มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 177 รับสามกระบี่
ภายในวัดกั่วเฉิงมีตำหนักมากมาย มีทั้งใหญ่ทั้งเล็ก มีทั้งสูงทั้งเตี้ย บ้างก็อยู่ติดภูเขา บ้างก็อยู่ติดทะเลสาบ
ตำหนักเฉิงฮว๋าอยู่ทางตะวันตกของอารามด้านหลัง ค่อนข้างห่างไกลและเงียบสงบ ทิวทัศน์ของที่นี่ค่อนข้างธรรมดา น้อยคนที่จะมาที่นี่ แต่กลับไม่มีใครรู้ว่าหากนั่งอยู่บนมุมชายหลังด้านทางด้านซ้ายของตำนักเฉิงฮว๋า แล้วทอดตามองผ่านภูเขาลูกเล็กๆ สองลูกที่อยู่ตรงหน้าไปก็จะสามารถมองเห็นภาพในสวนจิ้งหยวนได้พอดี
ในเวลานี้บนชายหลังคาของตำหนักเฉิงฮว๋ามีแมวขาวนั่งอยู่ตัวหนึ่ง บนขนยาวๆ ของมันเปรอะเปื้อด้วยเศษฝุ่น ดูค่อนข้างกระเซอะกระเซิง แต่ในสายตาของมันกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกดื่มด่ำ
เมื่อพูดถึงการดูเรื่องสนุกแล้ว ที่นี่่ย่อมเป็นตำแหน่งที่ดีที่สุด
เมื่อเห็นศิษย์สำนักจงโจวที่อยู่ในสวนจิ้งหยวนผู้นั้น แมวขาวก็ยื่นอุ้งเท้าข้างขวาออกมา จากนั้นเลียกรงเล็บอันแหลมคม ในดวงตาเผยให้เห็นความกระหายเลือด
เจ้าฉีหลินถึงขนาดกล้าแปลงร่างมาเดินอยู่ในโลกมนุษย์เลยอย่างนั้นหรือ ช่างรนหาที่ตายจริงๆ!
สำนักจงโจวมีสัตว์เทพอยู่สองตัว ชิงซานมีผู้พิทักษ์อยู่สี่ตัว เมื่อนานมาแล้ว ทั้งสองฝ่ายได้เคยต่อสู้กันหลายครั้งเพื่อจะแย่งชิงตำแหน่งในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต
หากพูดถึงเรื่องความแค้น ผู้ที่แมวขาวอยากจะฆ่ามากที่สุดย่อมต้องเป็นชางหลง แต่มันก็มิได้รู้สึกดีอะไรกับฉีหลินนัก
เมื่อสามพันปีก่อนมันเคยร่วมมือกับเยาจีเพื่อสู้กับฉีหลิน ผลปรากฏว่าพ่ายแพ้ยับเยิน
ดูเหมือนวันนี้จะได้แก้แค้นแล้ว
เมื่อเห็นฉีหลินหมุนตัวกลับมาในสวนจิ้งหยวน มันก็ส่งเสียงร้องไปอีกครั้ง
เสียงร้องเมี๊ยวเสียงนี้ฟังดูค่อนข้างเกียจคร้าน แต่ความจริงกับแฝงเอาไว้ด้วยจิตสังหารอันรุนแรง
—-หากเจ้ากล้าทำอะไรจิ๋งจิ่วจริงๆ อย่างนั้นข้าก็จะฆ่าเจ้า!
ม่านตาของมันหดเล็กลงเหมือนเม็ดถั่ว เผยให้เห็นอารมณ์ที่อันตราย
เจ้ากวางอัปลักษณ์ตัวนี้จะเสี่ยงชีวิตอย่างนั้นหรือ?
