มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 19 บอกให้เรียน
คนไม่อาจย่ำลงไปในแม่น้ำสายเดิมได้
หมาไม่อาจมีนายสองคนได้
หากมีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นจะทำอย่างไร?
ซือโก่วตอบไม่ได้
จิ๋งจิ่วก็ตอบไม่ได้เช่นกัน
เขานิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “นี่เป็นปัญหาของพวกข้า ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
ซือโก่วหลับตาลง
จิ๋งจิ่วหมุนตัวเดินเข้าไปในอุโมงค์ที่ยาวเหยียดนั้น ก่อนจะหายลับไปอย่างรวดเร็ว
ที่นี่คือคุกกระบี่
ภายในห้องขังที่อยู่สองข้างทางของอุโมงค์คุมขังยอดฝีมือของเผ่าหมิง ผู้บำเพ็ญพรตพรรคมารที่โหดร้าย และปีศาจจากหลุมลึก
ภายในอุโมงค์ที่มืดสลัวไม่มีเสียงใดๆ กลิ่นอายพลังอันสกปรกและน่าหวาดกลัวปรากฏเลือนรางอยู่หลังกำแพง คล้ายทะเลและภูเขาที่อยู่ในม่านหมอก
ขอเพียงไอพลังที่น่ากลัวเหล่านั้นเล็ดรอดออกมาจากในประตู ก็จะปนเปื้อนหรืออาจจะทำลายต้นไม้แห่งเต๋าของผู้บำเพ็ญพรตได้
จิ๋งจิ่วไม่ได้สนใจไอพลังเหล่านี้ เพราะปีศาจที่อยู่ในห้องขังเหล่านี้ไม่อาจรับรู้ถึงการมาของเขาได้
ในขณะที่เดินผ่านห้องขังห้องหนึ่ง เขาหยุดฝีเท้าแล้วเหลือบมองเล็กน้อย
คนที่ถูกขังอยู่ในห้องนี้คืออาจารย์อาไท่หลู
ในอดีตอาจารย์อาไท่หลูเป็นเจ้าแห่งยอดเขาม่อเฉิง บรรลุสภาวะขั้นแหวกทะเลระดับสูงสุดไปนานแล้ว
ในตอนที่ชิงซานเกิดปัญหาภายใน อาจารย์อาไท่หลูถูกเขาโจมตีจนบาดเจ็บสาหัส แต่กลับไม่ยอมแพ้ แล้วก็ไม่ยอมสาบานว่าจะเข้าไปเก็บตัวบำเพ็ญเพียรอยู่ที่ยอดเขาซ่อนเร้น ดังนั้นจึงถูกจับมาขังเอาไว้ที่นี่
ยอดเขาม่อเฉิงกลายเป็นยอดเขาชิงหรงในเวลานี้
หกร้อยปีหรือว่าเจ็ดร้อยปีแล้วนะ?
เขายังมีชีวิตอยู่หรือนี่?
……
……
จิ๋งจิ่วสืบเท้าก้าวไปข้างหน้าต่อ
อุโมงค์ค่อยๆ กว้างขึ้น จนกระทั่งกลายเป็นโถงขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง บนพื้นปูเอาไว้ด้วยอิฐขนาดใหญ่ รอบด้านมีโคมไฟแขวนเอาไว้ ดูไม่ได้ชั่วร้ายน่าหวาดกลัวเหมือนอย่างตอนแรกอีก
ด้านขวามือของเขามีอุโมงค์อยู่เส้นหนึ่ง ภายใต้การส่องสว่างของแสงไฟ อุโมงค์ทอดตัวลึกเข้าไป ปลายสุดของอุโมงค์มีห้องขังที่โดดเดี่ยวอยู่ห้องหนึ่ง
จิ๋งจิ่วมองเข้าไป แต่มิได้เดินเข้าไป
