มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 180 ฉีหลินบินหนีไป พระอัปลักษณ์ (1)
เร็วมาก!
เมื่อเห็นภาพนี้ คนที่อยู่ในสวนจิ้งหยวนต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก
จัวหรูซุ่ยมองไม่เห็น ในเวลานี้เพิ่งจะได้ยินเสียงแหวกอากาศของกระบี่
ไป๋เชียนจวินใบหน้าขาวซีด ในใจรู้ว่าหากเป็นตัวเองไปยืนอยู่หน้าจิ๋งจิ่ว ในเวลานี้คงจะถูกฟันตายไปแล้ว
คำว่าเร็ว บางครั้งใช้บรรยายระดับความคมของกระบี่ แต่ในหลายๆ ครั้งใช้บรรยายความเร็ว
หลังจากคราบสนิมบนกระบี่คมจักรวาลหลุดลอกออกจนหมด ตัวกระบี่ก็บางขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก ดูเหมือนกระดาษแผ่นหนึ่ง สามารถแสดงความคมและความเร็วของตัวมันออกมาได้อย่างเต็มที่
ระดับความคมของมันน่าจะยังไม่อาจเทียบกระบี่ไร้อัตตาได้ แต่ความเร็วกลับเร็วกว่ากระบี่ไร้อัตตา
ความเร็วของมันน่าจะยังไม่อาจเทียบมิคำนึงได้ แต่พลังทำลายกลับแข็งแกร่งกว่ามิคำนึง
ในอีกแง่หนึ่ง ความเร็วและความคมของกระบี่คมจักรวาลมีความสมดุลอย่างสมบูรณ์ สอดประสานกับกระบี่เซียนแห่งยมโลกของจิ๋งจิ่วได้อย่างสมบูรณ์แบบ
จนทำให้ฉีหลินที่มีการมีการป้องกัน ยังคงถูกเขาแทงจนได้รับบาดเจ็บ
“มันจะมีประโยชน์อะไร?”
ฉีหลินมองดูเงากระบี่ที่เกิดขึ้นจากเสื้อผ้าของจิ๋งจิ่ว พลางกล่าวด้วยสีหน้าเฉยชาว่า “ถึงแม้เจ้าและกระบี่ของเจ้าจะเร็วมากพอ แต่มันก็ยังไม่แข็งแกร่งมากพอ”
ในฐานะที่เป็นสัตว์เทพโบราณที่อยู่ในระดับสูงสุดของแผ่นดินเฉาเทียน หลังแปลงเป็นคนแล้วมันยังคงมีร่างศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ยงคงกระพัน กระบี่คมจักรวาลแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก จึงสามารถแทงทะลุผิวหนังของมันได้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่สามารถทำให้เกิดแผลลึกได้ บาดแผลแบบนี้ต่อให้มีอีกกี่พันแผล ต่อให้มันหลั่งเลือดออกมาอีกกี่พันหยด แล้วจะเป็นอะไร?
ภายในสวนจิ้งหยวนมีลมกระโชกขึ้นมา นั่นเป็นเพราะฉีหลินสูดหายใจลึกๆ
มันสะสมพลังไว้เป็นเวลานานแล้ว หลังจากนี้จะต้องเป็นการโจมตีที่รุนแรงราวกับสายฟ้าจากสรวงสวรรค์อย่างแน่นอน แล้วจิ๋งจิ่วจะรับเอาไว้ได้อย่างไร?
