มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 173 เขียนหนังสือมาห้าปีแล้ว
หากไม่ได้เก็บตัวเป็นเวลานาน ทุกปีไป๋เจ่าจะมากินข้าวกับบิดามารดา ยิ่งไปกว่านั้นยังมีแค่มื้อเดียวในหนึ่งปี ใต้ต้นไม้บนลานเมฆ
บนโต๊ะหินมีเพียงกับข้าวง่ายอยู่สองสามอย่าง ปลาย่างไม่ได้แตะ ดื่มสุราไปเพียงถ้วยเดียว นักพรตถานและนักพรตไป๋ก็จากไป
ไป๋เจ่านิ่งเงียบอยู่ครู่ จากนั้นเดินไปใต้ต้นไม้ ทอดตามองไปทะเลเมฆที่อยู่ด้านนอกหน้าผา ในใจครุ่นคิดว่าหากศิษย์พี่ถงเหยียนอยู่ที่นี่ก็คงจะคึกคักขึ้นมาบ้าง
สำหรับผู้บำเพ็ญพรตแล้ว การเก็บตัวถือเป็นเรื่องปกติ แต่นางยังคงรู้สึกกังวลเล็กน้อย เพราะถงเหยียนเก็บตัวกะทันหันเกินไป
นอกจากนี้นางยังกังวลใจเรื่องอื่นอีกเรื่องหนึ่ง
ยันต์เซียนอยู่ในมือจิ๋งจิ่ว แต่เขาอวิ๋นเมิ่งกลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ โดยเฉพาะท่านแม่ที่ยังคงสงบนิ่งถึงเพียงนี้ นี่ทำให้นางรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
นางอยากจะเขียนจดหมายไปถามชิงซาน แต่สุดท้ายก็ล้มเลิกความคิดไป พลางถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นสะบัดแถบผ้าเบาๆ ไหมฟ้าสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วนตกโปรยปรายลงมาราวหิมะ ปกคลุมลานเมฆเอาไว้
……
……
ถงเหยียนกำลังขุดหลุมอยู่ใต้ดิน ดินและเศษหินที่ขุดออกมาถูกเขาใช้วิชาบีบอัดเป็นก้อนอย่างเงียบๆ หลังขนาดหดเล็กลงแล้วก็ดันไปกองไว้ทั้งสองด้านอย่างเป็นระเบียบ ดูเหมือนหินลูกกลมๆ
ในอุโมงค์ไม่มีแสงไฟ ทุกที่ล้วนแต่อยู่ในความมืด ย่อมแยกไม่ออกว่าเป็นเวลากลางคืนหรือกลางวัน แต่เขาเป็นผู้บำเพ็ญพรต ย่อมต้องรู้ว่าเวลานี้ได้ผ่านมาปีกว่าแล้ว
อย่างไรเสียก็ยังต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะขุดลงไปถึงเส้นปราณแผ่นดิน เขาดูสงบนิ่งและสุขุม เพราะอย่างไรเสียที่นี่ก็ไม่มีใครพูดคุยกับเขา
แรงกดดันที่คล้ายมีคล้ายไม่มีแต่กลับชัดเจนเสียยิ่งกว่าอะไรสายนั้นยังคงอยู่ข้างหน้า อยู่ไกลออกไป อยู่สูงขึ้นไป
กิเลนฉีหลินไม่มีทางไปจากเขาอวิ๋นเมิ่ง ถ้าหากเขาเข้าใกล้คันฉ่องฟ้ากระจ่าง อีกฝ่ายจะต้องพบเห็นอย่างแน่นอน เช่นนั้นเมื่อถึงเวลานั้นจะทำอย่างไร? เรื่องที่คิดไม่ออกก็ไม่จำเป็นต้องไปคิด ถึงเวลานั้นค่อยว่ากันแล้วกัน เขามองดูลำธารใต้ดินที่อยู่ตรงหน้าสายนั้น ในใจครุ่นคิดว่าตัวเองควรจะอาบน้ำเพื่อฉลองปีใหม่หน่อยหรือเปล่า?