อุโมงค์เส้นนี้และรอบด้านของห้องขังห้องนี้มีเจตน์กระบี่ที่รุนแรงและน่าหวาดกลัวที่สุดบนแผ่นดินเฉาเทียนอยู่
ขอเพียงเข้าใกล้แม้เพียงเล็กน้อย ก็จะถูกเจตน์กระบี่เหล่านั้นตัดขาดเป็นชิ้นๆ
จิ๋งจิ่วเองก็ไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้
เพราะนี่เป็นเจตน์กระบี่ที่ในอดีตเขาเป็นคนวางมันขึ้นมากับมือเอง
ในตอนนั้นหลังศิษย์พี่ถูกเขา หลิ่วฉือ หยวนฉีจิงร่วมมือกันจับตัวเอาไว้แล้ว ก็ถูกพามาขังเอาไว้ที่นี่
นักพรตไท่ผิงเก็บตัวบำเพ็ญเพียรไม่ยอมออกมา
เขตหวงห้ามแปดร้อยลี้ของชิงซาน
เหล่านั้นย่อมเป็นเรื่องโกหก
ในตอนนั้นที่ราชวงศ์ตระกูลจิ่งเคลื่อนพลไปยังเขาเหลิ่งซาน ย่อมมิใช่เป็นเพราะต้องการคุ้มกันนักพรตไท่ผิง หากแต่ไปข่มขวัญกองหนุนจากนอกแผ่นดินของศิษย์พี่ตามคำขอของเขา
เก็บตัวก็คือถูกขัง
ภายหลังตอนที่ยอดเขาซั่งเต๋อขังเหลยพั่วอวิ๋นเอาไว้ ก็ใช้ข้ออ้างแบบนี้เช่นกัน
ก็เหมือนกับที่เขาเคยบอกเจ้าล่าเยวี่ย ประวัติศาสตร์นั้นหมุนเวียนไปมาไม่รู้จบ เหมือนดั่งทางขึ้นเขาที่อยู่บนภูเขา
……
……
จิ๋งจิ่วมองดูห้องขังที่อยู่ไกลออกไปห้องนั้นอย่างเงียบๆ
เจตน์กระบี่ที่เขาวางเอาไว้ยังคงอยู่ ยังคงทรงพลังเหมือนดั่งแต่ก่อน ย่อมไม่มีใครที่จะหนีออกไปจากที่นี่ได้
ศิษย์พี่ใช้ไม้วิญญาณอัศนีย้ายวิญญาณเข้าไปในร่างของศิษย์เผ่าหมิงคนหนึ่ง จากนั้นหนีออกไปจากคุกกระบี่จริงๆ ด้วย
เรื่องราวทุกอย่างชัดเจน
จิ๋งจิ่วยังไงไม่หยุด เขาหมุนตัวเดินไปทางอุโมงค์ที่อยู่ด้านหน้าโถงเส้นนั้น
ภายในอุโมงค์เส้นนี้เองก็มีแสงสว่าง แต่มิได้สว่างมากนัก กลิ่นอายพลังธรรมดา
คนที่ถูกขังอยู่ที่นี่คือมารชั่วเผ่าหมิงระดับธรรมดาและศิษย์ชิงซานที่กระทำความผิดอย่างร้ายแรง
จิ๋งจิ่วเดินไปยังหน้าห้องขังห้องหนึ่ง สายตามองไปยังกุญแจ
นั่นคือกุญแจกระบี่ที่มีความซับซ้อน จำเป็นต้องรู้ถึงลำดับก่อนหลังและระดับความต่างของเจตน์กระบี่ของผู้ใช้ถึงจะสามารถปลดผนึกได้
แต่สำหรับจิ๋งจิ่วแล้วย่อมมิใช่เรื่องยากอะไร เขายื่นมือไปจับกุญแจกระบี่เอาไว้ มีเสียงเสียดสีเบาๆ ดังขึ้นมา จากนั้นกุญแจกระบี่จึงเปิดออก
ประตูหินเปิดออก หลิ่วสือซุ่ยนั่งอยู่บนกองฟาง
เขาลุกขึ้นยืนมองจิ๋งจิ่ว ดูค่อนข้างเหนื่อยล้า
จิ๋งจิ่วมองเขาเงียบๆ
“นี่มันเพื่ออะไรกันแน่?”