เงาที่เกิดขึ้นจากเสื้อผ้าของจิ๋งจิ่วพลันหายไป เขาหายไปจากตำแหน่งที่ยืนอยู่เดิม ออกไปจากสวนจิ้งหยวน
ในเมื่อไม่สามารถรับได้ เช่นนั้นก็ถอยออกไปก่อน หลบออกไปจากสวนจิ้งหยวนที่เต็มไปด้วยแรงกดดันจากยุคบรรพกาล หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกกระบี่คนอื่นที่มีความรวดเร็ว พวกเขาก็คงเลือกที่จะทำแบบนี้ในเวลาเช่นนี้เหมือนกัน แต่สมณะตู้ไห่กลับค่อนข้างเป็นห่วง เพราะเขารู้ว่าจิ๋งจิ่วมิใช่ผู้ฝึกกระบี่ธรรมดา จึงคาดเดาได้ว่าเขาน่าจะกำลังเตรียมเสี่ยงอันตรายอยู่
ฉีหลินแค่นหัวเราะ แรงกดดันลอยขึ้นจากพื้น สกัดกั้นเส้นทางที่จะตรงขึ้นไปบนท้องฟ้าเอาไว้
เสียงตูมดังขึ้น ประตูสวนจิ้งหยวนถูกชนจนพังเสียหาย จิ๋งจิ่วพุ่งออกไปด้านนอกพร้อมลำแสงกระบี่อีกสิบกว่าสาย
ฉีหลินแปลงเป็นลำแสงใสกระจ่างพุ่งตามออกไป ความเร็วมิได้ด้อยกว่าแม้แต่น้อย เผลอๆ ดูแล้วจะเร็วกว่าเล็กน้อยเสียด้วยซ้ำ ดูแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
งานสักการะเจดีย์ในวันนี้ ด้านนอกสวนจิ้งหยวนมีสมณะธรรมดามาสวดมนต์และทำพิธีการต่างๆ มากมาย ในเวลานี้พวกเขากำลังเตรียมตัวแยกย้าย แต่ก็ยังไม่ทันจะได้แยกย้ายหนีออกไป
ฉีหลินพุ่งเข้ามาพร้อมกับแรงกดดันมหาศาล ก่อเกิดเป็นลมรุนแรงจำนวนนับไม่ถ้วน ใบไม้และเศษหินปลิวว่อนจนมืดฟ้ามัวดิน ทุกอย่างตกอยู่ในความวุ่นวาย ไม่รู้ว่ามีสมณะมากน้อยเท่าไรที่ล้มลงไปกับพื้น ศีรษะกระแทกจนเลือดออก
ในที่สุดข่ายพลังของวัดกั่วเฉิงก็ทำงาน
เสียงสวดมนต์และเสียงเคาะบักฮื้อจำนวนนับไม่ถ้วนดังขึ้น อักขระคัมภีร์จำนวนสามพันกว่าตัวลอยขึ้นมาจากในตำหนัก ในห้องภาวนาและในเจดีย์หินต่างๆ ก่อนจะกลายเป็นเพลิงอรหันต์ปกคลุมทั่วท้องฟ้า
ข่ายพลังเพลิงพระอริยะ!