……
……
ในส่วนลึกของหุบเขาแห่งหนึ่ง ก้อนเมฆลอยวน ย้อมแสงอาทิตย์จนกลายเป็นเหมือนสิ่งที่ดูคล้ายน้ำนมสีขาวนวล
ภายในเมฆหมอกมีเสาหินอยู่สิบกว่าเสา นักพรตไป๋ยืนมือไพล่หลังอยู่บนเสาหินแท่งหนึ่ง ทอดตามองออกไป ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่
เงาดำขนาดใหญ่เงาหนึ่งปรากฏขึ้นในส่วนลึกของเมฆหมอก ราวกับจู่ๆ ก็มีภูเขาลูกหนึ่งปรากฏขึ้นมา
สัตว์เทพผู้พิทักษ์ของสำนักจงโจว กิเลนฉีหลิน
เมฆหมอกพลันปั่นป่วนขึ้นมา มืดสว่างสลับกัน กลายเป็นตัวอักษรแนวตั้งหลายแถวปรากฏขึ้นตรงหน้านักพรตไป๋
นั่นคือจิตจำแนกของกิเลนฉีหลิน
“ข้ารับรู้ได้ว่าจิตเซียนที่ท่านบรรพจารย์ทิ้งเอาไว้กำลังหายไป ถึงแม้เชื่องช้า แต่นี่เป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น ข้ารู้สึกกังวลใจ”
นักพรตไป๋ยังคงทอดตามองออกไป กล่าวว่า “ทางปู้เหล่าหลินแจ้งมาชัดเจน เขากำลังเรียนธรรมะอยู่ที่วัดกั่วเฉิง ไม่แน่อาจจะมีโอกาสทำสำเร็จได้จริงๆ”
หากมีคนสามารถมองเห็นภาพนี้จากบนท้องฟ้าได้ เขาก็จะเห็นว่านางกำลังมองไปทางตะวันออกเฉียงใต้
วัดกั่วเฉิงอยู่ทางนั้น
จิตของกิเลนกลายเป็นตัวอักษรอยู่ในเมฆอีกครั้ง “ข้าจะไปฆ่าเขา”
นักพรตไป๋กล่าวว่า “ความสัมพันธ์ของวัดกั่วเฉิงและชิงซานไม่แน่ชัด อย่าบุ่มบ่าม”
ภายในเมฆหมอกมีตัวอักษรปรากฏขึ้นมา “หรือพวกพระเหล่านั้นจะกล้าลงมือกับข้า?”
นักพรตไป๋กล่าวว่า “เจ้าเป็นบรรพบุรุษของสำนักข้า ตามกฎสำนักห้ามไม่ให้ออกไปจากสำนัก ยกเว้นแต่จะสละร่าง”
ภายในเมฆเงียบสงบไปครู่ จากนั้นครู่หนึ่งมีตัวอักษรปรากฏขึ้นมาแถวหนึ่ง
“แค่ฆ่าเจ้าพวกนี้ได้ก็พอ”
“ไม่จำเป็น เพราะข้าไม่เชื่อว่าเขาจะหลอมยันต์เซียนได้ ต่อให้…เขาจะเป็นจิ่งหยางกลับมาเกิดใหม่จริงๆ”
นักพรตไป๋กล่าวด้วยสีหน้าเฉยชา “เพราะสภาวะของเขาตอนนี้ต่ำเกินไป”
……
……
ในเมื่อฤดูหนาวมาถึงแล้ว ฤดูใบไม้ผลิย่อมต้องตามมา
ฝนฤดูใบไม้ผลิที่หนาวเย็นเล็กน้อยมาเยือน ต้นไม้ในวัดกั่วเฉิงเริ่มแตกใบอ่อน
จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบอยู่ในสวนจิ้งหยวน เวลาที่หลิ่วสือซุ่ยใช้ทำงานในสวนผักมีมากขึ้น แต่ทุกวันเขาก็มิได้ลืมที่จะมาขอคำชี้แนะเรื่องวิถีกระบี่จากจิ๋งจิ่ว
ผ่านไปสามสี่วันเจ้าล่าเยวี่ยก็จะไปฟังไต้ซือสาธยายธรรมที่ตำนักแสดงธรรมครั้งหนึ่ง แมวขาวเองก็มักจะตามไปด้วย เกาะอยู่บนขอบหน้าต่าง อาบแดดพลางฟังธรรม
