มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 178 มองไม่เห็นคมกระบี่จักรวาล
จัวหรูซุ่ยตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เสียงตะโกนดังลั่น กระทั่งปลายหางเสียงก็ยังแตกพร่า ฟังดูค่อนข้างน่าขัน
คำพูดประโยคนี้ของเขายิ่งน่าขัน
ไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่ามือซ้ายของจิ๋งจิ่วกำยันต์เซียนเอาไว้อยู่ ไม่สามารถคลายได้ ได้แต่ต้องไพล่ไว้ด้านหลัง แต่การที่เขาพูดเช่นนี้กลับดูเหมือนว่าเขาต่อให้ฉีหลินโดยใช้แค่มือเดียวจริงๆ อย่างไรอย่างนั้น
ยิ่งไปกว่านั้นการฝึกกระบี่ของสภาวะขั้นคเนจรก็ไม่จำเป็นต้องใช้การร่ายเคล็ดกระบี่มาช่วยเหลือ อย่างนั้นมือเดียวกับสองมือจะต่างอะไรกัน?
ฉีหลินไม่ได้สนใจศิษย์ชิงซานที่เลอะเลือน แต่กลับไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองตัวเองผู้นี้ เขาจ้องมองดวงตาของจิ๋งจิ่วพลางกล่าวถามว่า “ที่นี่?”
เจ้าล่าเยวี่ยพลันกล่าวขึ้นมาว่า “อยู่มาหลายพันปี กระทั่งคุมกำลังก็ยังทำไม่ได้ อายุของท่านมันไปอยู่ที่ไหนหมด?”
นางนิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ จู่ๆ พลันกล่าวคำพูดเสียดสีที่ปกติไม่มีทางพูดออกมาเด็ดขาดออกมา นั่นเป็นเพราะในเวลานี้นางรู้สึกตื่นเต้นจริงๆ
นางไม่รู้ว่าสวนจิ้งหยวนแห่งนี้มีความหมายอะไรต่อจิ๋งจิ่วกันแน่ แต่นางเชื่อว่าหากจิ๋งจิ่วอยู่ที่นี่น่าจะมีประโยชน์มากกว่า
“อย่างไรเสียก็มิได้ไปอยู่บนตัวหมาตัวนั้นของเจ้าก็แล้วกัน”
ฉีหลินกล่าวออกมาประโยคหนึ่งอย่างเฉยเมย มิได้สนใจศิษย์ชิงซานที่เลอะเลือนแต่กลับเอาแต่มองไปทางตำหนักที่อยู่ไกลออกไปคนนี้อีก เขากล่าวถามว่า “เริ่มเลย?”
ในขณะที่พูด เขาจ้องมองดวงตาของจิ๋งจิ่วอยู่ตลอดเวลา — เขากับนักพรตไป๋กำลังสงสัยเรื่องความเป็นมาของจิ๋งจิ่ว หากอีกฝ่ายเป็นจิ่งหยางกลับมาเกิดใหม่จริงๆ อย่างนั้นต่อให้ระวังมากแค่ไหนก็ไม่ถือว่าเกินไป ถึงแม้ตอนนี้อีกฝ่ายจะอยู่แค่คเนจรระดับกลาง เพียงแต่ดีดนิ้วก็สามารถฆ่าได้ก็ตาม
จิ๋งจิ่วมิได้พูดอะไร ข้อมือขยับเบาๆ ปลายกระบี่เหล็กสีดำยกขึ้นเล็กน้อย
การเคลื่อนไหวนี้ดูสบายๆ แต่กลับแฝงเอาไว้ด้วยความมั่นใจอย่างมาก แต่สำหรับฉีหลินแล้ว นั่นย่อมต้องเป็นการท้าทายอย่างร้ายแรง
ฉีหลินสีหน้าเรียบเฉย มือขวาขยับเบาๆ เส้นตรงที่ดูเหมือนควันสายหนึ่งพุ่งตรงเข้าไปหาจิ๋งจิ่ว
ควันสายนี้ดูเหมือนเรียวเล็กเป็นอย่างมาก แต่กลับให้ความรู้สึกที่่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง คล้ายภูเขาที่หนักอึ้ง
เมื่อเห็นภาพนี้ สีหน้าเจ้าล่าเยวี่ยพลันแปรเปลี่ยนเล็กน้อย รู้ว่าตนเองไม่สามารถรับการโจมตีนี้เอาไว้ได้อย่างแน่นอน