มันลุกขึ้นยืน เหยียบรูปปั้นหินเล็กๆ ที่อยู่ตรงมุมชายหลังคา ส่งเสียงร้องอย่างดุร้ายไปทางสวนจิ้งหยวน
……
……
ภายในสวนจิ้งหยวน
ฉีหลิงหมุนตัวกลับมา มองดูดวงตาของจิ๋งจิ่วพลางกล่าวอย่างเฉยชาว่า “ก็แค่แมวตัวหนึ่ง มีอะไรน่ากลัว?”
เสียงของจิ๋งจิ่วยังคงเรียบเฉย คล้ายกับกำลังบรรยายเรื่องจริงที่เรียบง่าย “ในเมื่อเจ้าแปลงกายมา เช่นนั้นก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน”
มุมปากของฉีหลิงยกขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนกล่าวอย่างเย้ยหยันว่า “ในอดีตมันร่วมมือกับเยาจี ก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของข้าอยู่ดี”
จิ๋งจิ่วกล่าว “หากเจ้าไม่สะกดสภาวะเอาไว้แล้วเปิดเผยร่างจริงออกมา เช่นนั้นก็จะเกิดสายฟ้ากระหน่ำฟาดลงมา เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าจะยิ่งตายอย่างน่าอนาถ”
พลังของฉีหลินแข็งแกร่งเป็นที่สุด อายุขัยก็ใกล้จะไล่ตามหยวนกุยทัน ความสามารถในการต่อสู้ทัดเทียมซือโก่ว ในบรรดาผู้บำเพ็ญพรตของมนุษย์ นอกจากยอดคนขั้นทะลวงสวรรค์เหล่านั้นแล้วก็ไม่มีใครที่จะสู้มันได้ เรียกได้ว่ามันคือสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระดับสูงสุดของแผ่นดินเฉาเทียน ยกเว้นแต่เพียงราชินีหิมะที่อยู่ในแคว้นเสวี่ยผู้นั้น
สิ่งที่สามารถทำอันตรายมันได้จริงๆ ความจริงแล้วคือทัณฑ์สวรรค์
กฎของสำนักจงโจวห้ามไม่ให้มันออกมาจากเขาอวิ๋นเมิ่ง ความจริงแล้วในอีกแง่หนึ่งก็หมายความว่าหากมันจะออกมา ก็จำเป็นต้องใช้ข่ายพลังอวิ๋นเมิ่งปกปิดพลังของมันเอาไว้
หากมันคิดจะเอาชนะไป๋กุ่ย ก็จำเป็นต้องแสดงร่างเดิมออกมา เมื่อถึงตอนนั้นก็จะต้องเจอกับอันตรายที่ร้ายแรงเหมืนอย่างที่จิ๋งจิ่วบอก
“หากบีบข้าจนหมดหนทาง ข้าก็จะยอมเสี่ยงเผยกายออกมาฆ่าพวกเข้า จากนั้นยอมเสียสภาวะที่บำเพ็ญเพียรมาพันปี ใช้ของวิเศษคุ้มกายก็สามารถกลับไปยังจงโจวได้”
เสียงของฉีหลิงเรียบเฉย ทำให้คนเชื่อได้ง่ายว่านี่เป็นความจริง
“เจ้ารู้ว่าข้ามิได้เป็นคนฆ่าชางหลง เพื่อที่จะฆ่าข้าแล้วถึงขนาดยอมเสียอายุขัยไปพันปี นี่มันคุ้มค่าแล้วหรือ?”