เหล่าสณะคุ้นชินกับแมวขาวตัวนี้แล้ว มิได้รู้สึกแปลกอะไร บางครั้งก็จะไปเล่นกับมัน ทุกครั้งเล่นจนเจ้าล่าเยวี่ยรู้สึกวิตกกังวล กลัวว่าจู่ๆ มันจะคลุ้มคลั่งขึ้นมา จนส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของชิงซานและวัดกั่วเฉิง
ตอนนี้จิ๋งจิ่วไม่ค่อยได้ไปยังตำหนักแสดงธรรมแล้ว เวลาส่วนใหญ่จะนอนอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ บำเพ็ญเพียรของตนเองไปโดยมีสายลม แสงแดดและสายฝนของฤดูใบไม้ผลิอยู่เป็นเพื่อน สภาวะมิได้ขยับขึ้นแม้แต่น้อย แต่การรับรู้ในวิชาของสำนักฌานและยันต์เซียนกลับยิ่งลึกล้ำมากขึ้น
ในบ่ายวันหนึ่งเขาลืมตาขึ้น มองเห็นนอกกำแพงเต็มไปด้วยสีเขียว ถึงได้พบว่าถึงปลายฤดูใบไม้ผลิแล้ว จากนั้นเหลือบมองดูแมวขาว คล้ายตั้งใจแล้วก็คล้ายไม่ตั้งใจ
แมวขาวลืมไปแล้วว่ามันอยู่มานานเท่าไร เพราะอย่างไรเสียก็ไม่มีใครที่จะอยู่มานานกว่ามัน ยกเว้นพวกหยวนกุยและฉีหลิน เรื่องอาการติดสัดมันก็มิได้สนใจมานานแล้ว แต่ความง่วงในฤดูใบไม้ผลิกลับยังมาตรงเวลา แสดงให้เห็นว่าความหื่นกระหายและความปรารถนานั้นมิใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต หากแต่เป็นการนอนต่างหาก
หลายวันมานี้ไม่มีฝนตก อาสนะที่อยู่ตรงหน้าเจดีย์ถูกตากแดดจนแห้ง อีกทั้งหลิ่วสือซุ่ยยังปูหญ้าที่ตั้งใจเลือกมาให้มัน นอนแล้วรู้สึกสบายเป็นอย่างมาก ทำให้บางครั้งมันถึงกับลืมตักของสาวน้อยไป
มันลืมตาตื่นขึ้นมา มองดูท้องฟ้าอย่างสับสนงุนงง จู่ๆ พลันนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อตอนต้นฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้ว บนอาสนะใบนี้เหมือนจะมีกระดาษอยู่สองสามแผ่น
แสงแดดในฤดูใบไม้ผลิเหมือนกัน สายลมในฤดูใบไม้ผลิเหมือนกัน ทิวทัศน์ในฤดูใบไม้ผลิเหมือนกัน อาสนะเหมือนกัน แต่กลับขาดกระดาษสองสามแผ่นนั้นไป
มันลุกขึ้นยืน เดินออกไปจากนอกสวนจิ้งหยวน ดมกลิ่นที่ลอยมาในอากาศ เดินผ่านบึงน้ำและป่าทึบ สะพานเล็กและเรือนของลูกศิษย์
รอบด้านค่อยๆ มีเสียงผู้คนดังขึ้นมา มันกระโดดขึ้นไปบนกำแพงอย่างแผ่วเบา เดินเลียบตามเงาของชายหลังคามาถึงส่วนกลางของวัดกั่วเฉิง จากนั้นเดินเข้าไปในป่าเจดีย์แห่งนั้น
ด้านหน้ามีตำหนักฌานที่เงียบสงบอยู่แห่งหนึ่ง บนบันไดไม่มีคน ภายในห้องก็ไม่มีคน เงียบสงัดคล้ายหลุมศพ
แมวขาวเดินไปบนบันไดหิน นอนขดเป็นวงกลม หลับตาแล้วเริ่มนอนหลับไป
มันนอนหลับไปทั้งวัน กระทั่งตกเย็นถึงจะตื่นขึ้นมา คิดในใจว่านี่ตนเองเป็นอะไรไป?