ที่สำคัญที่สุดก็คือ ต่อให้นางอยากจะใช้กระบี่มิคำนึงเข้าไปรับการโจมตีครั้งนี้ นางก็ปล่อยกระบี่ออกไปไม่ทันอยู่ดี
ความเคลื่อนไหวที่ดูเรียบง่ายของฉีหลิน ความจริงแล้วกลับรวดเร็วปานสายฟ้า คนที่อยู่ในสวนจิ้งหยวนมองไม่เห็นด้วยซ้ำว่าเขายกมือขึ้นมาเมื่อไร งอนิ้วเมื่อไร แล้วดีดออกไปเมื่อไร
เวลาคล้ายหยุดนิ่งลง
จริงอยู่ที่เขาสะกดสภาวะของตัวเองเอาไว้ที่ขั้นจิตก่อรูป แต่พลังยังคงน่ากลัวเป็นอย่างมาก
เขามีพละกำลังมหาศาลอย่างที่ยากจะจินตนาการได้ แล้วก็ย่อมต้องมีความเร็วอย่างที่ไม่มีใครเทียบได้
ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน จิ๋งจิ่วก็ไม่สามารถหลบการดีดครั้งนี้ของฉีหลินได้ ต่อให้กระบี่เซียนแห่งยมโลกของเขาจะพิสดารยากคาดคะเนแค่ไหนก็ตาม
แต่เขารับเอาไว้ได้
ในตอนที่ฉีหลินจ้องมองดวงตาของเขา เขาก็มองดูฉีหลิน
สิ่งที่เขามองดูมิใช่มือของฉีหลิน มิใช่ไหล่ของฉีหลิน แล้วก็มิใช่แขนเสื้อของฉีหลินที่ขยับขึ้นเพราะแรงลม หากแต่เป็นดวงตาของฉีหลิน
สายตาของฉีหลินขยับเล็กน้อย เขาก็ขยับทันที อีกทั้งยังคำนวณตำแหน่งที่ฉีหลินจะดีดมาได้ล่วงหน้าด้วย
กระบี่เหล็กสีดำที่กว้างใหญ่และอัปลักษณ์แหวกอากาศพุ่งกลับมา มันเป็นเหมือนชุดเกราะและหมวกเหล็กที่คอยปกป้องอยู่ด้านหน้าร่างกายเขา ปกปิดดวงตาของเขาเอาไว้ แล้วก็ปกปิดท้องฟ้า
กระทั่งท้องฟ้าก็ยังปกปิดได้ เช่นนั้นก็ย่อมไม่มีอะไรผ่านเข้ามาได้
ควันสายนั้นตกลงไปบนกระบี่สีดำอย่างแม่นยำ
คราบสกปรกและรอยไหม้ที่อยู่บนตัวกระบี่เหล็กสีดำเหมือนยืดหยุ่นขึ้นมา มันยุบตัวลงไปเล็กน้อย จากนั้นดีดกลับออกมาอย่างรวดเร็ว
พลังอันแข็งแกร่งสายหนึ่งพุ่งตามออกมาจากในกระบี่ กระจายออกไปรอบทิศ สุดท้ายพุ่งกลับไปในท้องฟ้าอีกครั้ง เกิดเป็นคลื่นอากาศที่ไร้รูปร่างสิบกว่าสาย
สุดท้ายเหตุการณ์ทั้งหมดก็แสดงออกมาในรูปแบบของเสียง
เสียงฟึบเบาๆ ดังขึ้น จากนั้นเปลี่ยนเป็นเสียงดังกัมปนาทที่น่าหวาดกลัวอย่างรวดเร็ว
ตู้ม! คล้ายสายฟ้าฟาดลงมาที่พื้น
ต่อให้เคาะระฆังในวัดฌานทั่วทั้งใต้หล้าพร้อมกันก็ไม่สามารถกลบเสียงที่ดังสนั่นนี้ไปได้
คลื่นอากาศม้วนทุกสิ่งทุกอย่างภายในสวนจิ้งหยวนขึ้นมา ฝุ่นควันฟุ้งกระจาย
จัวหรูซุ่ยใบหน้าขาวซีด
ซีอี้อวิ๋นกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง
ไป๋เชียนจวินส่งเสียงกระอักออกมา ถอยหลังไปสองก้าว
นี่คือผลกระทบจากการโจมตีครั้งนี้ แม้จะมีสมณะตู้ไห่และสมณะต้าฉางคอยช่วยป้องกันแล้ว
การดีดที่ดูเหมือนควันเมื่อครู่นี้แฝงเอาไว้ด้วยพลังที่น่ากลัวขนาดไหนกัน?
