มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 186 ลำแสงกระบี่และเงานกร่วมฉลองปีใหม่ (2)
ไม่รู้ว่าขลุ่ยกระดูกนั้นทำขึ้นมาจากอะไร แล้วก็ถูกอินซานใช้วิธีอะไรหลอมมันขึ้นมา มันถึงได้สามารถต่อสู้ได้เหมือนอย่างกระบี่บิน ยิ่งไปกว่านั้นยังแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก กระบี่มิคำนึงฟันลงไปสิบกว่าครั้งก็ยังไม่สามารถฟันเข้า กลับกลายเป็นนางที่ถูกเจตน์กระบี่ที่ลอยออกมาจากในขลุ่ยกระบี่โจมตีจนได้รับบาดเจ็บ
อินซานลอยอยู่ตรงหน้าด้านหน้าหน้าผา เสื้อผ้าพลิ้วไหวราวกับเซียน ดูพิสดารยากคาดคะเนเหมือนกับเจตน์กระบี่ที่ ‘ลอย’ ออกมาจากในขลุ่ยกระบี่ก่อนหน้านี้
“ว่ากันว่าพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรของเจ้านั้นยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่เลวอย่างที่ว่าจริงๆ เหนือกว่าหนานว่าง เสียดายที่อาจารย์ของเจ้าคนนั้นมันขี้เกียจเกินไป ไม่ได้ตั้งใจสอนเจ้า เพลงกระบี่ที่เจ้าเรียนรู้ก็น้อยเกินไป ดังนั้นในตอนที่ควบคุมกระบี่ออกไปสู้กับศัตรูมันถึงได้ดูเรียบง่าย เรียบง่ายก็หมายความว่าน่าเบื่อ”
เจ้าล่าเยวี่ยเป็นเมล็ดพันธ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด เป็นอัจฉริยะทางวิถีกระบี่ นางใช้เวลายี่สิบกว่าปีฝึกเพลงกระบี่เก้ามรณาจนสำเร็จอย่างยากลำบาก แต่กลับถูกเขาวิจารณ์ว่าน่าเบื่อ
แต่เมื่อคิดถึงสถานะของเขา แล้วก็ยังมีบาดแผลที่มองไม่เห็นตรงหัวไหล่ของเจ้าล่าเยวี่ย ก็ต้องยอมรับเลยว่าเขามีสิทธิ์ที่จะวิจารณ์เช่นนี้
จิ๋งจิ่วถ่ายทอดเคล็ดกระบี่เก้ามรณาให้แก่เจ้าล่าเยวี่ย ถ่ายทอดเพลงกระบี่แบกสวรรค์ให้กู้ชิง ถ่ายทอดเพลงกระบี่เจ็ดดอกเหมยให้หยวนฉวี่ ต่างคนต่างได้เรียนคนละหนึ่งเพลงกระบี่ ไม่มีการสอนเพลงกระบี่อื่นให้พวกเขา
คำพูดของอินซานย่อมต้องเป็นการปฏิเสธความคิดของจิ๋งจิ่ว
เจ้าล่าเยวี่ยย่อมต้องไม่เห็นด้วย นางกล่าวว่า “กินเยอะย่อยไม่ไหว”
“จริงอยู่ที่เพลงกระบี่บางเพลงของยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานในเวลานี้อาจจะแย่ลงไปบ้าง แต่มันก็ยังน่าเรียนอยู่ เจ้าควรจะไปดูในยอดเขาซ่อนเร้นว่ามีเพลงกระบี่เก่าๆ ที่เหมาะสมกับตัวเองหรือเปล่า แล้วก็ในใต้หล้าก็มีเพลงกระบี่ของบางที่ที่ไม่เลวเหมือนกัน อย่างเช่นสำนักอู๋เอินเหมิน”
อินซานกล่าวว่า “มีแต่ต้องเรียนรู้เพลงกระบี่นับหมื่นพัน เจ้าถึงจะเข้าใจหลักการสรรพสิ่งล้วนคือกระบี่ได้”
เจ้าล่าเยวี่ยคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง กล่าวว่า “สรรพสิ่งล้วนคือกระบี่? สรรพสิ่งรวมเป็นหนึ่งกระบี่?”