เมื่อกลับมายังสวนจิ้งหยวน มันก็กลับไปนอนฟุบอยู่ตรงหน้าเจดีย์เล็กเพื่อจะนอนต่อ แต่มันกลับไม่สามารถหลับตาได้
มันถูกความรู้สึกที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่งรบกวน จนทำให้ไม่ทันสังเกตว่าจิ๋งจิ่วกำลังมองดูตัวเองอย่างเงียบๆ
……
……
ตำหนักฌานไป๋ซานว่างเปล่าไม่มีคน
ภายในห้องครัวของวัดด้านหน้าก็ไม่มีนักบวชที่ทำงานจุกจิกที่ไม่ค่อยปรากฏตัวผู้นั้น ส่วนชายหนุ่มที่ปกติไม่เคยปรากฏตัวผู้นั้นก็ยิ่งถูกผู้คนลืมเลือนไปอย่างรวดเร็ว แต่ภายในอารามหลี่ว์ถังที่มีการป้องกันเข้มงวดมากที่สุดกลับมีพระหนุ่มกับพระแก่เพิ่มขึ้นมาสองรูป พระสองรูปนี้ย่อมต้องเป็นอินซานกับปรมาจารย์สำนักเสวียนอิน
อินซานโกนผมแล้วยิ่งดูหล่อเหลา เรียกได้ว่าค่อนข้างน่ารัก ส่วนปรมาจารย์โกนศีรษะแล้วกลับยิ่งอัปลักษณ์ โดยเฉพาะจมูกสีแดงที่ยิ่งดูสะดุดตา
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินขยี้จมูก เดินไปยังด้านหลังของอินซานแล้วมองดู
เขารับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าหลังจากที่รู้ว่าจิ๋งจิ่วอยู่ที่วัดกั่วเฉิง เวลาที่อินซานใช้นั่งสมาธิก็ยิ่งมากขึ้น แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินสังเกตเห็นตรงท้ายทอยของอินซานมีบางอย่างปูดนูนขึ้นมาเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้นกำลังเปลี่ยนตำแหน่งไปอย่างช้าๆ ด้วย
จากนั้นเขาได้กลิ่นจางๆ กลิ่นหนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย แต่กลับไม่กล้าพูดอะไร
กลิ่นที่ว่านั้นเบาบางไม่เหม็น แต่พอดมแล้วกลับทำให้รู้สึกไม่สบาย กลิ่นมันเหมือนกับใบไม้เน่าจางๆ แล้วก็คล้ายท่อนไม้เก่าที่วางทิ้งเอาไว้เป็นเวลานานหลายปี
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินรู้ว่าร่างนี้ทนได้อีกแค่ไม่กี่ปีแล้ว แล้วก็ไม่รู้ว่านักพรตจะสามารถหาวิธีทำให้ดวงจิตและกายเนื้อหลอมรวมเป็นหนึ่งได้อย่างสมบูรณ์ในเวลาสิบปีหรือไม่
พวกเขาอยู่ที่วัดกั่วเฉิงมาเป็นเวลาหลายปี ทุกอย่างก็เพื่อเป้าหมายนี้
สายตาของปรมาจารย์สำนักเสวียนอินมองไปตรงด้านหน้าของอินซาน บนพื้นที่อยู่ตรงหน้าอาสนะมีกระดาษวางอยู่แผ่นหนึ่ง บนกระดาษเขียนตัวหนังสือเอาไว้สองสามแถว
คำพูดเหล่านั้นจิ๋งจิ่วเป็นคนเขียน
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินไม่เข้าใจ ในเมื่อนักพรตไม่กล้าเชื่อคำพูดของเขา เหตุใดถึงยังเอากระดาษแผ่นนี้วางไว้ข้างหน้าอีก?