……
……
หนึ่งดีดหนึ่งกระบี่
สั่นสะเทือนไปเก้าชั้นฟ้า
สมณะทุกคนที่อยู่ในวัดกั่วเฉิงต่างได้ยินเสียงนี้ ต่างทยอยเดินออกมาด้านนอกตำหนัก มองไปทางสวนด้านหลังอย่างสงสัย
เหล่าชาวบ้านที่เตรียมฉลองปีใหม่อยู่ด้านนอกวัดก็ได้ยินเสียงนี้อย่างชัดเจนเช่นกัน พวกเขาคิดขึ้นมาอย่างงุนงงทันทีว่าหมู่บ้านไหนมีฟ้าฝ่าลงมาอย่างนั้นหรือ เหตุใดถึงได้ดังขนาดนี้
ภายในสวนผัก หลิ่วสือซุ่ยได้ยินเสียงดังสนั่น ในใจค่อนข้างเป็นกังวล เขาย่อมต้องฟังออกว่านั่นมิใช่เสียงสายฟ้า
เสี่ยวเหอมองดูสีหน้าของเขา กล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ถ้ายังไง…เจ้าจะไปดูหน่อยไหม?”
หลิ่วสือซุ่ยนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะหยิบตะเกียบขึ้นมากินข้าวต่อ จากนั้นกล่าวว่า “คุณชายไม่ให้ข้าไป เขาย่อมต้องมีเหตุผลของเขา ข้าเชื่อฟังเขา”
เสี่ยวเหอไม่ค่อยเข้าใจ กล่าวถามว่า “เจ้าไม่กลัวเขาจะเกิดเรื่องหรือ?
หลิ่วสือซุ่ยคีบเนื้อผัดผักดองใส่ในชามข้าว ก่อนจะกินเข้าไปคำหนึ่งใหญ่ๆ พลางกล่าวเสียงอู้อี้ว่า “คุณชายไม่มีทางเกิดเรื่อง”
……
……
จิ๋งจิ่วมีเรื่อง
ฝุ่นควันร่วงตกลงมาจนหมด เขามิได้อยู่ที่เดิม หากแต่ถอย ‘เข้า’ ในระเบียงทางเดิน….