สีหน้าของจิ๋งจิ่วยังคงเรียบเฉย ในน้ำเสียงไม่มีอารมณ์ใดๆ
เหล่าสัตว์เทพก็เหมือนผู้บำเพ็ญพรตของมนุษย์ เป้าหมายที่พวกมันมีชีวิตอยู่ก็เพื่อบำเพ็ญเพียรให้ตนเองมีอายุยืนยาว การที่ต้องเสียสภาวะที่สั่งสมมาอย่างยากลำบากไปในวันเดียว เช่นนั้นเวลาพันปีที่ผ่านมาก็เท่ากับสูญเปล่า
ที่จิ๋งจิ่วบอกว่าเขาจะเสียอายุขัยไปพันปีก็คือความหมายนี้
“แต่มันตายเพราะเจ้า”
ใต้ดวงตาของฉีหลิงมีความรู้สึกเจ็บปวดปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง จิตสังหารรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
จิ๋งจิ่วมองดูดวงตาของมัน พลางกล่าวอย่างเรียบเฉย “มันตายเพราะความละโมบของตัวเอง”
ที่เขาพูดเป็นความจริง เขามิได้เป็นคนฆ่าชางหลง
ในคุกสะกดมาร ตัวเขาที่เพิ่งจะเรียนรู้วิชากระบี่เซียนแห่งยมโลกมานั้นเป็นแค่เพียงยุงตัวหนึ่งสำหรับชางหลง เขาสามารถทำให้ขางหลงรู้สึกไม่สบายหรือเจ็บปวดได้ แต่ไม่สามารถที่จะทำให้มันบาดเจ็บจริงๆ ได้ ต่อให้จักรพรรดิแห่งหมิงอยากจะฆ่าชางหลงก็ต้องใช้วิธีรวมดวงจิตเข้ากับชางหลง จากนั้นก็ตายไปด้วยกัน
สัตว์เทพอย่างฉีหลินและชางหลง ร่างศักดิ์สิทธิ์ของพวกมันเรียกได้ว่าแทบจะอยู่ยงคงกระพัน
หากมิเป็นเพราะชางหลงละโมบมากเกินไป คิดอยากจะกินจิ๋งจิ่วกับจักรพรรดิห่งหมิง มันก็ไม่มีทางที่จะถูกฆ่าได้
“ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องชั่วร้ายที่ชางหลงทำในคุกสะกดมารเหล่านั้น เจ้าไม่รู้เรื่องอย่างนั้นหรือ? จะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้หรือเปล่า?” จิ๋งจิ่วกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ฉีหลิงกล่าวเสียงขึงขัง “หุบปากซะ ไม่ว่าเจ้าจะพูดแก้ต่างอย่างไร วันนี้เจ้าก็ต้องตาย!”
เมื่อกล่าวกระโยคนี้จบ แรงกดดันที่เก่าแก่โบราณสายนั้นก็ปกคลุมสวนจิ้งหยวนอีกครั้ง และจิตสังหารที่แฝงอยู่ในแรงกดดันครั้งนี้ก็ยิ่งรุนแรงขึ้นกว่าเดิม
ไป๋เชียนจวิน ซีอี้อวิ๋นแล้วก็สมณะต้าฉางไม่สามารถยืนอยู่ได้ ต่างนั่งขัดสมาธิลงไปบนพื้น ใช้ปราณก่อกำนิดและวิชาฌานรักษาทะเลแห่งการรับรู้ของตนพร้อมกับหลับตาลง
ลู่กั๋วกงล้มลงไปนั่งกับพื้น
จัวหรูซุ่ยต้องมองพื้น เสื้อผ้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่ออีกครั้ง เขากล่าวตะคอกว่า “อาจารย์อาเล็กเป็นของล้ำค่าของชิงซาน ล้ำค่ากว่าข้ามากนัก หากท่านฆ่าเขา หรือท่านไม่กลัวว่าจะเกิดเรื่องใหญ่!”
