มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 174 ตามหาคำตอบภายใต้ซี่โครงหมูแดดเดียว เสียงสวดมนต์ หมวกเหวยเม่า (1)
- Home
- มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2
- ตอนที่ 174 ตามหาคำตอบภายใต้ซี่โครงหมูแดดเดียว เสียงสวดมนต์ หมวกเหวยเม่า (1)
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูใบหน้าที่ขาวซีดของจิ๋งจิ่ว ดูแสงสีทองที่อยู่ใต้ดวงตา นิ่งเงียบไม่พูดอะไร
ภายในสวนสุขสงบมิได้เงียบสงบ มีเสียงไอดังขึ้นมาเป็นช่วงๆ
หลิ่วสือซุ่ยถือไม้กวาดด้ามที่สามที่ทำขึ้นมาในปีนี้กวาดหิมะและเศษดินที่อยู่บนพื้น สีหน้าค่อนข้างขาวซีด ไอออกมาเป็นระยะ
ฤดูหนาวในช่วงหลายปีมานี้ค่อนข้าวหนาวเย็น วัดกั่วเฉิงมีหิมะตก ปราณก่อกำเนิดที่ขัดแย้งกันภายในร่างกายเขายิ่งรุนแรงขึ้น
แมวขาวเดินเข้าในสวยสุขสงบ สายตามองกลับไปกลับมาระหว่างใบหน้าที่ขาวซีดของจิ๋งจิ่วและหลิ่วสือซุ่ย รู้สึกเห็นใจ
วันเวลาของนายบ่าวคู่นี้มิค่อยดีเท่าไร แต่เจ้าล่าเยวี่ยกลับต้องกันข้าม นางบำเพ็ญเพียรจนร่างกายขาวขึ้นมาก บนใบหน้ามีสีเลือดฝาด ดูเหมือนลูกแอ๊ปเปิ้ลอย่างไรอย่างนั้น เต่งตึงน่ากิน แตกต่างจากเด็กสาวบนยอดเขากระบี่ที่เนื้อตัวมอมแมมเต็มไปด้วยฝุ่น ผมเผ้ายุ่งเหยิงคนนั้นอย่างสิ้นเชิง
แมวขาวค่อยๆ เดินไปถึงหน้าระเบียงทางเดิน กระโดดขึ้นไปบนพื้นไม้ เหยียบไปบนหัวเข่าของนาง ยืดตัวเหยียดยาว ซุกไซ้ใบหน้าของนาง จากนั้นถึงจะนอนอยู่ในอ้อมแขนของนาง
วัดกั่วเฉิงเป็นวัดใหญ่อันดับหนึ่งในแผ่นดิน เน้นหนักเรื่องการฝึกธรรมะอย่างสงบ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสถานะที่สูงส่งในใจคนธรรมดาด้วย หากไม่ถึงวันปีใหม่ ชาวบ้านที่อยู่รอบๆ ย่อมไม่กล้าที่จะจุดประทัดเพื่อรบกวนความเงียบของเหล่าไต้ซือ แม้นจะไม่มีเสียงประทัด แต่กลับมีกลิ่นอายของวันปีใหม่ลอยเข้ามาจากด้านนอกวัด….
บ้างก็เป็นกลิ่นซี่โครงหมูแดดเดียว บ้างก็เป็นกลิ่นปลาหมัก แล้วก็มีกลิ่นหมูที่เพิ่งถูกเชือดด้วย
ถึงแม้จะอยู่นอกโลกปุถุชน ถึงแม้จะข่ายพลังขวางกั้น แต่ก็ยังมิอาจหยุดยั้งความวุ่นวายเหล่านี้ได้ ไม่ว่าจะบำเพ็ญพรตหรือบำเพ็ญฌาน สิ่งที่ยากลำบากก็คือจุดนี้
บนแผ่นดินเฉาเทียนมีกลุ่มคนหลายกลุ่มกำลังมุ่งหน้ามายังวัดกั่วเฉิงเหมือนอย่างกลิ่นเหล่านี้
ปีนี้เป็นปีที่ฮ่องเต้องค์สวรรคตไปโลกนี้ครบสามร้อยปี ราชวงศ์ส่งคณะตัวแทนมาจากเมืองเจาเกอ
ฮ่องเต้พระองค์ก่อนแสร้งทำเป็นสวรรคตเพื่อสละราชบัลลังก์ สุดท้ายมาใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ อยู่ในวัดกั่วเฉิง ก่อนจะจากโลกนี้ไป นี่คือหนึ่งในความลับที่สำคัญที่สุดของราชวงศ์ตระกูลจิ่ง จำนวนคนในคณะตัวแทนย่อมไม่เยอะ นอกจากทหารม้าที่คอยอารักขาแล้ว คนที่เป็นขุนนางจริงๆ นั้นมีเพียงแค่สองคน ขุนนางที่อยู่ข้างกายลู่กั๋วกงคนนั้นดูสงบเยือกเย็น ไม่รู้ว่าเป็นบุตรชายของอ๋องคนไหน
เรื่องนี้มีเพียงวัดกั่วเฉิง สำนักจงโจว สำนักชิงซาน สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยและเรือนอี้เหมาเท่านั้นที่รู้ ตามธรรมเนียมที่ผ่านมาพวกเขาก็จะส่งตัวแทนมาเช่นกัน เพียงแต่ผ่านมาสามร้อยปีแล้ว อีกทั้งไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไร เพียงแค่ส่งศิษย์หนุ่มสาวมาจุดธูปแสดงการคารวะก็พอ
……
……
ยอดเขาเทียนกวง เมฆสลายหายไป แสงอาทิตย์ค่อนข้างสดใส
จัวหรูซุ่ยคุกเข่าอยู่ด้านหน้าป้ายหิน ในใจครุ่นคิดว่าคุกเข่าไม่สบายเท่านอนจริงด้วย อาจารย์จะทำอะไรกันแน่?