ร่างของเขากระแทกระเบียงทางเดินจนเป็นรอยแตกลึกเข้าไปหลายฉื่อ ดูคล้ายโค้งเว้าเข้าไป
เจตน์กระบี่ที่เบาบางแต่กลับชัดเจนสิบกว่าสายแผ่กระจายออกมาพร้อมกับเส้นผมและเสื้อผ้าที่พลิ้วไหว ร่างกระบี่ไร้ลักษณ์แต่กำเนิดยังคงแสดงออกมา
ฉีหลินเพียงแค่ดีดเบาๆ ก็บีบให้เขาต้องระเบิดเจตน์กระบี่ทั้งหมดออกมาได้
ถูกต้อง จริงอยู่ที่ฉีหลินใช้พลังในขั้นจิตก่อรูป แต่ร่างกายของเขา…แข็งแกร่งมากเกินไป
เหมือนกับที่เคยบอกเอาไว้ก่อนหน้านี้ เขาคือสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในจุดสูงสุดของแผ่นดินเฉาเทียน ยกเว้นผู้ที่อยู่ในแคว้นเสวี่ยผู้นั้น
แต่สิ่งที่ทำให้คนที่อยู่ในสวนจิ้งหยวนพากันตกใจนั้นมิใช่ความแข็งแกร่งของฉีหลิน เพราะนั่นเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้กันอยู่แล้ว หากแต่เป็นเรื่องที่…จิ๋งจิ่วยังไม่ล้มลงไป
จิ๋งจิ่วเดินออกมาจากระเบียงทางเดิน เศษไม้ที่อยู่บนเสื้อผ้าร่วงตกลงมา เลือดสดๆ ไหลออกมาจากมุมปาก
เขายกมือซ้ายที่กำยันต์เซียนขึ้นมาเช็ดเลือดที่มุมปาก จากนั้นเผามันจนกลายเป็นควัน ไม่เหลือร่องรอยใดๆ ทิ้งเอาไว้
ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าในควันสายนั้นมีควันบางส่วนที่ไหลเข้าไปในร่องนิ้วมือซ้ายของเขา
เมื่อเห็นภาพนี้ ซีอี้อวิ๋นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ไป๋เชียนจวินตะลึงลาน — จิ๋งจิ่วรับการโจมตีของฉีหลินเอาไว้ได้!
ฉีหลินหรี่ตาเล็กน้อย ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
ในเวลานี้เอง ภายในสวนจิ้งหยวนมีเสียงตะโกนดังขึ้นมา “
“ครั้งที่หนึ่ง!”
คนที่ตะโกนขึ้นมาคือจัวหรูซุ่ย เขายังคงตะโกนในสิ่งที่ทุกคนต่างรู้กันดีอยู่แล้ว
เขามิใช่ว่าอยากจะทำลายบรรยากาศอันตึงเครียดภายในสวน หากแต่ต้องการจะทำลายจังหวะ เพื่อให้จิ๋งจิ่วได้มีเวลาฟื้นฟูกำลัง
จนกระทั่งในเวลานี้ เขาก็ยังไม่เงยหน้าขึ้นมา มองดูกระบี่เหล็กสีดำที่ห้อยตกอยู่ข้างกายของจิ๋งจิ่ว ในใจครุ่นคิดว่ากระบี่นี้น่าจะหักแล้วกระมัง?
ทั่วทั้งชิงซานต่างทราบดี กระบี่ที่จิ๋งจิ่วสืบทอดมาคือกระบี่ของอาจารย์อาม่อแห่งยอดเขาซื่อเยวี่ย
กระบี่เหล็กเล่มนี้มิได้มีอะไรพิเศษ ยกเว้นแค่ตัวกระบี่ค่อนข้างกว้าง
เมื่อสภาวะของจิ๋งจิ่วยิ่งเพิ่มสูงขึ้น ก็ยิ่งมีหลายคนที่รู้สึกเสียดายแทนเขา คิดว่ากระบี่เหล็กเล่มนี้ไม่คู่ควรกับเขา จัวหรูซุ่ยเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน
เสียงแคร่กเบาๆ ดังขึ้น ผิวนอกของกระบี่เหล็กมีรอยแตกปรากฏขึ้นมา จากนั้นค่อยๆ ลามออกไป
เมื่อเห็นภาพนี้ จัวหรูซุ่ยรู้สึกจนปัญญา ในใจครุ่นคิดว่าตนเองเคยบอกเอาไว้แล้วว่ากระบี่เล่มนี้ของท่านมันไม่ไหว นอกจากมีพิษนิดหน่อยแล้วยังมีประโยชน์อะไร?
