี้โดยที่ต่างฝ่ายไม่รู้ว่าอีกฝ่ายก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน
ในวันหนึ่ง อินซานเงยหน้ามองไปด้านนอกป่าเจดีย์ ทันใดนั้นพลันเห็นต้นไม้ที่เขียวขจี ถึงได้รู้ว่าฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว
เขายิ้มเล็กน้อย ใจแห่งเต๋ากระเพื่อมขึ้นมาเล็กน้อย รู้ว่าตนเองจะต้องแก้ไขปัญหาในร่างกายได้อย่างแน่นอน
จากนั้นเขาคิดถึงหลิ่วสือซุ่ยขึ้นมา
ฤดูหนาวผ่านไป ไม่รู้ว่าอาการไอของเจ้าเด็กนั่นดีขึ้นหรือเปล่า
เขาจึงไปที่สวนผัก
………………………………………………………………….
[1]สวนจิ้งหยวน แปลว่าสวนจิ้งหยวน
[1]ต่างกันเพียงจุดเดียว ในภาษาจีน กับว่าไท่ (太)กับคำว่าต้า (大)เขียนต่างกันเพียงแค่จุดเดียว