หลิ่วฉือเจ้าสำนักชิงซานมองดูศิษย์คนสุดท้ายของตนเอง พลางกล่าวว่า “จะเอาแต่เกียจคร้านแบบนี้ไปทำไม? อย่าเลียนแบบเขา บางเรื่องก็ไม่มีทางเลียนแบบได้”
จัวหรูซุ่ยกล่าวอย่างเหนื่อยใจ “ข้ารู้สึกง่วงจริงๆ…การบำเพ็ญเพียรมันใช้เรี่ยวแรงและสมาธิไปมาก หากมีเวลาว่างแล้วไม่ใช้พักผ่อน หรือข้าต้องไปนั่งมองดูนั่นดูนี่ขอรับ?”
“เจ้าก็เลยเอาแต่ก้มหน้าก้มตา ไม่ยอมมองดูใคร?”
หลิ่วฉือกล่าวเสียงเย็นยะเยือกเล็กน้อย “ไปวัดกั่วเฉิงครั้งนี้ เวลาที่ควรดูเจ้าก็ต้องดู อย่าดูผิด แล้วก็อย่าดูพลาด”
จัวหรูซุ่ยนิ่งเงียบไปครู่ กล่าวว่า “ศิษย์รับทราบ”
……
……
ไม่รู้เพราะเหตุใดสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยถึงมิได้ส่งคนมา คนที่มาจากเรือนอี้เหมาคือซีอี้อวิ๋น เมื่อสามปีก่อนเขาไม่ได้เข้าร่วมงานรวมตัวของผู้แสวงมรรคา ได้ยินว่าตอนนั้นเขากำลังแก้ไขหนังสือที่เขียนอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน ครั้งนี้เขามาวัดกั่วเฉิง ดูแล้วคงจะแก้ไขเสร็จเรียบร้อย สภาวะก้าวหน้าขึ้น
สำนักจงโจวส่งศิษย์มาสองคน อาการบาดเจ็บของไป๋เชียนจวินหายดีแล้ว สภาวะจิตก่อรูปก็มั่นคง เพียงแต่ดูเงียบขรึมขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ศิษย์อีกคนสถานะดูสูงส่งกว่าเขาอย่างชัดเจน สวมหมวกปิดบังศีรษะเอาไว้ เดินอยู่ด้านหน้าสุด ในขณะที่เดินผ่านป้ายวัดกั่วเฉิง คนผู้นั้นหยุดฝีเท้ามองดูป้ายอยู่ครู่ถึงจะก้าวเท้าเดินต่อไป
ส่วนทางด้านชิงซาน คนที่มาคือจัวหรูซุ่ย มิใช่กั้วหนานซานที่เป็นศิษย์อันดับหนึ่งของเจ้าสำนัก นี่เป็นเพราะว่ากั้วหนานซานและเหล่าศิษย์ที่แข็งแกร่งของยอดเขาเหลี่ยงว่างต่างเดินทางตามอาจารย์ไปยังเมืองไป๋เฉิง ไปช่วยเหลือกองทัพของราชสำนักที่อยู่ทางที่ราบหิมะ สำนักจงโจวมิได้ส่งถงเหยียนมา เป็นเพราะว่าถงเหยียน….ยังคงขุดหลุมอยู่ใต้ดิน
เขาขุดหลุมอยู่ใต้ดินอันมืดมิดมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ไม่รู้ว่าขุดทะลุภูเขาและแม่น้ำไปเท่าไร ในที่สุดก็มาถึงส่วนลึกของเส้นปราณแผ่นดิน
เมื่อเห็นคันฉ่องฟ้ากระจ่างที่ถูกน้ำแข็งห่อหุ้มและเปล่งแสงจางๆ ที่อยู่ห่างออกไปข้างหน้าหลายลี้อันนั้น เขาก็พบว่าตัวเองมาถึงจุดหมายล่วงหน้าจากที่คาดการณ์เอาไว้เป็นเวลาหลายปี
เขาคำนวณผิดไปเรื่องหนึ่ง ทุกเรื่องราวบนโลกขอเพียงทำจนเชี่ยวชาญ ต่อให้เป็นการขุดดินก็ยังขุดให้เร็วขึ้นได้
แสงสลัวที่เปล่งออกมาจากคันฉ่องฟ้ากระจ่างส่องสว่างโพรงถ้ำที่อยู่ในส่วนลึกของเส้นปราณแผ่นดิน แล้วก็ส่องสว่างใบหน้าของเขา
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแสงอ่อนแรงเกินไป หรือว่าใต้ดินมืดเกินไป คิ้วทั้งสองข้างที่เลิกขึ้นมาของเขาจึงดูเข้มขึ้นกว่าเดิม