“เหล็กผุๆ แบบนี้ยังกล้าเอามาชี้ข้าอย่างนั้นหรือ?” ฉีหลินจ้องดวงตาของจิ๋งจิ่วพลางกล่าว
จิ๋งจิ่วไม่ได้พูดอะไร ยกกระบี่เหล็กที่อยู่ในมือขึ้นมาอีกครั้ง
เสียงตุบดังขึ้น มีของหนักๆ ตกลงพื้น
มิใช่กระบี่เหล็กหัก หากแต่เป็นคราบสนิมก้อนหนึ่งที่อยู่บนผิวกระบี่หลุดลอกออกมา จากนั้นร่วงตกลงพื้นเหมือนก้อนหิน ก่อนจะแตกกลายเป็นก้อนเล็กๆ
อีกประเดี๋ยว กระบี่เหล็กจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เหมือนอย่างคราบสนิมนี้หรือเปล่า?
จิ๋งจิ่วได้รับบาดเจ็บไม่เบา แต่กลับไม่มีความหวาดกลัวใดๆ เขายังคงชี้กระบี่ไปยังฉีหลิน ข้อมือขยับเล็กน้อย ปล่อยกระบี่ยกขึ้น
ไป๋เชียนจวินมองเห็นเป็นความหมายอื่น รู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก ในใจคิดว่าเจ้าจะตกปลาอย่างนั้นหรือ? กล้าดียังไงมาแสดงกิริยาเช่นนี้ต่อหน้าสัตว์เทพของสำนักข้า สามหาวยิ่งนัก!
เมื่อกระบี่เหล็กยกขึ้น เศษสนิมสีดำและเกาะตัวหนาเป็นเวลานานหลายปีก็ร่วงตกลงมาอีก เผยให้เห็นส่วนของกระบี่ที่แวววาว
ลมพลันพัดขึ้นมา ร่างของจิ๋งจิ่วหายไปอยู่บนท้องฟ้าเหนือสวนจิ้งหยวน จากนั้นก็วูบไหวเหมือนเปลวเทียน ก่อนจะไปอยู่เหนือภูเขาที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้ลูกนั้น
การเคลื่อนไหวนี้แปลกประหลาดยากคาดคะเน อีกทั้งยังรวดเร็วเป็นอย่างมาก แม้แต่หลบหนีฟ้าดินของสำนักจงโจวก็ยังมิอาจเทียบได้
คนที่อยู่ในสวนจิ้งหยวนย่อมไม่รู้ถึงการมีอยู่ของวิชากระบี่เซียนแห่งยมโลก ในใจต่างครุ่นคิดว่าหรือร่างกระบี่ไร้ลักษณ์แต่กำเนิดจะมีพลังถึงเพียงนี้?
สีหน้าของซีอี้อวิ๋นตกตะลึง คิดถึงการเคลื่อนไหวที่ดูมหัศจรรย์ที่จิ๋งจิ่วเคยแสดงออกมาในดินแดนแห่งความฝัน
สีหน้าของไป๋เชียนจวินยิ่งดูแย่ บนภูเขาปู้โจวในดินแดนแห่งความฝัน เขากับยอดฝีมืออีกหลายสิบคนของแคว้นฉินถูกจิ๋งจิ่วที่อยู่ในสภาพแบบนี้สังหารจนเลือดเจิ่งนอง แล้วเขาจะลืมได้อย่างไร? เขาคิดไม่ถึงว่าแม้นจะอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง จิ๋งจิ่วก็ยังแสดงเพลงกระบี่ที่ยากคาดคะเนได้เช่นนี้ออกมา อีกทั้งยังดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมด้วย
สายตาของฉีหลินยิ่งเย็นยะเยือก นั่นแสดงถึงความโกรธเกรี้ยวและจิตสังหาร
ในเวลานี้เขายิ่งมั่นใจว่าคนที่หนีออกมาจากคุกสะกดมารในตอนนั้นก็คือคนผู้นี้ คนผู้นี้นี่แหละที่ทำให้ชางลงต้องตาย!
