มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 188 ความจริงในตอนนั้น (1)
“เขาจะตายไหม?” ฮ่องเต้เซียวมองดูสีหน้าเขา รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
“หากเขาตายง่ายขนาดนั้น ตอนนั้นข้าคงจะฆ่าเขาไปแล้ว” อินซานกล่าว
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินหลับตา ไม่รู้ว่าสลบไปจริงๆ หรือว่าตื่นขึ้นมาแล้วแต่ไม่กล้าลืมตา
อินซานเองก็ไม่ใส่ใจ กล่าวต่อว่า “เรื่องในครั้งนี้ถือเป็นบทเรียนให้แก่เขา หวังว่าเขาจะเข้าใจได้”
ฮ่องเต้เซียวยิ้มเล็กน้อยกล่าวว่า “น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะเขาไม่อยากตาย ก็เหมือนข้าที่ไม่อยากตายเช่นกัน”
อินซานกล่าว “ในบรรดาศัตรูที่แท้จริงของชิงซาน ตอนนี้ก็มีพวกเจ้าสามคนนี่แหละที่ยังมีชีวิตอยู่ ควรจะรู้จักประมาณตน”
ฮ่องเต้เซียวมองดูใบหน้าด้านข้างของเขา กล่าวอย่างจริงจังว่า “ข้าไม่อยากอยู่ในกระดองเต่าไปชั่วชีวิต”
อินซานกล่าว “ข้าจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ให้เร็วที่สุด”
ฮ่องเต้เซียวกล่าวถามว่า “อย่างนั้นจิ๋งจิ่วล่ะ? เขาจะตายไหม?”
อินซานกล่าว “ข้ามองไม่ออกว่าครั้งนี้เขาจะรอดไปได้อย่างไร”
ฮ่องเต้เซียวรู้สึกโล่งใจ กล่าวว่า “ตายไปซะก็ดี ตายไปซะก็ดี หากพวกท่านสองคนศิษย์พี่ศิษย์น้องยังมีชีวิตอยู่ แล้วคนอื่นจะอยู่กันอย่างไร?”
อินซานมองเขา กล่าวว่า “คนที่อยู่บนเกาะหมอกกับคนที่อยู่ในถังไม้นั้นกลัวพวกข้าก็ว่าไปอย่าง แต่เจ้ากับข้ารู้จักกันมานานหลายปี หรือเจ้ายังกลัวว่าข้าจะหักหลังเจ้าอีก?”
“มันไม่ใช่เรื่องหักหลังหรือไม่หักหลัง แต่นักพรตสองคนพลังวิเศษเทียมสวรรค์ พลังคำนวณไร้ขอบเขต สู้กันไปสู้กันมาก็มักจะเสมอกัน แต่คนที่อยู่รอบด้านกลับต้องตายกันไปมากมาย”
ฮ่องเต้เซียวยิ้มพลางกล่าวว่า “ข้าคิดว่าสำนักจงโจวน่าจะเข้าใจเรื่องนี้ดีที่สุด”
เหตุการณ์ความวุ่นวายของคุกสะกดมาร จุดเริ่มต้นนั้นมาจากการที่อินซานอยากจะฆ่าจิ๋งจิ่ว ถึงส่งจดหมายไปข้างในฉบับหนึ่ง
ยิ่งไปกว่านั้นทั้งเขาและจิ๋งจิ่วต่างก็อยากให้จักรพรรดิแห่งหมิงได้รับการปลดปล่อย
แต่ผลสุดท้ายกลับทำให้คุกสะกดมารพังพินาศ
ชางหลงตายไป
เหตุการณ์ความวุ่นวายในวัดกั่วเฉิงครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ฉีหลินถูกเล่นงาน คนที่ได้รับความเสียหายหนักที่สุดก็คือสำนักจงโจว
“พวกสมองกลวงที่มีแต่พลังอย่างฉีหลินไม่มีทางฆ่าจิ๋งจิ่วได้ และบทบาทของมันในแผนการนี้ก็ช่างดีเสียเหลือเกิน”
อินซานหมุนตัวเดินออกไปนอกห้อง
ฮ่องเต้เซียวเดินตามออกมา กล่าวถามว่า “ดีจนถ้าไม่ทำอะไรมันเสียหน่อยจะรู้สึกเสียดาย?”