ที่เขาเลิกคิ้วขึ้นเป็นเพราะไม่เข้าใจว่าแรงกดดันอันรุนแรงสายนั้นจู่ๆ พลันหายไปไหน? ท่านฉีหลินไปอยู่ที่ไหนแล้ว?
ตามกฎของสำนักจงโจว ในฐานะที่ฉีหลินเป็นสัตว์เทพประจำสำนัก มันห้ามออกไปจากเขาอวิ๋นเมิ่งเด็ดขาด
แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เขาไม่ต้องกังวลว่าจะถูกท่านฉีหลินพบ จากนั้นถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ
เขาคิดถึงเรื่องเหล่านี้พลางเดินเข้าไปถึงหน้าคันฉ่องฟ้ากระจ่าง ก่อนจะพบว่าชั้นน้ำแข็งที่ห่อหุ้มคันฉ่องฟ้ากระจ่างมีความหนาหลายฉื่อ ดูเผินๆ เหมือนกระเบื้องเคลือบขนาดใหญ่ เขายื่นมือไปแตะผิวของชั้นน้ำแข็ง พบว่าหนาวเย็นจนน่ากลัว กระทั่งเขาก็ยังรู้สึกเจ็บปวดจนเสียดแทงเข้าไปถึงกระดูก ยิ่งไปกว่านั้นจากที่สัมผัสดู ชั้นน้ำแข็งนี้มีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เกรงว่าต่อให้ใช้กระบี่บินก็ยากที่จะฟันมันเข้าได้
เมื่อรับรู้ได้ถึงการมาของเขา ภายในคันฉ่องฟ้ากระจ่างก็มีแสงสลัวหลายสายปรากฏขึ้นมา หักเหออกมาจากในก้อนน้ำแข็งกลายเป็นเส้นแสงรูปร่างกระหลาด ร่างของชิงเอ๋อร์ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา
เป็นเพราะเส้นแสงที่หักเห ร่างของนางจึงดูเปลี่ยนไปจากเดิม อีกทั้งยังดูเลือนลางเป็นอย่างมาก คล้ายพร้อมจะหายไปได้ทุกเมื่อ
ชิงเอ๋อร์มองดูถงเหยียน บนใบหน้าเผยให้เห็นสีหน้ายินดี นางกระโจนมายังริมขอบของก้อนน้ำแข็ง แต่กลับไม่สามารถออกมาได้ เหมือนกับถูกขังเอาไว้ด้านในอย่างไรอย่างนั้น
“เจ้ามาช่วยข้าหรือ?”
ถงเหยียนมองนางพลางกล่าวอย่างเรียบเฉย “ไม่ใช่”
ชิงเอ๋อร์มองดูเขาอย่างงุนงง กล่าวว่า “อย่างนั้นเจ้ามาทำอะไร?”
ถงเหยียนกล่าวว่า “ข้าได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากเจ้า ก็เลยมาที่นี่เพื่อถามเจ้าว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ตอนที่อยู่ในถ้ำที่ลั่วไหวหนานทิ้งเอาไว้ในตอนนั้นและได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากชิงเอ๋อร์ เขาก็เข้าใจเรื่องราวอะไรหลายๆ อย่าง
อาจารย์ไม่มีทางตอบเขา หากเขาอยากจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาก็ต้องมาถามคันฉ่องฟ้ากระจ่างด้วยตัวเอง
ดังนั้นเขาจึงเริ่มขุดโพรง ขุดโดยไม่หยุดพักมาเป็นเวลาหกปี ในที่สุดก็มาถึงที่นี่
เสียงของชิงเอ๋อร์สั่นเครือเล็กน้อย กล่าวว่า “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ามาถึงที่นี่ได้อย่างไร แต่ดูแล้วจะต้องยากลำบากเป็นอย่างมาก แต่เจ้า…กลับมาเพื่อถามข้าแค่ประโยคเดียว?”