ลมกระโชกขึ้นมา เขาหายไปจากที่ที่ยืนอยู่เดิม พริบตาก็มาอยู่บนท้องฟ้าเหนือภูเขาลูกนั้น พร้อมฟาดฝ่ามือเข้าใส่จิ๋งจิ่ว
ถึงแม้จะเป็นดวงไฟที่มืดสลัว แต่ก็ยากจะดับมอดในลมพายุอันคลุ้มคลั่ง
จิ๋งจิ่ววูบไหวไปมา ประเดี๋ยวตะวันออก ประเดี๋ยวตะวันตก ไม่รู้ว่าหลุดออกมาขอบเขตของพลังฝ่ามือมาอยู่บนท้องฟ้าที่สูงขึ้นไปได้อย่างไร
อิทธิฤทธิ์ของฉีหลินน่าหวาดกลัว หลังโจมตีถูกอากาศ คิดไม่ถึงว่าเขายังสามารถดึงพลังฝ่ามือกลับมาได้ เขาบีบพลังฝ่ามือที่ดึงกลับมาจนแตกกลายเป็นลูกศรจำนวนนับไม่ถ้วน จากนั้นสาดมันขึ้นไปบนท้องฟ้า!
ในเวลานี้ ในหมู่บ้านที่อยู่ด้านนอกวัดกั่วเฉิงมีชาวบ้านกำลังจุดประทัด
ปังๆๆๆ เสียงประทัดจำนวนนับไม่ถ้วนดังขึ้น กลบเสียงระเบิดของลูกศรเหล่านั้นเอาไว้
คนที่อยู่ในสวนจิ้งหยวนเงยหน้าขึ้น มองเห็นแค่เพียงฝนดาวตกและลำแสงกระบี่สายหนึ่งที่ฉวัดเฉวียนไปมาอยู่ในนั้น มีเพียงสมณะตู้ไห่ที่พอจะมองเห็นร่างของจิ๋งจิ่ว เพียงเท่านี้ก็พอจะรู้แล้วว่าเขารวดเร็วแค่ไหน
จัวหรูซุ่ยยังคงไม่เงยหน้า เขาจ้องมองดูต้นหญ้าที่กำลังสั่นระริกอยู่บนพื้นหิน สีหน้าขาวซีด ในใจครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ว่าในเวลานี้ได้หรือยัง? จะให้ดูเมื่อไรกันแน่? ดูมันใช่หรือเปล่า?
ลมหยุดพัด เมฆมิไหวติง ดาวตกทั่วท้องฟ้าหายไป ร่างของจิ๋งจิ่วปรากฎขึ้นอีกครั้ง ลงมายืนบนพื้น ชุดสีขาวเหมือนก้อนเมฆ ไม่มีเสียงใดๆ
ฉีหลินเองก็กลับมายังสวนจิ้งหยวน
บอกเอาไว้แต่แรกแล้วว่าจะโจมตีสามครั้ง ดังนั้นเขาจึงโจมตีออกไปเพียงฝ่ามือเดียว มิได้ไล่ตามโจมตี
ก่อนหน้านี้ฉีหลินฟาดออกไปหนึ่งฝ่ามือ ก่อนจะกลายเป็นฝนดาวตกกระจายเต็มท้องฟ้า ความจริงสามารถถือเป็นการโจมตีหนึ่งครั้งได้ แต่เมื่อคิดถึงสถานะและความอาวุโสของมัน เช่นนั้นก็ถือว่าทำเกินไปหน่อย
จัวหรูซุ่ยยังคงไม่วางใจ เขามองพื้นพลางตะโกนว่า “สอง…เอ่อ?”
