มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 184 เจ้าล่าเยวี่ยที่อยู่ในสภาพผมสั้น (1)
อินซานนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะหลุดยิ้มออกมาแล้วกล่าวว่า “เขาหมายความเช่นนี้ หรือว่าขี้เกียจจะสนใจเจ้า? อีกอย่าง เจ้ารู้หรือว่าข้าเป็นใคร?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ข้าเดาเอา”
นางเฉลียวฉลาดถึงเพียงนี้ หลังตกตะลึงอยู่ครู่ก็รีบรักษาใจแห่งเต๋า ไม่นานก็เข้าใกล้ความจริง
อินซานกล่าวว่า “มิเสียทีที่เป็นคนที่ชอบกินหม้อไฟ เช่นนั้นทำไมตอนที่อยู่เมืองอวิ๋นจี๋ ผักที่อยู่ในหม้อถูกต้มจนจะเปื่อยแล้ว เจ้าก็ยังไม่ยอมให้ข้าได้กินสักคำ?”
นี่เท่ากับว่าเขายอมรับแล้วว่าตัวเองเป็นใคร
ทั้งๆ ที่คาดเดาได้แล้วว่าเขาเป็นใคร อีกทั้งยังได้รับการยืนยันแล้ว แต่เจ้าล่าเยวี่ยก็ยังนิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่
แม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่นางไม่มีทางลืมชื่อนั้น
อินซาน
หรือก็คือนักพรตไท่ผิง
“หากคิดตามช่วงเวลาที่เข้าสำนัก ข้าควรจะเรียนท่านว่าปรมาจารย์ ตอนนี้ควรจะเรียกท่านว่าอาจารย์ลุง…”
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูสมณะหนุ่มที่นั่งพิงอยู่บนกิ่งไม้ นิ่งเงียบอยู่ครู่ก่อนจะกล่าวว่า “วันนี้คงจะต้องทำเรื่องที่ผิดทำนองคลองธรรมเสียแล้ว”
“ไม่เป็นไร เพราะอย่างไรเสียพวกเจ้าก็ทำเรื่องแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว”
อินซานยิ้มเล็กน้อยกล่าวว่า “เพียงแต่เจ้าแน่ใจหรือว่าจะสามารถรั้งข้าเอาไว้ได้? เจ้าถ่วงเวลานานขนาดนี้ ฮ่องเต้น้อยก็ยังไม่มา เจ้าไม่คิดว่ามันแปลกหรือ?”
นับตั้งแต่ที่จิ๋งจิ่วโยนนางไปยังทางตำหนักเฉิงฮว๋า จนกระทั่งปรมาจารย์สำนักเสวียนอินฟาดฝ่ามือลงมือ ฮ่องเต้พลันปรากฏตัวขึ้น จัวหรูซุ่ยเงยหน้า กระบี่เล่มหนึ่งมาจากชิงซาน.…เกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย แต่ความจริงแล้วใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ
เจ้าล่าเยวี่ยไม่รู้ว่าฮ่องเต้เสด็จมายังวัดกั่วเฉิง แต่นางเชื่อว่าจิ๋งจิ่วจะต้องมีแผนการแอบซ่อนเอาไว้แน่ ในเวลานี้ถูกอินซานมองออก สีหน้าจึงอดเปลี่ยนแปลงขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้
หรือว่าจิ๋งจิ่วจะเกิดเรื่อง?
เมื่อมองดูอินซานที่อยู่บนต้นไม้ นางเกิดความรู้สึกไร้หนทางขึ้นมา จากนั้นก็กลายเป็นความรู้สึกเสียใจอย่างรุนแรง
เมื่อหลายปีก่อนตนเองไม่ควรฟังจิ๋งจิ่วเลย บรรลุสภาวะไปเสียก็สิ้นเรื่อง อย่างน้อยในเวลานี้ก็คงจะไล่ตามอีกฝ่ายทัน
หลังจากนี้ควรทำอย่างไร? ตัวเองสู้ไม่ได้ แล้วก็ตามปรมาจารย์ไม่ทัน หรือว่าจะยอมแพ้ กลับไปวัดกั่วเฉิงดูว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นกลับไปเก็บตัวที่ยอดเขาเสินม่อ บรรลุสภาวะคเนจรระดับกลางก่อนแล้วค่อยว่ากัน?