ข่ายพลังนี้ตัดขาดสวนจิ้งหยวนออกจากพื้นที่โดยรอบ ปิดผนึกทุกอย่างที่อยู่ในนั้นเอาไว้ ถึงแม้ฉีหลินอยากจะทลายข่ายพลังออกไปก็ต้องใช้เวลาอยู่เหมือนกัน
ฉีหลินไม่สนใจสิ่งเหล่านี้เลย เขายังคงไล่ล่าจิ๋งจิ่ว ทุกที่ที่เขาพุ่งผ่าน ต้นไม้ล้มระเนระนาด ระฆังตกลงบนพื้น เต็มไปด้วยเศษซากความเสียหาย
จิ๋งจิ่วพุ่งไปมาอยู่ในเพลิงอรหันต์สามพันกว่าดวง ดูคล้ายวิญญาณ หรือบางครั้งก็ดูคล้ายเพลิงอรหันต์ดวงหนึ่ง
ข่ายพลังเพลิงพระอริยะทำให้เขาไม่สามารถออกไปจากวัดกั่วเฉิงได้ แต่ภายขอบเขตในพื้นที่ที่ค่อนข้างเล็ก การเคลื่อนไหวอันแปลกประหลาดของวิชากระบี่เซียนแห่งยมโลกกำลังทำให้เขาได้ประโยชน์หลายๆ อย่าง
แม้นจะเผชิญหน้ากับการไล่โจมตีของฉีหลิน แต่เขากลับยังสามารถยื้อเอาไว้ได้ เพียงแต่ไม่สามารถสลัดอีกฝ่ายให้หลุดไปได้
ท่ามกลางเพลิงอรหันต์ที่ปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้า เพลิงอรหันต์ดวงนั้นหายไป ลำแสงใสกระจ่างที่ไล่ตามอยู่ด้านหลังสายนั้นก็หายตามไปด้วย
เสียงฉึกดังขึ้นเบาๆ
ร่างของจิ๋งจิ่วและฉีหลินปรากฏออกมา
กระบี่ที่อยู่ในมือเขาได้แทงทะลุเข้าไปในหน้าอกของฉีหลิน เลือดสดๆ ไหลออกมาไม่หยุด
กระบี่คมจักรวาลแทงเข้าไปในร่างกายของฉีหลินไม่ลึกนัก ประมาณหลายชุ่น แต่เหตุใดฉีหลินจึงไม่หลบกระบี่นี้?
ประตูของสวนจิ้งหยวนพังทลายไปแล้ว สมณะตู้ไห่มองเห็นภาพในตอนนั้น
เปลวเพลิงดับลง จิ๋งจิ่วปรากฎกาย ยกกระบี่ที่อยู่ในมือขึ้นมา
ลำแสงใสกระจ่างหายไป ฉีหลินปรากฏกาย เดินไปข้างหน้าหลายก้าว
ในอีกแง่หนึ่งแล้ว มิใช่จิ๋งจิ่วที่เป็นคนแทงฉีหลิน หากแต่เป็นตัวฉีหลินที่พุ่งเข้าไปชนกระบี่
ก็เหมือนกับกระต่ายที่กระแทกเข้ากับต้นไม้ เหมือนคนที่กระแทกเข้ากับอะไรบางอย่าง
ภาพเหตุการณ์นี้ดูค่อนข้างน่าขัน มันหมายความว่าจิ๋งจิ่วได้บรรลุถึงขั้นที่ว่าขยับก็เหมือนมิได้ขยับแล้ว
เรื่องสภาวะนั้นยังไม่ต้องพูดถึง แต่การเคลื่อนไหวแบบนี้มันช่างทำให้คนยากจะจินตนาการได้จริงๆ
ฉีหลินมิได้โกรธเกรี้ยวที่ได้รับบาดเจ็บ ในดวงตาที่ดูลึกลับมิได้มีความเจ็บปวดใดๆ หากแต่ยังคงเฉยชา
“เจ้าคิดว่าแผนการของเจ้าสำเร็จแล้วอย่างนั้นหรือ? อย่าลืมเสียล่ะ ข้ายังมิได้โจมตี”
การไล่โจมตีภายใต้เพลิงอรหันต์ที่ปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้าเป็นเพียงแต่ไล่ล่าในช่วงแรกเท่านั้น ฉีหลินยังมิได้ทำการโจมตีครั้งที่สามที่สะสมพลังเอาไว้เป็นเวลานาน
จิ่งจิ่วรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่เหมือนภูเขายักษ์ประกบเข้าด้วยกันและมิอาจสั่นคลอนได้ เขารู้ว่าอีกฝ่ายใช้ร่างศักดิ์สิทธิ์ของฉีหลินมาผนึกกระบี่คมจักรวาลเอาไว้
ด้วยสภาวะและพลังของเขาในตอนนี้ไม่สามารถดึงกระบี่คมจักรวาลออกมาจากร่างกายของฉีหลินได้ ตอนนี้เขามีอยู่สามทางเลือก หนึ่งคือทิ้งกระบี่แล้วหนีไป สองคือระเบิดปราณกระบี่ทั้งหมดออกมา พยายามทำให้กระบี่แทงทะลุร่างของฉีหลินเพื่อทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส สามคือยืนอยู่กับที่ มือกุมกระบี่เอาไว้ รอคอยการโจมตีที่น่าหวาดกลัวของฉีหลิน
ทางที่เขาเลือกคือทางที่สาม ถึงแม้อาจจะถูกบดขยี้จนกลายเป็นก้อนเนื้อก็ตาม
“หากเจ้าสามารถบำเพ็ญเพียรจนถึงขั้นแหวกทะเลได้ บางทีกระบี่เล่มนี้อาจจะทำให้ข้าหวาดกลัวได้บ้าง แต่ตอนนี้เจ้ายังอ่อนแอ ดังนั้น…”
ฉีหลินมิได้ลงมือ เขาเพิ่มพลังและแรงกดดันของตัวเองขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุด ก่อนจะตะคอกออกมาว่า “ไปตายซะ!”