อินซานถอนหายใจ “ชิงซานนับวันจะแย่ลงจริงๆ ด้วย เขียนเอาไว้โต้งๆ ในหน้าแรกของคัมภีร์กระบี่ ทำไมถึงได้จำกันไม่ได้นะ?”
เจ้าล่าเยวี่ยคารวะพลางกล่าว “ขอบคุณปรมาจารย์ที่ช่วยชี้แนะ”
อินซานโบกมือพลางกล่าวว่า “ไม่ต้องมากพิธี เพราะอย่างไรวันนี้เจ้าก็ต้องตายอยู่ที่นี่”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ข้าว่ามันก็ไม่แน่”
พอกล่าวจบ นางก็เปิดฉากโจมตีอีกครั้ง
ก็เหมือนอย่างที่อินซานได้กล่าวเอาไว้ สภาวะมิได้ตัดสินทุกสิ่ง
นางเพิ่งจะฝึกกระบี่มาได้แค่สามสิบกว่าปี แต่อินซานเดินอยู่บนวิถีกระบี่มาเป็นพันปีแล้ว จะเทียบกันได้อย่างไร?
ในชั่วเวลาเพียงพริบตา บนร่างกายนางก็มีแผลที่มองไม่เห็นปรากฏขึ้นมาอีกสองแผล
แต่นางยังคงสงบนิ่ง
แต่อินซานกลับรู้สึกแปลก
การโจมตีของเจ้าล่าเยวี่ยครั้งนี้แตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด กระบี่ยิ่งเกรี้ยวกราด แต่เจตน์กระบี่กลับสูญเสียความว่องไว
ด้วยพรสวรรค์ทางวิถีกระบี่ของนาง มันไม่ควรจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
นั่นก็แสดงให้เห็นว่านี่เป็นสิ่งที่นางจงใจทำ
กระบี่ยิ่งเกรี้ยวกราด เสียงกระบี่ก็ยิ่งดัง
นางอยากจะส่งสัญญาณให้ใคร?
อินซานเลิกคิ้ว หากที่นี่ยังอยู่ใกล้ๆ วัดกั่วเฉิง หรือว่าอยู่ใกล้ๆ สำนักบำเพ็ญพรตสำนักไหน บางทีอาจจะมีผู้บำเพ็ญพรตได้ยินเสียงกระบี่ของนาง
แต่ปัญหาคือที่นี่เป็นภูเขารกร้าง เป็นป่าทึบ แล้วยังจะมีใครอื่นอีก?
แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยเชื่อเรื่องราวที่ว่าเจอของวิเศษในที่รกร้าง เจอมนุษย์วานรในป่าทึบ หรือเจอเซียนตอนกำลังจะตาย
หวังเสี่ยวหมิงซึ่งเป็นประมุขนิกายเสวียนอินในเวลานี้เคยพบเจอเรื่องราวต่างๆ มากมาย แต่นั่นล้วนแต่เป็นสิ่งที่เขาจัดเตรียมเอาไว้
ความเกรี้ยวกราดของกระบี่ของเจ้าล่าเยวี่ยพลันแปรเปลี่ยน ฟาดฟันเข้าใส่อินซานราวพายุที่คลุ้มคลั่ง
อินซานไม่คิดถึงเรื่องเหล่านี้อีก หากแต่รับมืออย่างเยือกเย็น
ในป่าที่อยู่ด้านล่างหน้าผาพลันมีฝุ่นควันฟุ้งกระจายขึ้นมา คล้ายมีคนกำลังพุ่งตรงเข้ามาด้วยความเร็วสูง
เสียงตูมดังสนั่น ป่าทึบถูกพลังบดขยี้จนกลายเป็นที่ราบรัศมีหลายสิบจ้าง
คนผู้หนึ่งขี่กระบี่พุ่งขึ้นมา เส้นลำแสงสีเงินวาดผ่านหน้าผา รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง อย่างน้อยก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ขั้นคเนจร
สิ่งที่ทำให้คนรู้สึกแปลกใจก็คือวิชาที่คนผู้นั้นใช้ออกมากลับมิใช่เพลงกระบี่ หากแต่เป็นเพลงหมัดที่มาพร้อมกับควันสีดำที่ลุกไหม้ไม่หยุด!