……
……
ในสงบจิ้งหยวนได้กลายเป็นซากปรักหักพัง มีเพียงเจดีย์องค์เล็กที่ยังอยู่ในสภาพเดิมไม่มีอะไรเสียหาย จัวหรูซุ่ยที่สลบไสลเป็นเหมือนหมีมือสั้นๆ กอดเจดีย์เอาไว้แน่น นอนหลับอย่างสบาย
สมณะต้าฉางนั่งรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ตรงมุมหนึ่งของซากปรักหักพัง สมณะตู้ไห่คารวะฮ่องเต้
ฮ่องเต้พยักหน้าทักทาย จากนั้นเริ่มหลับตาปรับลมปราณ การปะทะฝ่ามือกับปรมาจารย์สำนักเสวียนอินทำให้เขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเหมือนกัน
สมณะตู้ไห่เดินมาตรงหน้าจิ๋งจิ่ว กล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “คิดไม่ถึงว่ามารชั่วสองคนนั้นจะแอบอยู่ในวัดมานานขนาดนี้ ช่างน่าขายหน้าจริงๆ”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ก่อนหน้านี้ข้าก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเขา”
ในอดีตอินซานเคยเป็นเจ้าอาวาสวัดกั่วเฉิงมาหลายปี หากเขาต้องการแอบซ่อนตัวอยู่ที่นี่ย่อมยากจะถูกคนพบเห็นได้ ดังนั้นจิ๋งจิ่วจึงมิได้กล่าวโทษอะไรสมณะตู้ไห่ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าคนที่ตามอินซานมาแอบซ่อนตัวอยู่ในวัดกั่วเฉิงจะเป็นปรมาจารย์สำนักเสวียนอิน หากมิเป็นเพราะสมณะตู้ไห่เตือนล่วงหน้า เขาเองก็ยากจะที่หาตำแหน่งของปรมาจารย์สำนักเสวียนอินที่อยู่ในกลุ่มสมณะที่กำลังทำพิธีอยู่ด้านนอกสงบจิ้งหยวนได้
สมณะตู้ไห่สีหน้าคร่ำเคร่ง กล่าวว่า “ผู้นั้นล่ะ?”
จิ๋งจิ่วมองไปทางฮ่องเต้ที่กำลังปรับลมปราณ ในใจคิดว่าขอเพียงศิษย์พี่ถูกล่าเยวี่ยถ่วงเวลาเอาไว้ วันนี้เขาก็น่าจะไม่รอด
เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาของเขา ฮ่องเต้ก็ลืมตาขึ้นมา พยักหน้าเพื่อบอกว่าตนเองไม่เป็นอะไร ก่อนจะเตรียมออกไปจากวัดกั่วเฉิง
สมณะตู้ไห่รู้ว่าฮ่องเต้จะตามไปฆ่านักพรตไท่ผิง จึงกล่าวอย่างลังเลเล็กน้อย “เจ้าอาวาสกับผู้อาวุโสแห่งตำหนักแสงธรรมกำลังออกมาจากการเก็บตัว ขอฝ่าบาททรงรอประเดี๋ยวพ่ะย่ะค่ะ”
ฟังดูแล้วความคิดของเขาก็ไม่ถือว่าผิดเช่นกัน เพราะคนผู้นั้นคือคนที่น่ากลัวที่สุดในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตในช่วงเวลาหนึ่งพันปีที่ผ่านมา ต่อให้ตอนนี้สภาวะของเขายังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่การจะให้ฮ่องเต้เสด็จไปเพียงคนเดียวก็ยังไม่ค่อยปลอดภัยสักเท่าไร
แต่ฮ่องเต้กลับมิสนใจ เท้าทั้งสองข้างลอยห่างจากพื้น ปีกเพลิงอันร้อนแรงพุ่งออกมา ก่อนจะลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า เตรียมจะบินออกไป
สมณะตู้ไห่ถอนใจออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง รู้ว่าถึงเวลาแล้ว
ฮ่องเต้บินขึ้นไปบนท้องฟ้า เปลวเพลิงสีทองที่อยู่ใต้ดวงตาลุกโชนขึ้นมา ก้มมองดูพื้นดิน กวาดตามองตามร่องรอยที่กระบี่มิคำนึงทิ้งเอาไว้ ทอดตามองออกไปไกล
เขาเชื่อในการวิเคราะห์และสายตาของจิ๋งจิ่ว ต่อให้นักพรตไท่ผิงจะร้ายกาจแค่ไหนก็ไม่มีทางที่จะสลัดเจ้าล่าเยวี่ยหลุดในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ได้