……
……
พริบตาก็ผ่านไปอีกหนึ่งปี ในช่วงที่ปีเก่าและปีใหม่บรรจบกัน พลังในฟ้าดินเพิ่มพูน ภายในสวนจิ้งหยวนตกอยู่ในความมืด มองเห็นเพียงดวงตาของเจ้าล่าเยวี่ย
นางมองดูจิ๋งจิ่วอย่างตั้งใจ
จิ๋งจิ่วลืมตา ปลดปล่อยเจตน์กระบี่ ยื่นมือจุ่มลงไปในเจตน์กระบี่แทนหมึก เขียนคัมภีร์บทหนึ่งขึ้นมา
ครั้งนี้เขาไม่ได้เอามือซ้ายจุ่มเข้าไปในคัมภีร์ หากแต่ครุ่นคิดอยู่ครู่ จากนั้นยื่นมือไปดึงตัวอักษรจากในคัมภีร์มาหลายตัว
เสียงผัวะดังขึ้น ฝ่ามือและกำปั้นปะทะกัน
มือซ้ายสว่างวาบขึ้นมา จากนั้นกลับเป็นเหมือนปกติ ในชั่วเวลาเพียงพริบตาได้เกิดการเกิดดับขึ้นรอบหนึ่ง
จิ๋งจิ่วหลับตาลงอีกครั้ง ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงจะลืมตาขึ้นมาใหม่ ก่อนจะกล่าวกับเจ้าล่าเยวี่ยที่ไม่รู้มาอยู่ข้างกายตั้งแต่เมื่อไรว่า “ยังได้อยู่”
เจ้าล่าเยวี่ยหมอบกราบเขาลงไป
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ยังคงไม่มีซองแดง”
เจ้าล่าเยวี่ยยิ้มเล็กน้อย จากนั้นกล่าวอย่างจริงจังว่า “ข้าสามารถบรรลุสภาวะได้แล้ว”
จิ๋งจิ่วมองดูนางอย่างเงียบๆ จากนั้นกล่าวว่า “ข้าคิดว่ารอไปอีกหน่อย สักสองสามปี”
เจ้าล่าเยวี่ยไม่ค่อยเข้าใจ
สภาวะขั้นคเนจรระดับต้นของนางอยู่ตัวแล้ว ทั้งใจแห่งเต๋าและเจตน์กระบี่ก็ล้วนแต่ถึงจุดที่สมบูรณ์เต็มที่ เหตุใดถึงต้องรอต่อไป?
จิ๋งจิ่วไม่ได้อธิบาย นางไม่ค่อยพอใจ ดังนั้นครั้งนี้จึงไม่ได้เข้าไปนั่งใกล้เขา
……
……
ใต้ต้นไม้บนลานเมฆยังคงมีถาดผลไม้ ถ้วยที่เปื้อนกลิ่นหอมจางๆ ของสุรา กับข้าวยังคงเหลืออยู่เต็มจาน มิอาจเรียกว่าของเหลือได้ด้วยซ้ำ
ไป๋เจ่าเดินไปยังริมผา ทอดตามองดูเมฆที่ลอยไปมาเหล่านั้น ในใจครุ่นคิดว่าในเมื่อมีเพียงศิษย์พี่ที่ชอบกินปลาย่าง อย่างนั้นต่อไปข้าก็จะไม่ทำให้พวกท่านกินแล้ว
ศิษย์พี่ถงเหยียนเก็บตัวมาสองปีแล้ว ไม่รู้ว่ากำลังฝึกวิชาอะไรอยู่กันแน่? จิ๋งจิ่วท่านไปทำอะไรอยู่ที่ไหน?
ตอนที่ฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ในที่สุดนางก็เขียนจดหมายส่งไปชิงซาน จากนั้นก็ได้รับจดหมายตอบกลับจากกู้ชิง กู้ชิงมิได้อธิบายอะไรในจดหมายนัก เห็นได้ชัดว่ากำลังปิดบังอะไรอยู่
นางหมุนตัวมองดูถ้วยสุราและจานผลไม้ที่อยู่บนโต๊ะเหล่านั้น คิดถึงเรื่องเหล่านี้ รู้สึกว่าน่าเบื่อเป็นอย่างมาก
……
……
ถงเหยียนยังคงขุดโพรงอยู่ใต้ดิน
มิได้ทำเรื่องอะไรอื่นนอกจากเรื่องนี้
……
……
เมฆหมอกลอยวน ร่างกายของกิเลนฉีหลินปรากฏขึ้นลางๆ จิตจำแนกกระเพื่อม กลายเป็นตัวหนังสือปรากฏขึ้นมา
“ข้ารับรู้ได้ว่าเขาหลอมยันต์เซียนไปอีกหน่อยแล้ว หากไม่รีบหยุดเขา แผนการของเจ้าไม่เพียงแต่จะไม่กลายเป็นจริง แต่มันจะทำให้เขาได้ประโยชน์อย่างมากด้วย”
นักพรตไป๋ยืนอยู่บนเสาหินท่ามกลางสายลมที่พัดมา มองไปทางวัดกั่วเฉิง นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าเคยบอกแล้ว ตามกฎสำนัก เจ้าไม่สามารถออกไปจากจงโจวได้”
ฉีหลินแสดงอักษรขึ้นมาในเมฆ “ข้าสามารถจำแลงกายได้”
นักพรตไป๋กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ตัวเจ้าที่สะกดสภาวะเอาไว้ พลังมีไม่ถึงหนึ่งในร้อยของร่างเดิม”
ภายในหมอกมีตัวหนังสือปรากฏขึ้นมาอีกแถว
“แต่ก็เพียงพอที่จะฆ่าเขาได้! ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้พลังของข้าจะถูกสะกดเอาไว้ แต่ร่างศักดิ์สิทธิ์มิอาจถูกทำลาย ไม่มีใครสามารถทำให้ข้าบาดเจ็บได้!”