จู่ๆ เขาพลันรู้สึกว่าตัวเองตาลาย
เท้าของจิ๋งจิ่วเหมือนจะหายไปจากตรงหน้าเขาในพริบตา
จากนั้นภายในสวนก็ตกอยู่ในความเงียบ
……
……
ในตอนที่จัวหรูซุ่ยก้มหน้า ภายในสวนจิ้งหยวนมีลำแสงกระบี่สว่างวาบ จากนั้นก็มีเสียงฉึบเบาๆ ดังขึ้น
จิ๋งจิ่วกลับมายืนอยู่ที่เดิม ใบหน้าขาวซีด เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
แต่ไม่มีใครมองเขา
ทุกคนต่างมองไปยังฉีหลิน
หางคิ้วของฉีหลินมีบาดแผลตื้นๆ ปรากฏขึ้นมารอยหนึ่ง หยดเลือดหยดเล็กๆ ค่อยๆ ไหลซึมออกมาอย่างช้าๆ
เขาจ้องมองดวงตาของจิ๋งจิ่ว ก่อนกล่าวออกมาช้าๆ ที่ละคำว่า “เจ้ากล้าทำร้ายข้า…”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “รับเจ้าสามกระบวนท่า แต่ไม่ได้บอกว่าห้ามโจมตีกลับ”
ฉีหลินคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจิ๋งจิ่วยังจะกล้าโจมตีกลับในสถานการณ์แบบนี้ มันไม่ได้เตรียมตัว ยิ่งไปกว่านั้นยังคิดไม่ถึงด้วยว่าการเคลื่อนไหวของเขาจะเร็วขึ้นได้อีก ถึงได้ถูกกระบี่ของเขาฟันเข้า
นี่ล้วนแต่ไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเขาคิดไม่ถึงเลยว่ากระบี่ของจิ๋งจิ่วจะทำร้ายตนเองได้
ทุกคนที่อยู่ในสวนจิ้งหยวนล้วนไม่มีใครคิดถึง พวกเขามองดูหยดเลือดที่ไหลซึมออกมาจากหางคิ้วของฉีหลิน ตกตะลึงจนพูดไม่ออก
ชายหนุ่มผู้หนึ่งที่บำเพ็ญเพียรมาไม่ถึงสามสิบปี อยู่แค่ในสภาวะคเนจรระดับกลาง แต่กลับสามารถทำให้ฉีหลินบาดเจ็บได้?
นี่มันเป็นไปได้อย่างไร!
จัวหรูซุ่ยฟังบทสนทนาภายในสวน รู้สึกตกตะลึงอย่างมากเช่นเดียวกัน
ต่อให้ฉีหลินสะกดพลังตัวเองเอาไว้แค่ในระดับจิตก่อรูป แต่ร่างศักดิ์สิทธิ์แต่กำเนิดจะถูกทำลายได้อย่างไร ท่านใช้กระบี่อะไรกันแน่?
—–กระบี่ของตัวเองไม่ไหวอย่างแน่นอน เกรงว่ากระบี่ของเจ้าแห่งยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานก็มิแน่ว่าจะสามารถทำเช่นนี้ได้ทุกเล่ม หรือว่าท่านใช้กระบี่มิคำนึง?
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูแผ่นหลังของจิ๋งจิ่ว มือซ้ายร่ายเคล็ดกระบี่ สะกดกระบี่มิคำนึงที่กำลังสั่นระริกอยู่ในโอสถกระบี่
สมณะตู้ไห่รู้เรื่องมากกว่านั้น เขามองจิ๋งจิ่ว ในใจครุ่นคิดว่าหรือเจ้าจะใช้กระบี่ไร้อัตตาที่เล่าลือกันว่าคมที่สุด?
หลิ่วสือซุ่ยที่อยู่ในสวนผักมองดูสร้อยข้อมือที่กำลังส่งเสียงหวึ่งๆ ดูตื่นเต้นเป็นอย่างมากอยู่บนข้อมือของตน ในใจครุ่นคิดว่าภายในวัดกั่วเฉิงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
จิ๋งจิ่วมิได้พูดอะไรอีก เขายกกระบี่เหล็กสีดำชี้ไปทางฉีหลินอีกครั้ง
คราบสนิมที่อยู่บนกระบี่เหล็กสีดำร่วงตกลงมาตามการเคลื่อนไหวของเขา ค่อยๆ เผยให้เห็นตัวกระบี่ที่เป็นมันวาว
สมณะตู้ไห่มองดูกระบี่นั้น รับรู้ได้ถึงพลังอันซับซ้อนที่แหลมคม ว่างเปล่าแต่กลับรุนแรงเป็นอย่างมากจากในตัวกระบี่ เขาถามอย่างตกตะลึงว่า “นี่มันกระบี่อะไร?”
สายตาของจิ๋งจิ่วเปลี่ยนเป็นว่างเปล่า เสียงยิ่งฟังดูเยือกเย็น เหมือนกับกระบี่เล่มนี้
“คมจักรวาล”