สำหรับศิษย์หนุ่มอย่างเขาแล้ว สิ่งมีชีวิตอย่างฉีหลินนี้ถือว่าน่ากลัวเป็นอย่างมาก หากไม่เป็นเพราะเขาได้เจอหยวนกุยบ่อยๆ จึงค่อนข้างชิน ไหนเลยจะกล้าพูดออกมาได้
ชิงซานฆ่าคนบ่อยๆ น้อยครั้งที่จะข่มขู่คน นานๆ ครั้งถึงจะมีสักครั้งหนึ่ง นั่นแสดงว่าพวกเขาจริงจังอย่างมาก
ไกลออกไปมีเสียงแมวดังลอยมาอีกครั้ง ดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง
ฉีหลิงเงยหน้ามองดูท้องฟ้า ในดวงตาเผยให้เห็นแววตาเหนื่อยล้า
บนแผ่นดินเฉาเทียนเมื่อหลายหมื่นปีก่อนยังไม่มีสำนักจงโจว แล้วก็ไม่มีสำนักชิงซาน ในตอนนั้นเขากับชางหลงท่องเที่ยวไปทั่ว อยากฆ่าใครก็ฆ่า อยากกินใครก็กิน
เหตุการณ์อย่างในวันนี้ ต่อให้ไป๋กุ่ยคอยจับตาดูเขาอยู่ไกลๆ เขาก็ยังจะกินจิ๋งจิ่วเข้าไป ไหนเลยจะสนใจเรื่องที่สำนักชิงซานและสำนักจงโจวจะเปิดศึกใส่กัน
ผู้คนเดือดร้อน? คนที่ตายล้วนแต่เป็นมนุษย์ เกี่ยวอะไรกับเขาด้วย
เขาดึงสายตากลับมา มองดูจิ๋งจิ่วพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ดูเหมือนวันนี้ยากจะฆ่าเจ้าได้แล้ว”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ถูกต้อง”
ฉีหลิงกล่าวว่า “ข้าไม่มีทางจากไปทั้งแบบนี้ ไม่ว่ายังไงเจ้าก็ต้องชดใช้สำหรับเรื่องนี้ อย่างน้อยเจ้าก็มิอาจเก็บยันต์เซียนเอาไว้ได้อีก”
ตอนนี้ดูเหมือนสำนักจงโจวจะสืบพบอะไรบางอย่างแล้ว ต่อให้ไม่มีหลักฐาน แต่พวกเขาก็มั่นใจแล้วว่าจิ๋งจิ่วเป็นคนก่อเรื่องในคุกสะกดมาร
ในสถานการณ์แบบนี้ หากยังให้จิ๋งจิ่วถือยันต์เซียนวัฒนะต่อไป ไม่ว่ามองอย่างไรก็ล้วนแต่มิใช่เรื่องที่สำนักจงโจวจะยอมรับได้
เขาเป็นตัวแทนสำนักจงโจวมาเสนอคำขอนี้ ถึงแม้จะไม่สมเหตุสมผล แต่กลับสมควรเป็นอย่างยิ่ง
ลู่กั๋วกงและคนอื่นๆ ลืมตามองไปทางจิ๋งจิ่ว อยากรู้ว่าเขาจะตอบตกลงคำขอของอีกฝ่ายหรือไม่
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เจ้าพูดมาตั้งมากมาย ความจริงแล้วนี่ต่างหากที่เป็นจุดประสงค์ที่เจ้ามาในวันนี้”
หากฉีหลินอยากจะฆ่าเขาจริงๆ มีหรือที่จะเผยตัวในวัดกั่วเฉิง?