นักพรตไป๋ดึงสายตากลับมา กล่าวว่า “ไม่ได้”
“ชางหลงตายเพราะเขา ข้าจะต้องฆ่าเขาให้ได้! ในเมื่อแผนการของเจ้าไม่ได้ผล อย่างนั้นตอนนี้ก็ควรจะทำตามวิธีของข้า! ข้าไม่อาจปล่อยให้เขามีโอกาสที่จะหลอมยันต์เซียนแม้เพียงเล็กน้อย มิฉะนั้นถ้าให้เขาได้ยันต์เซียนไป มันจะกลายเป็นหายนะครั้งใหญ่!”
ฉีหลินโมโหเป็นอย่างมาก
เมฆหมอกที่อยู่ในส่วนลึกของหุบเขาปั่นป่วน
ตัวหนังสือแต่ละตัวที่ปรากฏออกมาเหล่านั้นเป็นเหมือนดั่งมีด ทั้งแหลมคม และเต็มไปด้วยจิตสังหารอันรุนแรง
……
……
เวลาหลั่งไหลไปเร็วกว่าพู่กันของนักกวี
แต่กว่าที่จะรับรู้ได้ถึงเวลาที่ไหลไปเหมือนสายน้ำเหล่านั้น สิ่งที่ควรจะหายมันก็ได้หายไปแล้ว
เพียงพริบตา จิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ยก็มายังวัดกั่วเฉิงได้ห้าปีแล้ว
ในช่วงนี้จิ๋งจิ่วนับวันจะยิ่งเงียบขึ้น สีหน้าก็ยิ่งขาวซีด แต่สายตากลับยิ่งเปล่งประกาย ภายใต้ดวงตามีแสงสีทองปรากฏขึ้นมาลางๆ ช่วยแต่งเติมให้ใบหน้านั้นยิ่งดูงดงามเย้ายวนขึ้นกว่าเดิม
อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันปีใหม่
ในคืนวันนั้นจิ๋งจิ่วจะเขียนธรรมะบทสุดท้าย พยายามหลอมยันต์เซียนทั้งหมด
หากเขาทำสำเร็จ พลังเซียนอันไร้ขีดจำกัดที่อยู่ในยันต์เซียนวัฒนะจะกลายเป็นของเขาทั้งหมด
หากล้มเหลว เขาจะถูกจิตเซียนกลืนกิน และอาจจะกลายเป็นหุ่นเชิดของสำนักจงโจวได้ทุกเมื่อ
เจ้าล่าเยวี่ยไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดจิ๋งจิ่วถึงไม่เห็นด้วยที่นางจะบรรลุสภาวะ แต่ตัวเองกลับเร่งความเร็วที่จะหลอมจิตเซียน ถึงยอมเสียปราณกระบี่และดวงจิตเป็นจำนวนมาก
เขากำลังร้อนใจอะไรอยู่กันแน่?
ปีใหม่ปีนี้ถือว่าค่อนข้างพิเศษสำหรับวัดกั่วเฉิง
ลู่กั๋วกงจะเป็นตัวแทนฝ่าบาทมาแก้บน
นี่เป็นเรื่องที่ต้องทำทุกปี แต่ขนาดของงานในปีนี้กลับใหญ่โตเป็นอย่างมาก
จิ๋งจิ่วไม่เข้าใจว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งได้ยินเสียงถอนใจของสมณะต้าฉาง ถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่าคนที่อยู่ในเจดีย์หินผู้นั้นได้จากโลกนี้ไปสามร้อยปีแล้ว