ครั้นพูดจบ เขาก็เหวี่ยงกำปั้นไปที่ใบหน้าของจิ๋งจิ่ว
กำปั้นที่ดูเหมือนธรรมดา แต่กลับแฝงเอาไว้ด้วยพละกำลังที่เหมือนภูเขาทั้งลูก ยิ่งไปกว่านั้นกำปั้นของฉีหลินยังน่ากลัวกว่าอาวุธวิเศษธรรมดาทั่วไปด้วย
มาตรว่าต้องเผชิญหน้ากับกำปั้นที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้ แต่สีหน้าจิ๋งจิ่วกลับไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย เขาถอยหลังไปครึ่งก้าว เปิดเผยมือซ้ายที่ไพล่เอาไว้ด้านหลังตลอดเวลาข้างนั้น
แสงสีทองที่ดูเบาบางจำนวนหลายสายหลั่งไหลออกมาจากร่องนิ้วมือของเขา แผ่กระจายกลิ่นอายที่ทำให้คนลุ่มหลงเสียยิ่งกว่าสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
นั่นคือพลังเซียน
ทั่วทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญพรตต่างรู้ว่ามือซ้ายของจิ๋งจิ่วกำยันต์เซียนเอาไว้อยู่ มิเคยได้คลายออก
ตั้งแต่งานชุมนุมแสวงมรรคาจบลง เขากำมือซ้ายมาเป็นเวลาหกปีเต็ม
ยันต์เซียนสายนั้นคล้ายหลอมรวมเป็นหนึ่งกับมือซ้ายของเขา
เมื่อเห็นภาพที่อยู่ด้านนอกสวนจิ้งหยวน ไป๋เชียนจวินก็คิดถึงภาพที่เกิดขึ้นด้านนอกคันฉ่องฟ้ากระจ่างเมื่อหกปีก่อน
ในตอนนั้นเขาปะทะกำปั้นกับจิ๋งจิ่ว ผลปรากฏว่ากระดูกหักทั้งร่างจนเกือบตาย โชคดีที่นักพรตไป๋ช่วยชีวิตเอาไว้ได้
หรือจิ๋งจิ่วคิดจะใช้วิธีเดิม?