อินซานกล่าว “ถูกต้อง”
ฮ่องเต้เซียวมิได้กล่าวกระไรอีก เพียงแค่รู้สึกทอดถอนใจเล็กน้อย
ไม่ว่าจะห้ำหั่นกันรุนแรงแค่ไหน แต่ถ้าหากมีคนนอกสอดมือเข้ามายุ่ง พวกเขาก็มุ่งเป้าไปหาคนนอกทันที
พวกเขามิได้จงใจร่วมมือกัน มันเป็นเพียงความรู้ใจที่ก่อตัวมาเป็นเวลาพันปี หรือเรียกได้อีกอย่างว่าเป็นสัญชาติญาณ
ศิษย์พี่ศิษย์น้องแบบนี้ ยังมีใครไม่กลัวล่ะ?
……
……
อินซานเดินออกไปนอกห้อง มองดูเพดานกระดองเต่าที่เป็นช่องๆ และดูคล้ายท้องฟ้าอึมครึม จากนั้นเดินไปนั่งลงริมสระน้ำ วักน้ำขึ้นมาสาดใบหน้าของตนเอง
ความกังวลใจของฮ่องเต้เซียวก่อนหน้านี้ ความจริงแล้วเป็นสิ่งที่รู้กันดีในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตในช่วงเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา
ในความทรงจำของโลกแห่งการบำเพ็ญพรตในปัจจุบัน นักพรตจิ่งหยางมักจะเก็บตัว น้อยครั้งที่ออกมาสู่โลกภายนอก แต่ผู้ที่อาวุโสขึ้นไปกว่านั้นจะรู้ว่าเขาเคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องใหญ่อย่างน้อยสองสามเรื่อง
ในบรรดาเรื่องราวใหญ่โตเหล่านั้น เขากับนักพรตไท่ผิงได้ทำให้หลายๆ คนต้องรู้สึกทุกข์ใจจนพูดไม่ออก อย่างเช่นทำลายศูนย์กลางของสำนักเสวียนอิน อย่างเช่นผู้อาวุโสและเหล่าศิษย์ร่วมสำนักที่ถูกขังอยู่ในคุกกระบี่หรือไม่ก็ตายอยู่ในยอดเขาซ่อนเร้น
สำหรับฮ่องเต้เซียวแล้ว การที่ศิษย์พี่ศิษย์น้องคู่นี้กลับมาบนโลกใหม่อีกครั้ง ไม่รู้ว่าบนโลกแห่งการบำเพ็ญพรตจะเกิดความวุ่นวายอีกมากน้อยเท่าไร ก็เหมือนอย่างคุกสะกดมารและเหตุการณ์ในวัดกั่วเฉิงวันนี้
อินซานย่อมต้องการฆ่าจิ๋งจิ่ว เพียงแต่ทุกสรรพสิ่งบนโลกล้วนแต่มีลำดับของมันอยู่
จิ๋งจิ่วมิใช่จิ่งหยาง แต่ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งในชิงซาน และชิงซานคือของเขา
อินซานมองดูใบหน้าที่ยังคงอ่อนเยาว์บนผิวน้ำ ได้กลิ่นเหม็นเน่าจางๆ ที่ลอยออกมาจากในร่างกาย นิ่งเงียบเป็นเวลานาน
เหตุใดจิ๋งจิ่วถึงไม่เจอปัญหาแบบตน หรือว่าวิถีของเขาต่างหากถึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง?
ไม่ หากทำแบบนั้นจริงๆ อย่างนั้นข้าจะกลายเป็นใครล่ะ?