เสียงตู้มดังสนั่น!
หมัดที่น่ากลัวต่อยตรงเข้ามา
อินซานถอยไปจนถึงหน้าผา กระแทกหน้าผาจนเศษหินจำนวนนับไม่ถ้วนร่วงตกลงไปด้านล้าง บนเสื้อผ้ามีรอยไหม้ปรากฏขึ้นมา เขาตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “น่าสนใจ”
คนที่มาผู้นั้นยืนอยู่บนกระบี่เล่มเล็กสีเงิน ขนาดตัวของเขาและกระบี่ดูแตกต่างกันเป็นอย่างมาก ค่อนข้างน่าสนใจจริงๆ อย่างที่ว่า
แต่ที่อินซานรู้สึกน่าสนใจกลับมิได้เป็นเพราะเหตุนี้ หากแต่เป็นเพราะเขาจำคนผู้นี้กับกระบี่เล่มนี้ได้
หลิ่วสือซุ่ยกับกระบี่ไร้อัตตา
“ตอนที่ผ่านสวนผักข้าก็แจ้งเจ้าแล้ว ทำไมถึงมาช้าขนาดนี้?”
เจ้าล่าเยวี่ยมองเขาพลางถาม ในใจครุ่นคิดว่าจะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน
หลิ่วสือซุ่ยสังเกตเห็นการหายใจของนางมีปัญหาเล็กน้อย จึงบินไปข้างกายนางพร้อมกล่าวว่า “กระบี่นี่ไม่ค่อยยอมฟัง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
จากสวนผักมาถึงที่นี่ เขาใช้เวลาไปมากกว่าที่คิดเอาไว้ หากมิได้เป็นเพราะไล่ตามร่องรอยที่กระบี่มิคำนึงทิ้งเอาไว้ เกรงว่าคงจะคลาดกันไปนานแล้ว เดิมความเร็วของกระบี่ไร้อัตตาก็มิอาจเทียบกระบี่มิคำนึงได้อยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นไม่รู้ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น กระบี่เงินเล่มเล็กเล่มนี้จึงดูค่อนข้างหวาดกลัว ถึงขนาดจงใจจะหนีไปอย่างไรอย่างนั้น
เจ้าล่าเยวี่ยเองก็รู้ว่าวันนี้กระบี่มิคำนึงดูแปลกๆ แม้ตัวเองจะมิได้สะกดพลังมันเอาไว้ แต่มันก็ยังเหมือนปลดปล่อยพลังออกมาไม่ได้
“ภรรยาคนแรกย่อมต้องรักมากที่สุด”
อินซานกล่าวอย่างเฉยชา “กระบี่สองเล่มนี้เป็นกระบี่ที่ข้าทิ้งเอาไว้ให้เขาเมื่อครั้งนั้น พวกมันย่อมต้องจำข้าได้”
ในเวลานี้หลิ่วสือซุ่ยถึงได้มองเห็นหน้าเขาชัดเจน จึงตกใจเป็นอย่างมาก กล่าวตะโกนว่า “ผู้อาวุโส! ทำไมถึงเป็นท่าน?”
สายตาเจ้าล่าเยวี่ยเย็นยะเยือกเล็กน้อย กล่าวถามว่า “เจ้ารู้จักเขา?”
หลิ่วสือซุ่ยรู้สึกสับสน กล่าวว่า “ใช่”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวว่า “ไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนั้น ฆ่าก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
หลิ่วสือซุ่ยมองดูรอยเลือดบนร่างกายนาง กล่าวถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูอินซาน คอยระวังไม่ให้เขาหนีไป พลางกล่าวว่า “เขาจะฆ่าจิ๋งจิ่ว”
หลิ่วสือซุ่ยรู้ว่าวัดกั่วเฉิงเกิดเรื่อง เพียงแต่ความเชื่อมั่นอย่างลึกซึ้งในตัวจิ๋งจิ่วทำให้เขาเชื่อฟังที่จิ๋งจิ่วสั่ง จึงมิได้เข้าไปในวัด เมื่อได้ยินเจ้าล่าเยวี่ยกล่าวเช่นนี้ เขาจึงรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา กล่าวถามว่า “คุณชายไม่เป็นไรใช่ไหม?”
