มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 181 ฉีหลินบินหนีไป พระอัปลักษณ์ (2)
ฉีหลินตะคอกว่าไปตายซะ
ผลปรากฏว่าจิ๋งจิ่วใกล้จะตายจริงๆ
แต่ในเวลานี้เอง ฉีหลินได้ยินคนพูดประโยคเดียวกัน
“เจ้าไปตายซะ”
เสียงนั้นดังมาจากด้านล่างของเขา น้ำเสียงเฉยชาเรียบเฉย คล้ายขอร้องอย่างมีมารยาท
ฉีหลินใช้หางตามองลงไป พบว่าเป็นสมณะแก่ที่ทำพิธีอยู่ดานนอกสวนจิ้งหยวนผู้หนึ่ง
สมณะแก่ผู้นั้นไม่มีอะไรพิเศษ นอกจากอัปลักษณ์
ปลายจมูกที่ดูแดงน่าเกลียดกับผมบางๆ ที่เพิ่งงอกขึ้นมาใหม่ ไม่ว่าใครได้เห็นก็ต้องเกิดความรู้สึกรังเกียจ
ในมือของสมณะแก่ผู้นั้นถือของสิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนไม้เท้าวัชระที่ทำขึ้นจากหินสีดำ
ในเวลานี้ปลายของไม้เท้าวัชระได้แทงเข้าไปในช่วงเอวของฉีหลิน
ในชั่วเวลาพริบตา ภายในหัวสมองของฉีหลินเกิดคำถามจำนวนนับไม่ถ้วน
ในตอนที่เขาเผยกายออกมาในเพลิงอรหันต์ที่ปกคลุมทั่วทองฟ้า จิตจำแนกของเขาได้ตรวจดูสถานการณ์ในพื้นที่จนหมดแล้ว แล้วก็พบสมณะแก่ผู้นี้นอนอยู่บนพื้น ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
สมณะแก่ลุกขึ้นมานั่งตั้งแต่เมื่อไร เหตุใดตนเองถึงไม่รู้เลย? แล้วสมณะแก่เอาไม้เท้าวัชระแท่งนี้แทงเข้ามาในร่างกายของตนเองเมื่อไร? ที่สำคัญที่สุดไม้เท้าวัชระนี้ทำมาจากอะไร? พลังฌานลึกล้ำ แต่ผิวนอกกลับมีควันสีดำสองสามสายลอยวนไปมา คิดไม่ถึงว่าจะสามารถแทงร่างกายของตนเองเข้า อีกทั้งยังเจ็บปวดขนาดนี้….
“อ๊ากก!” ฉีหลินแผดเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดและความโกรธเกรี้ยว
ไม้เท้าวัชระได้สร้างความเสียหายที่แท้จริงให้แก่ร่างกายเขา รวมไปถึงเรื่องศักดิ์ศรีด้วย
ออกจากเขาอวิ๋นเมิ่งมาท่องเที่ยวยังโลกมนุษย์นานขนาดนี้ กลับถูกคนไร้นามผู้หนึ่งทำให้ได้รับบาดเจ็บ!
“เจ้าเด็กน้อยพรรคมาร กล้าลอบโจมตีข้าอย่างนั้นหรือ! ไปตายซะ!”
ฉีหลินหน้ามืดตามัวเพราะความโกรธแค้น เขาเริ่มยกระดับสภาวะอย่างคลุ้มคลั่ง
ไม้เท้าวัชระที่อยู่ในมือสมณะแก่มีพลังมารแฝงเอาไว้อยู่ ควันดำเย็นยะเยือก เห็นได้ชัดว่าเป็นวิชาพรรคมาร เขาย่อมต้องไม่จำเป็นต้องสะกดสภาวะของตัวเองเอาไว้ที่ขั้นจิตก่อรูปอีกต่อไป
เขาสองข้างที่อยู่บนหัวของฉีหลินงอกยาวออกมาหลายฉื่อ กลายเป็นสีแดงสดเหมือนปะการัง พลังของเขายิ่งแกร่งกล้า มหาศาลดุจมหาสมุทร
ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ เขาได้ยกระดับสภาวะของตัวเองขึ้นไปถึงขั้นมหายานระดับกลาง!
ฉีหลินมิได้กลับคืนสู่ร่างเดิมอย่างสมบูรณ์ แต่ฟ้าดินก็ยังเกิดการตอบสนอง
เมฆดำจำนวนนับไม่ถ้วนลอยมาอยู่เหนือวัดกั่วเฉิง สายฟ้าก่อตัวแต่ยังไม่ผ่าลงมา!
ฝ่ามือของฉีหลินฟาดลงไปยังกลางศีรษะของสมณะแก่ รุนแรงเสียยิ่งกว่าสายฟ้าฟาด!