ทันใดนั้นภายในใจเขาพลันเกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา จึงหมุนตัวกลับไปมองทางวัดกั่วเฉิงทันที
ภายในวัดกั่วเฉิงเงียบสงัด
พูดให้ถูกคือภายในสวนจิ้งหยวนเงียบสงัด
สมณะที่มาดับไฟยังไม่สามารถเข้าไปใกล้ตำหนักเหล่านั้นได้
ไม่มีใครไปแจ้งผู้อาวุโสแห่งตำหนักแสดงธรรมเลย เชื่อว่าทางเจ้าอาวาสเองก็คงไม่มีใครไปแจ้งเช่นนี้เหมือนกัน
สมณะตู้ไห่มองจิ๋งจิ่วอย่างเงียบๆ
จิ๋งจิ่วมองเขาอย่างเงียบๆ
ทั้งสองสบตากันอยู่ครู่
จิ่งจิ่วเข้าใจแล้ว ที่แท้สมณะตู้ไห่ต่างหากที่เป็นคนที่ศิษย์พี่เลือกผู้นั้น
ตัวเลือกนี้ดีเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ
สมณะตู้ไห่อาศัยอยู่ในวัดกั่วเฉิงมาตั้งแต่เด็ก ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่เกิดเรื่องขึ้นในสวนจิ้งหยวนเมื่อในอดีต เขายังเป็นแค่เณรตัวน้อยๆ มิได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับสมณะเหล่านั้นในเวลานั้น
หลายปีมานี้เขาเป็นตัวแทนวัดกั่วเฉิงเดินทางไปทั่วทั้งแผ่นดิน ในเมืองเจาเกอ ชิงซาน เขาอวิ๋นเมิ่งล้วนแต่สามารถพบเห็นเขาได้ แต่สถานที่ที่เขาปรากฏตัวมากที่สุดก็คือเมืองไป๋เฉิง ติดตามเทพดาบออกไปต่อสู้ในที่ราบหิมะเป็นเวลาหลายปี ถึงขนาดทำให้การบำเพ็ญเพียรของตนล่าช้า บารมีสูงส่ง
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นคนที่ฉานจึเชื่อใจมากที่สุด
ใครจะไปคิดบ้างว่าการที่สมณะตู้ไห่ช่วยชี้ตำแหน่งของปรมาจารย์สำนักเสวียนอินให้แก่เขา ก็เพื่อจะใช้ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินเป็นเหยื่อล่อ ล่อให้จิ๋งจิ่วเผยไพ่ตายสองใบสุดท้ายออกมา — ฮ่องเต้และข่ายพลังกระบี่ชิงซาน
ขณะเดียวกัน สมณะตู้ไห่ยังได้รับความเชื่อใจจากเขา มายืนอยู่ตรงหน้าเขา เตรียมพร้อมที่จะโจมตีครั้งสุดท้าย
ฝ่ามือพุทธิปัญญา
เมื่อได้กลิ่นไม้จันทน์จางๆ จากในเศษซากปรักหักพัง จิ๋งจิ่วก็รู้ว่าสมณะตู้ไห่เตรียมจะใช้วิธีสละชีพ
ถูกต้อง นอกจากสุดยอดอิทธิฤทธิ์ของสำนักฌานอย่างวิธีสละชีพเช่นนี้แล้ว ก็แทบจะไม่มีวิชาไหนที่สามารถสังหารจิ๋งจิ่วให้ตายได้
ต่อให้เป็นปรมาจารย์สำนักเสวียนอินก็ยากที่จะสังหารเขาตายได้ในการโจมตีเพียงครั้งเดียว
ตัวจิ๋งจิ่วทราบในจุดนี้ดี
ตอนนี้ดูเหมือนว่าอินซานเองก็รู้ดีเช่นกัน
สายตาของสมณะตู่ไห่เยือกเย็น
เขาไม่กังวลว่าจิ๋งจิ่วจะใช้วิชาการเคลื่อนไหวที่แปลกประหลาดนั้นหนีไป เพราะทันทีที่ฝ่ามือพุทธิปัญญาถูกใช้ออกมา ใต้หล้าก็จะอยู่ในกำมือ
ไม่ว่าเจ้าจะหนีไปที่ใดก็ไม่มีทางหนีฝ่ามือนี้ได้
จิ๋งจิ่วเองก็เยือกเย็น เพราะเขารู้ว่าตัวเองหนีไม่พ้น อย่างนั้นในเวลานี้ต่อให้แหกปากร้องหรือว่าเผยสีหน้าที่ดูหวาดกลัวออกมามันก็ไม่มีประโยชน์
สองมือของสมณะตู้ไห่ประกบกัน คล้ายกำลังคารวะเขาอยู่
ฟ้าดินบรรจบ
ในช่วงเวลาสุดท้ายนี้ จิ๋งจิ่วได้ทิ้งกระบี่คมจักรวาลแล้วยกมือขวาของตัวเองขึ้นมา
นั่นคือคมกระบี่ของเขา
เขาอยากจะลองดูว่าด้วยพลังของตัวเอง จะสามารถทำลายฟ้าดินที่บรรจบกันนี้ได้หรือไม่
ในเวลานี้เอง มือซ้ายของเขาพลันสั่นขึ้นมา
จิตเซียนที่ถูกเขาทำลายจนเหลือเพียงน้อยนิดคล้ายรับรู้ได้ถึงช่วงเวลาวิกฤติของเขาในเวลานี้ เริ่มพยายามจะหนีออกมาด้านนอกให้ได้!
……