เจ้าล่าเยวี่ยมิได้กล่าวกระไร
หลิ่วสือซุ่ยนิ่งเงียบไปครู่ มองไปทางอินซานแล้วกล่าวถามว่า “ผู้อาวุโส ท่านเป็นใครกันแน่?”
……
……
การไล่สังหารเริ่มขึ้นอีกครั้ง
เพียงแต่ครั้งนี้กลายเป็นเจ้าล่าเยวี่ยกับหลิ่วสือซุ่ยไล่สังหารอินซาน
แน่นอนว่าก่อนหน้านั้นยังมีบทสนา ความคิดในใจและภาพเหตุการณ์บางอย่างที่ควรค่าแก่การบรรยาย แต่กลับมิจำเป็นต้องบรรยายออกมาเพราะต่างก็รู้กันอยู่แล้วว่ามันจะเป็นแบบไหน
อย่างเช่นหลังจากหลิ่วสือซุ่ยรู้ว่าสมณะหนุ่มผู้นั้นคือนักพรตไท่ผิงซึ่งเป็นปรมาจารย์ของตัวเอง เขาก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง กว้างพอที่จะกลืนกำปั้นของเสี่ยวเหอลงไปได้
อย่างเช่นอินซานรู้สึกทอดถอนใจ นี่พวกเจ้าเอากระบี่ไร้อัตตากับกระบี่มิคำนึงซึ่งเป็นยอดกระบี่ของชิงซานมาไล่สังหารตัวเองซึ่งเป็นปรมาจารย์ของชิงซานอย่างนั้นหรือ
หรืออย่างเช่นในตอนที่เจ้าล่าเยวี่ยถามหลิ่วสือซุ่ยว่าจะเลือกอย่างไร หลิ่วสือซุ่นยังคงครุ่นคิดอยู่ครู่
เขามิได้ครุ่นคิดว่าควรจะเลือกฝั่งไหน หากแต่ครุ่นคิดว่าควรจะเกลี้ยกล่อมปรมาจารย์ให้ฟังคุณชายอย่างไรดี
ลำแสงกระบี่สีแดงและสีเงินไล่ตามนกสีเทาที่กางปีกโบยบินอยู่บนท้องฟ้า หนีออกจากภูเขามาถึงทุ่งกว้าง
ทุ่งกว้างที่อยู่ด้านล่างเริ่มมีหิมะจับตัว ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง จากนั้นก็ไม่สามารถมองเห็นได้อีก
ในที่สุดท้องฟ้ายามค่ำคืนก็มาถึง บนทุ่งกว้างมีดอกไม้ไฟลอยขึ้นมาเป็นระยะ ดูสวยงามเป็นอย่างมาก
ดอกไม้ไฟส่องสว่างหนทางเบื้องหน้า
นกบินผ่าน ลำแสงกระบี่บินตามไป
เมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง นกและลำแสงกระบี่ก็หยุดพักอยู่ตรงวัดเก่าตรงปากทางเข้าหมู่บ้าน หรือไม่ก็ข้างสุสานบนภูเขา
นั่นคือช่วงเวลาที่อันตรายอย่างแท้จริง
จากนั้นนกก็จะบินหนีออกไป
ลำแสงกระบี่ไล่ตามอีกครั้ง
ในระหว่างที่ไล่ตามกันเช่นนี้ ท้องฟ้ายิ่งมืดขึ้นทุกขณะ แต่ดอกไม้ไฟกลับไม่มีทีท่าว่าจะลดน้อยลง
ทันใดนั้นเอง ทั่วทั้งโลกต่างเริ่มมีเสียงประทัดดังสนั่นขึ้นมาจนท้องฟ้ายามค่ำคืนยังสั่นสะเทือนตามไปด้วย
ปีใหม่มาถึงแล้ว