เสียงผัวะเบาๆ ดังขึ้น
สมณะแก่ผู้นั้นพลิกฝ่ามือรับเอาไว้ได้อย่างนุ่มนวล!
ควันดำที่แฝงเอาไว้ด้วยความน่าขนลุกขนพองและดุร้ายหลั่งไหลออกมาจากฝ่ามือของสมณะแก่ ผสมเข้ากับแสงสีทองที่ปล่อยออกมาจากฝ่ามือของฉีหลิน ดูเจิดจ้าแต่ก็มืดสลัว คล้ายกับลาวาที่กำลังจะแข็งตัว ส่องสว่างใบหน้าอัปลักษณ์ของเขาให้ยิ่งดูชัดเจนขึ้น
“ต่อให้เจ้าคืนร่างเดิมข้าก็ไม่กลัวแม้แต่น้อย นับประสาอะไรกับตอนนี้ล่ะ?”
สมณะมองฉีหลิน หัวเราะเสียงดังพลางกล่าว
ในรอยยิ้มของเขาเต็มไปด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องและความละโมบ ไม่เหมือนกับยอดฝีมือที่มีสภาวะสูงส่งแม้แต่น้อย หากแต่เหมือนกับสัตว์ประหลาดที่เจออาหารที่ถูกปากมากกว่า
ภายในใจฉีหลินพลันรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาอย่างรุนแรง นั่นคืออันตรายอย่างแท้จริง อันตรายเสียยิ่งกว่าสายฟ้าที่ก่อตัวอยู่บนท้องฟ้าเสียอีก!
ถึงแม้หลังเขาแปลงกายแล้วพลังจะมิอาจเทียบกับร่างเดิมได้ แต่บนโลกจะมีสักกี่คนที่สามารถรับการโจมตีของสภาวะขั้นมหายานระดับกลางได้?
เขามิได้คิดอะไรมากมายอีก แผดเสียงคำรามจะเปลี่ยนกลับร่างเดิม ถึงแม้จะต้องเสี่ยงอันตรายจากสายฟ้าที่ฟาดลงมา เขาก็ต้องหนีไปจากที่นี่ให้ได้
แต่สมณะแก่ผู้นั้นมิได้ให้โอกาสเขา หากแต่กรอกตาใส่ ขาทั้งสองข้าถีบออกไปราวสายฟ้า กระแทกเข้ากับต้นขาของฉีหลินอย่างแรง
เสียงตูมดังสนั่น
ฉีหลินบินขึ้นไปบนท้องฟ้า กลายเป็นจุดสีดำเล็กๆ บินตรงไปยังขอบฟ้าเป็นเส้นยาว ระหว่างทางยังชนยอดเขาลูกหนึ่งจนพังทลายลงมา
หลังจากนั้นก็มีลำแสงสีขาวนวลของอาวุธวิเศษสว่างขึ้นมาทางยอดเขาด้านนั้น เมฆดำลอยตามไป สายฟ้าฟาดลงมา แต่กลับมิอาจหยุดจุดสีดำนั้นเอาไว้ได้
……
……
บนบชายหลังคาตำหนักเฉิงฮว๋า แมวขาวมองดูฉีหลินที่กระอักเลือดตกไปยังภูเขาด้านนั้น ในดวงตามีแววตาดุร้ายปรากฏขึ้นมา คิดอยากจะไล่ตามไปฆ่า…แต่กลับรู้สึกตรงหลังคอแน่นขึ้นมา
อินซานคว้าขนที่อยู่ตรงด้านหลังคอของมันเอาไว้ จากนั้นอุ้มมันเอาไว้ในอ้อมอก มองไปทางภูเขาด้านนั้นพลางกล่าวว่า “พวกตระกูลไป๋จะมาแล้ว อาต้า วันนี้พวกเราปล่อยเจ้ากวางอัปลักษณ์ไปก่อนดีไหม?”
เสียงของเขานุ่มนวลอ่อนโยน น้้ำเสียงที่ใช้ก็เป็นการสอบถาม แต่แมวขาวกลับตัวแข็งทื่อ ไหนเลยจะกล้าขัดขืน
อินซานเหลียวหน้ามองไปทางสวนจิ้งหยวน มองดูปรมาจารย์สำนักเสวียนอินที่ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือสวนจิ้งหยวน สายตาเย็นเยือกยะเยือกเล็กน้อย กล่าวว่า “ช่าง…น่าเสียดายจริงๆ”
แมวเขาไม่รู้ว่าที่เขาพูดนั้นหมายถึงปรมาจารย์สำนักเสวียนอิน มันนึกว่าเขาหมายถึงน่าเสียดายที่ฉีหลินหนีไป จึงรีบส่งเสียงร้องเมี้ยวๆ ออกมาเพื่อแสดงออกว่าเห็นด้วย จากนั้นก็ใช้จิตจำแนกถามอย่างระมัดระวังว่า “นักพรต นี่เป็นแผนการที่พวกท่านศิษย์พี่ศิษย์น้องใช้เล่นงานสำนักจงโจวใช่หรือไม่?”