ถงเหยียนกล่าว “ถูกต้อง”
ชิงเอ๋อร์ไม่สามารถเข้าใจได้ นางมองดูเขาพลางกล่าวว่า “ความจริง…มันสำคัญขนาดนี้เลยหรือ?”
ถงเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “หมากล้อมแบ่งแค่สีดำกับสีขาว สำหรับข้าแล้วสีสำคัญเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นข้าฝึกวิถีหมาก วิถีหมากคือคลี่คลาย และคลี่คลายก็คือการหาคำตอบ”
……
……
การมีชีวิตอยู่ก็คือการค้าหาคำตอบไม่หยุด
เพียงแต่บางคนรู้ตัวแต่เนิ่นๆ ว่าปัญหานั้นไม่สามารถแก้ไขได้หรือไม่ก็ยากที่จะแก้ไขได้ ก็เลยเลือกที่จะยอมแพ้ไป
แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ยังค้นหาคำตอบไม่หยุด
เจ้าล่าเยวี่ยหามาหลายปี ในที่สุดก็หาคำตอบที่อยากรู้ที่สุดอันนั้นเจอ แต่หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียรในอนาคตจะเดินอย่างไร นางยังเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน
หลิ่วสือซุ่ยไม่มีคำถาม ดังนั้นไม่จำเป็นต้องหาคำตอบ นอกเสียจากปัญหาปราณก่อกำเนิดภายในร่างกาย
จิ๋งจิ่วมีเพียงสองคำถาม นั่นคือใครเป็นคนทำให้ข่ายพลังหมอกควันจางหายมีปัญหา ทำให้ตัวเองยังคงไม่สามารถตัดกรรมหลังจากที่บรรลุเป็นเซียนไปแล้ว จากนั้นทำให้ร่างเซียนไม่อาจคงอยู่ได้ และคำถามที่สองคือใครเป็นคนลอบโจมตีตนเอง ทำให้ตัวเองตกลงมายังโลกมนุษย์ คำตอบของคำถามที่สองนั้นเขาแน่ใจแล้ว ส่วนคำถามแรกนั้นยังคงหาคำตอบอยู่ แต่ความจริงเขาก็รู้มานานแล้ว
อินซานเองก็กำลังค้นหาคำตอบจากในพระธรรมเช่นเดียวกัน ว่าจะทำอย่างไรดวงจิตกับกายเนื้อถึงจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้?
ภายในบ่อผ่านฟ้ามีสายลมชั่วร้ายพัดออกมาเป็นระยะ ก่อนจะถูกยันต์จำนวนนับไม่ถ้วนสะกดและทำลาย จากนั้นถูกลมทะเลพัดสลายไปจนหมด
ในป่าที่อยู่ไม่ไกล อารามของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยปรากฏขึ้นลางๆ
ภายในห้องภาวนาที่อยู่ในส่วนลึกที่สุดมีหน้าต่างทรงกลมอยู่บานหนึ่ง หันหน้าออกไปทางทะเลสาบหิมะ งดงามเป็นอย่างยิ่ง
ที่นี่ไม่มีลม ไฟตะเกียงที่อยู่บนขอบหน้าต่างมิได้วูบไหว แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดกลับยังคงดูแผ่วเบา คล้ายอาจจะดับลงได้ทุกเมื่อ
กั้วตงตั้งชื่อนี้ให้กับตัวเอง ก็เพราะว่านางไม่ชอบฤดูหนาว อยากจะให้มันผ่านไปเร็วๆ
อาจเป็นเพราะเหตุผลนี้ นางจึงเอาแต่นอน ขนตาที่เรียวยาวไม่กระดิกแม้เพียงน้อย ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงจะหายใจออกมาทีหนึ่ง
เกี้ยวเล็กผ้าม่านเขียวหยุดอยู่ด้านนอกห้องภาวนา เจ้าสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยนั่งอยู่ริมทะเลสาบด้านนอกหน้าต่าง
พวกนางมองดูไฟดวงนั้น คำถามที่อยู่ในใจก็คือเจ้ายังลุกไหม้ไปได้นานเท่าไร?