เป้าหมายของสำนักจงโจวก็คือยืมเรื่องที่เกิดขึ้นในคุกสะกดมารมาหยุดการหลอมยันต์เซียนในขั้นสุดท้ายของเขา
ฉีหลิงกล่าวว่า “ในดินแดนแห่งความฝันของคันฉ่องฟ้ากระจ่าง วิธีที่เจ้าได้ยันต์เซียนมามันไม่ถูกต้องตามกฎ พวกข้าไม่พูดอะไร มิได้หมายความว่าจะนิ่งเฉยไปตลอด”
สิ่งที่จิ๋งจิ่วอยากรู้ก็คือเรื่องราวผ่านมาหกปีแล้ว จิตเซียนที่อยู่ในยันต์เซียนถูกเขาหลอมไปเป็นจำนวนมากแล้ว เหตุใดวันนี้สำนักจงโจวถึงเพิ่งจะปรากฏตัว
จนกระทั่งในตอนนี้ เขาถึงได้เข้าใจเหตุผลทั้งหมดที่อีกฝ่ายปรากฏตัว
อีกไม่นานยันต์เซียนวัฒนะก็จะถูกหลอมจนเสร็จสมบูรณ์ อาจจะเป็นคืนนี้ นี่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด
หากขั้นตอนนี้ถูกรบกวนหรือหยุดลง เขามีโอกาสที่จะถูกจิตเซียนของยันต์เซียนกลืนกิน แล้วก็มีโอกาสตายได้
เรื่องที่ฉีหลินจะทำคืออ้างว่าจะสังหารจิ๋งจิ่วเพื่อแก้แค้นให้แก่ชางหลง แต่ความจริงแล้วคืออยากจะรบกวนสมาธิของเขา ทว่าเป้าหมายสุดท้ายก็ยังเป็นการฆ่าเขาอยู่ดี
การถูกจิตเซียนควบคุมนั้นมิได้ต่างอะไรกับตายเลย เผลอๆ อาจจะแย่กว่าด้วยซ้ำ
ดูเหมือนจะอ้อมไปอ้อมมา แต่หากคืนนี้เขาตายไประหว่างที่หลอมยันต์เซียน เรื่องราวทั้งหมดนี้ก็จะไม่เกี่ยวข้องกับฉีหลิน
ไม่มีใครอยากจะเปิดศึกกับชิงซานซึ่งๆ หน้า ต่อให้เป็นสำนักจงโจวที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำฝ่ายธรรมะก็ตาม
ฉีหลินต้องการหยุดการหลอมยันต์เซียนของเขา ย่อมต้องเตรียมแผนการเอาไว้แล้ว
จิ๋งจิ่วไม่อยากจะเสียเวลาอ้อมค้อม จึงถามตรงๆ ว่า “แบบไหนถึงจะเรียกว่าถูก?”
ฉีหลิงกล่าวด้วยสีหน้าเฉยชา “ขอเพียงเจ้าสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีความสามารถที่เหนือว่าศิษย์ในรุ่นเดียวกัน ข้าก็จะยอมรับว่าเจ้ามีคุณสมบัติที่ได้จะยันต์เซียนไป”
จิ๋งจิ่วกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “พิสูจน์อย่างไร?”
ฉีหลิงกล่าวว่า “ข้าจะสะกดสภาวะเอาไว้ที่ระดับจิตก่อรูป เจ้าใช้กระบี่รับการโจมตีจากข้าสามกระบวนท่า ขอเพียงเจ้าไม่ตาย ข้าก็จะถือว่าเจ้าชนะ”
เสียงเย็นชาของจัวหรูซุ่ยดังขึ้นมา “ช่างน่าไม่อายจริงๆ เลย”
ซีอี้อวิ๋นลืมตาโต กล่าวอย่างโมโหเล็กน้อยว่า “หากไม่มีหลักฐานก็คือการใส่ความ การต่อสู้นี้มันไม่ยุติธรรม ข้าขอคัดค้าน!”
สภาวะขั้นจิตก่อรูปอยู่เหนือกว่าสภาวะขั้นคเนจรระดับกลางเพียงแค่ขั้นเดียว ยิ่งไปกว่านั้นยังรับการโจมตีเพียงสามกระบวนท่า ดูเหมือนยุติธรรมเป็นอย่างมาก แต่ฉีหลินมีร่างศักดิ์สิทธิ์แต่กำเนิด อยู่ยงคงกระพัน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีพละกำลังมหาศาล ผู้บำเพ็ญพรตของมนุษย์ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันเลย การต่อสู้ครั้งนี้เรียกได้ว่าไม่มีความยุติธรรมแม้แต่น้อย
ทุกคนคิดว่าจิ๋งจิ่วไม่มีทางที่จะยอมรับคำท้านี้ ซึ่งความจริงก็เป็นเช่นนั้น เขามองฉีหลิงพลางกล่าวอย่างจริงจังว่า “ข้าไม่โง่”
ฉีหลิงกล่าวเสียงเย็นยะเยือก “ข้าเชื่อว่าเจ้าคงไม่อยากจะบีบข้าจนถึงขั้นนั้น และนี่ก็เป็นเงื่อนไขสุดท้ายของข้า”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าต้องการของตอบแทน”
แววตาของฉีหลิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย คิดในใจว่านักพรตคาดเดาว่าคนผู้นี้คือจิ่งหยางกลับมาเกิดใหม่ ดูแล้วไม่ค่อยคล้ายเลย…..