จิ๋งจิ่วใช้กระบี่เซียนแห่งยมโลกหลบหนีไปด้านนอกสวนจิ้งหยวน แต่กลับไปตกลงข้างกายปรมาจารย์สำนักเสวียนอินอย่างพอดิบพอดี ไม่ว่าดูอย่างไรนี่ก็ไม่เหมือนเรื่องบังเอิญเลย หากแต่เป็นแผนการ
“ฉีหลินนั้นเป็นแค่ผลพลอยได้” อินซานมองดูจิ๋งจิ่วที่ลุกขึ้นมาจากในร่องลึกพลางกล่าวว่า “คนที่ข้าจะฆ่าคือเขา”
……
……
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ดูแล้วกำปั้นของฉีหลินกำลังจะกระแทกไปบนร่างกายของจิ๋งจิ่ว แต่เขากลับถูกสมณะแก่รูปหนึ่งลอบโจมตีจนบาดเจ็บสาหัส
ฉีหลินยกระดับสภาวะขึ้นไปถึงขั้นมหายานระดับกลางจนเกือบจะเผยร่างเดิมออกมา แต่เขากลับยังมิใช่คู่ต่อสู้ของสมณะแก่รูปนั้น จากนั้นถูกถีบจนกระเด็นออกไปหลายพันลี้
ในระหว่างที่ทำการโจมตี สมณะแก่รูปนั้นนั่งอยู่บนพื้นตลอดเวลา มิได้ยืนขึ้นมาเลย
สมณะแก่รูปนี้เป็นใครกันแน่? เจ้าอาวาสวัดกั่วเฉิงที่ออกมาจากการเก็บตัว หรือว่าเป็นสมณะกวาดลานวัดที่แอบบำเพ็ญเพียรอย่างเงียบๆ คนไหน?
คนที่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ บนโลกนี้จะมีอยู่สักกี่คน?
สมณะแก่บินขึ้นไปยังท้องฟ้าเหนือสวนจิ้งหยวน ไม้เท้าวัชระที่ทำขึ้นจากหินสีดำแท่งนั้นหายไปแล้ว
คนที่อยู่ในสวนจิ้งหยวนรับรู้ได้อย่างชัดเจน พลังของสมณะแก่รูปนี้ลึกล้ำจนมิอาจประมาณได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นผู้บำเพ็ญพรตวิถีมาร!
สมณะแก่ฟาดฝ่ามือไปในสวนจิ้งหยวน เป้าหมายคือจิ๋งจิ่ว!
ฉีหลินที่อยู่ในสภาวะขั้นจิตก่อรูปเล่นงานจิ๋งจิ่วจนบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ ฉีหลินที่ฟื้นคืนสภาวะจนอยู่ในขั้นมหายานกลับถูกสมณะแก่รูปนี้เล่นงานจนบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ เช่นนี้แล้ว หากแบ่งตามสภาวะของชิงซาน สมณะแก่รูปนี้จะต้องอยู่ในขั้นทะลวงสวรรค์ขั้นสูงสุดอย่างแน่นอน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องอยู่ในสิบอันดับแรกของโลกแห่งการบำเพ็ญพรต
วิถีมารเสื่อมถอย แล้วมารที่ร้ายกาจเช่นนี้ปรากฏตัวออกมาตั้งแต่เมื่อไรกัน?
เมื่อเห็นสมณะแก่รูปนั้น คนที่อยู่ภายในสวนจิ้งหยวนต่างเกิดความรู้สึกสิ้นหวังขึ้นมา ในใจครุ่นคิดว่าจิ๋งจิ่วคงต้องตายอย่างแน่นอนแล้ว
ในเวลานี้เอง ภายในสวนจิ้งหยวนได้เกิดเรื่องหนึ่งขึ้น
จัวหรูซุ่ยเงยหน้าขึ้นมา มองไปทางสมณะแก่รูปนั้น
ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ฉีหลินกับจิ๋งจิ่วต่อสู้กัน หรือว่าในเวลานี้ เขาก็เอาแต่จ้องมองดูพื้น มองดูต้นหญ้าต้นนั้นไหวเอนไปมา มองดูต้นหญ้าถูกแรงกดดันของฉีหลินบดขยี้จนแหลกละเอียด จากนั้นถูกสายลมพัดหายไป
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเงยหน้าขึ้นมาในสวนจิ้งหยวนของวัดกั่วเฉิง
เขามองเห็นใบหน้าของสมณะแก่ผู้นั้น ทันใดนั้นพูดออกมาว่า “อัปลักษณ์จัง”