ไป๋เชียนจวินครุ่นคิดเย้ยหยัน หากเจ้าคิดว่ากำปั้นที่กำยันต์เซียนเอาไว้จะสามารถเทียบกับกำปั้นของท่านบรรพจารย์ฉีหลินได้ อย่างนั้นเจ้าก็ตายไปเสียเถอะ
หลายๆ คนต่างบอกว่าความคิดนั้นเป็นสิ่งที่รวดเร็วที่สุดในโลก แต่ในเมื่อการคิดจำเป็นต้องใช้เวลา เช่นนั้นมันก็ย่อมต้องมีความต่างกันในเรื่องของความเร็วอยู่ ความเร็วในการคาดการณ์ของจิ๋งจิ่วรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง แต่นี่มิได้หมายความว่าทุกคนจะทำได้เหมือนอย่างเขา ความจริงแล้ว ความเร็วในการคิดของคนจำนวนมากบนโลกล้วนแต่มิอาจเทียบกับความเร็วในการออกหมัดของเขาและฉีหลินได้
ในตอนที่ภายในหัวของไป๋เชียนจวินมีความคิดนี้ผุดขึ้นมา หมัดซ้ายของจิ๋งจิ่วก็ปะทะเข้ากับกำปั้นของฉีหลินแล้ว
ไม่มีคลื่นอากาศระเบิดออกมา แล้วก็ไม่มีฝุ่นควันฟุ้งกระจาย กระทั่งเสียงดังกัมปนาทจากการปะทะกันก็ไม่มี
การควบคุมพละกำลังของเขาและฉีหลินล้วนแต่อยู่ในระดับสูงสุดบนโลกนี้ พละกำลังทั้งหมดล้วนแต่โถมเข้าใส่อีกฝ่ายจนหมด มิได้หลุดรอดออกไปแม้แต่นิดเดียว
มีเพียงเสียงแคร่กเบาๆ เสียงหนึ่ง
จากนั้นก็เป็นเสียงพื้นดินปริแตก
พื้นดินปริแตกออกจริงๆ
พื้นหินมีร่องที่ลึกอย่างมากร่องหนึ่งปรากฏขึ้นมา พุ่งตรงเข้าไปในสวนจิ้งหยวน
จิ๋งจิ่วนอนอยู่ตรงปลายของร่องลึก สีหน้ายังคงเรียบเฉย แต่ใบหน้ากลับขาวซีดเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส
กระดูกนิ้วมือ กระดูกข้อมือ กระดูกแขนไปจนถึงกระดูกช่วงหัวไหล่ของเขาล้วนแต่มีรอยแตกจำนวนนับไม่ถ้วน
หากไม่เป็นเพราะร่างกายมีความพิเศษ เกรงว่ากระดูกเหล่านั้นคงจะหักเป็นท่อนๆ จำนวนนับไม่ถ้วนไปนานแล้ว
การต่อสู้ยังไม่จบ เพราะการโจมตีครั้งที่สามของฉีหลินยังคงดำเนินอยู่
กำปั้นของเขาปล่อยก้อนลำแสงที่รวมตัวขึ้นมาจากแสงสีเขียวก้อนหนึ่ง พุ่งตรงเข้าไปในสวนจิ้งหยวน มาถึงตรงหน้าจิ๋งจิ่ว
มือซ้ายของจิ๋งจิ่วกระทั่งจะกำยันต์เซียนเอาไว้ก็ยังทำได้ลำบาก แล้วจะยกขึ้นมารับการโจมตีครั้งนี้ได้อย่างไร?
หากเจ้าล่าเยวี่ยสามารถตอบสนองได้ทัน นางจะต้องเข้ามายืนขวางอยู่ตรงหน้าเขาอย่างแน่นอน
เพียงแต่การต่อสู้ของจิ๋งจิ่วและฉีหลินนั้นอยู่เหนือขึ้นไปจากสภาวะของนาง นางมิอาจทำอะไรได้ทันเลย นี่ทำให้นางรู้สึกค่อนข้างเสียใจ เมื่อหลายปีก่อนตนเองไม่ควรจะฟังจิ๋งจิ่ว หากในตอนนั้นนางบรรลุสภาวะเข้าสู่คเนจรระดับกลาง อย่างน้อยในเวลานี้นางก็น่าจะเรียกกระบี่มิคำนึงออกมารับมือได้ทัน
สายตาของจิ๋งจิ่วยังคงสงบนิ่ง มิได้มีทีท่าว่าจะยกกระบี่ด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่