……
……
จิ๋งจิ่วและอินซานเชี่ยวชาญในการวางแผน ส่วนเจ้าล่าเยวี่ยและหลิ่วสือซุ่ยนั้นไม่รู้ว่าความสามารถในการคิดคำนวณเป็นอย่างไร แต่ในเรื่องการตัดสินใจนั้นมิได้ด้อยไปกว่าพวกเขาเลย
เมื่อวิเคราะห์ได้ว่าอินซานน่าจะถูกผู้หลบหนีกระบี่ที่เล่าลือกันผู้นั้นช่วยเอาไว้ พวกเขาที่เสี่ยงชีวิตไล่สังหารอินซานมาสามวันสามคืนก็ออกมาจากเมืองเล็กๆ ข้างๆ ต้าเจ๋ออย่างไม่ลังเล รีบกลับมายังวัดกั่วเฉิงด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด
พวกเขาจะเอาข่าวล่าสุดกลับไปแจ้ง และที่สำคัญกว่านั้นก็คือพวกเขาเป็นห่วงว่าจิ๋งจิ่วตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
สวนจิ้งหยวนพังพินาศ ไม่มีคนพักอาศัย จิ๋งจิ่วถูกจัดให้ไปพักอยู่ที่ห้องฌานไป๋ซาน
ผู้อาวุโสแห่งตำหนักแสดงธรรมออกมาจากการเก็บตัว เขาพาสมณะสามร้อยรูปกางข่ายพลังอวตังสกสูตร ต่อให้ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินและฉีหลินกลับมาโจมตีใหม่อีกครั้งก็ไม่สามารถเข้ามาได้
สมณะตู้ไห่นั่งขัดสมาธิอยู่ในมุมหนึ่ง บนร่างกายถูกล่ามไว้ด้วยเหล็กทะเลลึก ไม่สามารถใช้พลังฌานได้แม้แต่นิดเดียว เขาหลับตา สีหน้าดูสงบนิ่ง
ฮ่องเต้ยืนหลับตาอยู่หน้าพระพุทธรูป ไม่รู้ว่ากำลังภาวนาหรือว่าปรับลมปราณ
เพื่อจะสะกดอาการบาดเจ็บของจิ๋งจิ่วเอาไว้ เขาได้เสียปราณก่อกำเนิดไปเป็นจำนวนมาก น่าจะค่อนข้างเหนื่อยล้า
จิ๋งจิ่วนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าขาวซีดราวกระดาษ ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท ขนตาไม่กระดิกแม้แต่นิดเดียว ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงจะหายใจอย่างช้าๆ ขึ้นมาครั้งหนึ่ง
แขนขวาของเขาบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง คล้ายกระบี่ที่ถูกพละกำลังมหาศาลบิดจนเปลี่ยนรูป ดูน่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
มือซ้ายของเขายังคงกำแน่น ระหว่างร่องนิ้วยังคงมีแสงจางๆ และพลังที่สดชื่นยิ่งกว่าลมในฤดูใบไม้ผลิแผ่กระจายออกมา
ด้านล่างมือซ้ายของเขามีคัมภีร์ที่ผู้อาวุโสแห่งตำหนักแสดงธรรมตั้งใจเขียนขึ้นมา ต้องทำแบบนี้ถึงจะช่วยลดความเร็วของพลังเซียนที่หลั่งไหลออกมาได้
ตอนนั้นสมณะตู้ไห่ใช้ฝ่ามือพุทธิปัญญาลอบโจมตี จิ๋งจิ่วไม่มีหนทางอื่น จึงได้แต่ต้องลองใช้คมกระบี่ของตัวเองลองฟันดูว่าจะสามารถสะบั้นฟ้าดินได้หรือไม่
ใครจะไปรู้ว่าในเวลานั้น จู่ๆ จิตเซียนที่อยู่ในยันต์เซียนพลันโจมตีขึ้นมา
เมื่อถูกโจมตีจากทั้งสองด้าน ในที่สุดเขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างที่ไม่สามารถจะแก้ไขได้
แมวขาวนอนหมอบอยู่ตรงปลายเตียง คอยใช้อุ้งเท้าหน้าเขี่ยเท้าของจิ๋งจิ่วเบาๆ เป็นระยะ ด้วยอยากจะให้เขาตื่นขึ้นมา ดูไม่ค่อยสบายใจเป็นอย่างมาก
ในตอนที่เจ้าล่าเยวี่ยและหลิ่วสือซุ่ยเดินเข้ามาในห้องฌาน พวกเขาก็มองเห็นภาพนี้
เจ้าล่าเยวี่ยเดินไปหน้าเตียง มองจิ๋งจิ่วพลางกล่าวถามว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
ฮ่องเต้ยืนอยู่หน้าพระพุทธรูป มิได้กล่าวกระไร