จิ๋งจิ่วไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร จึงกล่าวว่า “สำนักจงโจวต้องเอาคันฉ่องฟ้ากระจ่างมาให้ข้ายืมครั้งหนึ่ง ข้าอยากจะเข้าไปดูในดินแดนแห่งความฝันอีกครั้ง”
หลังงานชุมนุมแสวงมรรคาจบลง นักพรตไป๋ก็ไม่ได้เรียกชิงเอ๋อร์ออกมาสอบถาม แต่เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในดินแดนแห่งความฝัน ไหนเลยจะรอดพ้นสายตาของนางไปได้
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในดินแดนแห่งความฝันล้วนแต่ถูกบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจน
ฉีหลินนึกว่าตัวเองคาดเดาความคิดของจิ๋งจิ่วได้ จึงเผยรอยยิ้มดุร้ายพลางกล่าวว่า “ได้”
ต่อให้เขาออมมือก็ยังสามารถทำให้จิ๋งจิ่วบาดเจ็บสาหัสได้ เมื่อถูกยันต์เซียนกลืนกิน จิ๋งจิ่วก็จะกลายเป็นคนตายหรือไม่ก็คนตายที่มีชีวิต เมื่อถึงตอนนั้นต่อให้เอาคันฉ่องฟ้ากระจ่างที่ถูกน้ำแข็งผนึกเอาไว้ให้เจ้ายืมแล้วจะเป็นอะไรไป? หรือเจ้ายังจะดูได้?
จิ๋งจิ่วไม่ได้พูดอะไรอีก ยืนเบี่ยงตัว เอามือซ้ายที่กำยันต์เซียนไปไว้ด้านหลัง มือขวาชักกระบี่เหล็กออกมาจากด้านหลังหัวไหล่ ชี้ตรงไปทางฉีหลิง
เมื่อเห็นภาพนี้ ทุกคนต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก
เขารับคำท้าจริงๆ อย่างนั้นหรือ!
รับการโจมตีจากฉีหลินซึ่งๆ หน้าสามครั้ง เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน!
สมณะตู่ไห่คิดจะห้าม แต่กลับถูกฉีหลิงห้ามเอาไว้
เขามองจิ๋งจิ่วพลางกล่าวอย่างจริงจัง “เด็กน้อยอย่างเจ้านี่น่าสนใจจริงๆ แต่ข้าไม่อ่อนข้อให้หรอกนะ”
จัวหรูซุ่ยตกตะลึงจนเหม่อลอย ในใจครุ่นคิดว่าเจอศัตรูที่แข็งแกร่งแล้วยังกล้าชักกระบี่ ถึงแม้นี่จะเป็นนิสัยของสำนักชิงซาน แต่นี่มิใช่นิสัยของท่านนะอาจารย์อาเล็ก!
เมื่อเห็นในเวลานี้จิ๋งจิ่วยืนถือกระบี่อย่างสบายๆ จากนั้นคิดถึงภาพอีกประเดี๋ยวจิ๋งจิ่วนอนจมอยู๋ในกองเลือด เขาพลันเลือดลมพลุ่งพล่านขึ้นมา ตะโกนเสียงดังว่า
“เจ้าไม่ต้องอ่อนข้อหรอก! อาจารย์อาต่อให้ใช้แค่มือเดียว!”