แมวขาวแอบฟุบหมอบลง ไม่กล้าทำให้นางสังเกตเห็น เพราะมันรู้ว่าในเวลานี้นางดูเหมือนจะใจเย็น แต่ความจริงอารมณ์กลับแย่เป็นอย่างมาก
ผู้อาวุโสแห่งตำนักแสดงธรรมเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสามวันก่อน จากนั้นก็มองไปทางสมณะตู้ไห่ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านนอกธรณีประตู พลางกล่าวด้วยอารมณ์ที่สับสนเป็นอย่างมาก “ไม่มีใครรู้ว่าศิษย์หลานตู้ไห่ทำแบบนี้ทำไม เขาเองก็ไม่ยอมพูดออกมา”
เจ้าล่าเยวี่ยหมุนตัวเดินไปตรงหน้าสมณะตู้ไห่ มือขวาวางลงบนหัวไหล่ของเขา มีเสียงผัวะดังเบาๆ ขึ้นมา
จากนั้นก็มีเสียงฉึกดังขึ้น
กระบี่มิคำนึงพุ่งออกไปจากฝ่ามือของทาง แทงทะลุหัวไหล่ของสมณะตู้ไห่ ฟันเส้นปราณซานจือที่ไวต่อความเจ็บปวดมากที่สุด จากนั้นปลายกระบี่ก็โผล่ออกมาจากช่วงเอวของเขา
กระบี่นี้สร้างความเจ็บปวดให้แก่สมณะตู้ไห่อย่างมาก
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ สมณะของวัดกั่วเฉิงต่างรู้สึกปวดใจ โดยเฉพาะศิษย์ของอารามหลี่ว์ถังที่ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นลูกศิษย์และศิษย์หลานของสมณะตู้ไห่นั้นยิ่งรู้สึกโกรธแค้น
สมณะระดับสูงของอารามหลี่ว์ถังผู้นั้นระงับความโกรธพลางกล่าวว่า “ศิษย์พี่ตู้ไห่ใช้วิชาสละชีพ อย่างมากอยู่ได้อีกแค่เจ็ดวัน ไยเจ้าแห่งยอดเขาเจ้าต้องทำเช่นนี้ด้วย”
เจ้าล่าเยวี่ยมิได้สนใจสมณะเหล่านี้ นางเพียงแต่มองดูใบหน้าของสมณะตู้ไห่อย่างเงียบๆ กระบี่มิคำนึงค่อยๆ เคลื่อนตัวไปในร่างกายของเขา
หัวคิ้วของสมณะตู้ไห่สั่นระริก เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมามองดูนาง
เจ้าล่าเยวี่ยเก็บกระบี่กลับมา
ความเจ็บปวดภายในดวงตาของสมณะตู้ไห่ค่อยๆ กลายเป็นสงบนิ่ง คล้ายว่าได้รับการปลดปล่อยแล้ว
“พวกข้าไม่รู้ว่าฉีหลินจะมา พวกข้าเพียงแต่รู้ว่าฉีหลินอาจจะมา นี่เป็นตัวแปรหนึ่ง มิได้สำคัญอะไร”
เขามองเจ้าล่าเยวี่ยพลางกล่าว “ปรมาจารย์เสวียนอินไม่รู้ว่าคำสั่งของตัวเองคือพาผู้แข็งแกร่งที่อยู่ข้างกายเขาออกไปให้หมด แต่ข้ารู้ว่าหน้าที่ของข้าคือรอ”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “รอจนข้างกายเขาไม่มีใคร?”
“ถูกต้อง อีกทั้งยิ่งช่วงเวลานั้นใกล้กับช่วงหลอมยันต์เซียนในตอนสุดท้ายก็ยิ่งดี เพราะนั่นเป็นช่วงที่เขาอ่อนแอที่สุด”
สมณะตู้ไห่ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “ความจริงเจ้าน่าจะรู้สึกภูมิใจแทนเขานะ แผนการนี้พัวพันถึงคนสำคัญมากมายขนาดนี้ ฉีหลิน ปรมาจารย์สำนักเสวียนอิน ฮ่องเต้ แล้วก็ยังมีนักพรตหลิ่วฉือ แต่เป้าหมายที่แท้จริงกลับเป็นเขา”
เสียงของเจ้าล่าเยวี่ยเรียบเฉย มิได้แฝงเอาไว้ด้วยอารมณ์ใดๆ “ท่านแน่ใจว่าท่านทำสำเร็จแล้ว?”
สมณะตู้ไห่กล่าว “ข้าใช้ฝ่ามือพุทธิปัญญาทำลายต้นไม้แห่งเต๋าเขาของ ดวงจิตจับตัว เขาไม่สามารถหลอมยันต์เซียนได้อีก สุดท้ายก็จะถูกกลืนกินแล้วก็ตายไป นี่เป็นแผนที่นักพรตวางเอาไว้ จะล้มเหลวได้อย่างไร?”
เจ้าล่าเยวี่ยนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนกล่าวถามว่า “ทำไม?”