หลิ่วสือซุ่ยไม่เข้าใจจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้ยังค่อนข้างทุกข์ใจจริงๆ ด้วย
ตอนที่เข้ามาในคุกกระบี่เมื่อหลายปีก่อนกับในตอนนี้นั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนเองกลับมายังชิงซานอย่างยากลำบาก แต่สุดท้ายกลับต้องมาแบกรับสิ่งเหล่านี้เอาไว้
หากเป็นเวลาปกติ จิ๋งจิ่วคงจะพาเขาออกไปก่อนแล้วค่อยพูด แต่วันนี้เขามีบางอย่างอยากจะพูดกับหลิ่วสือซุ่ย
คำพูดเหล่านั้นเขาไม่เคยพูดกับหลิ่วสือซุ่ยมาก่อน ถึงแม้ในตอนนั้นจะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเตรียมจะไปเป็นไส้ศึกอยู่ในปู้เหล่าหลิน เขาก็ไม่เคยพูดออกมา
ที่นี่คือคุกกระบี่ที่น่ากลัวที่สุดในยอดเขาทั้งเก้าของชิงซาน ขณะเดียวกันยังเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดด้วย ไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนมาได้ยินสิ่งที่พวกเขาคุยกัน
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “มีคนอยากจะเล่นงานข้า เจ้าเลยต้องพลอยมาลำบากไปด้วย”
หลิ่วสือซุ่ยมองเขา ก่อนกล่าวอย่างจริงจัง “แต่จนถึงตอนนี้ ท่านยังไม่เคยบอกข้าเลยว่าเหตุใดท่านต้องฆ่าอาจารย์อาจั่วอี้”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ไม่มีเหตุผล ก็แค่ในตอนนั้นเขาอยากจะฆ่าเจ้าล่าเยวี่ย พวกเราก็เลยฆ่าเขา”
หลิ่วสือซุ่ยครุ่นคิด ก่อนกล่าวว่า “เอาล่ะ เหตุผลนี้ืถือว่าพอเพียง”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ต่อให้ไม่มีเรื่องนี้ เจ้าก็ไม่มีทางที่จะมีอนาคตที่ดีในชิงซานได้”
“มีสิทธิ์อะไร?”
หลิ่วสือซุ่ยมิได้โกรธ หากแต่ไม่เข้าใจจริงๆ
จิ๋งจิ่วคิดถึงตอนที่ศิษย์พี่กลับมาจากเผ่าหมิงเมื่อในอดีต ความดีความชอบของเขามากกว่าหลิ่วสือซุ่ย แต่ก็ยังถูกจับไปขังคุกกระบี่เอาไว้เป็นเวลานาน
หากมิเป็นเพราะเดิมทียอดเขาซั่งเต๋อเป็นถิ่นของพวกเขาแล้วล่ะก็ เกรงว่าคงจะเกิดเรื่องใหญ่เป็นแน่
“เพราะเจ้าเคยเดินอยู่ในความมืด แต่วันนี้กลับดูเจิดจ้ายิ่งกว่า ย่อมต้องมีบางคนรู้สึกขวางหูขวางตา”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลิ่วสือซุ่ยนิ่งเงียบไป
หลังกลับมาชิงซานครั้งนี้ เขาก็รับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง อย่างเช่นศิษย์พี่เจี่ยนหรูอวิ๋น
อาจจะเป็นเพราะริษยา อาจจะเป็นเพราะเหตุผลบางอย่างที่ซับซ้อนกว่านั้น
จิ๋งจิ่วพูดต่อ “ตั้งแต่ที่เจ้ายินดีไปยังปู้เหล่าหลิน เจ้าก็ได้ตัดความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นเจ้าสำนักไปแล้ว เพราะในอนาคตเรื่องราวของเจ้าตรงนี้จะกลายเป็นเหตุผลให้หลายๆ คนใช้คัดค้านเจ้า เมื่อเดินอยู่ในความมืดก็มักจะต้องแสร้งทำเป็นความมืด นี่คือความผิดที่ไม่อาจชำระล้างให้สะอาดได้”
ตอนนั้นศิษย์พี่อยากจะรับตำแหน่งเจ้าสำนัก แต่ก็ถูกอาจารย์อาและเหล่าผู้อาวุโสจากยอดเขาอื่นๆ ใช้เหตุผลนี้มาปฏิเสธ
—- เจ้ามีสาวกอยู่ที่เผ่าหมิงมากมายขนาดนี้ ใครจะไปรู้บ้างว่าเจ้าคิดอะไรอยู่? เจ้ากับเผ่าหมิงมีความสัมพันธ์กันหรือเปล่า? ต่อให้ทุกอย่างไม่มีปัญหา แต่เจ้าพายอดฝีมือของเผ่าหมิงมาสังหารศิษย์ของสำนักฝ่ายธรรมะมากมายขนาดนั้น หากเจ้าเป็นเจ้าสำนักชิงซาน แล้วสำนักฝ่ายธรรมะเหล่านั้นจะคิดอย่างไร?
สุดท้ายศิษย์พี่สามารถกลายเป็นเจ้าสำนักชิงซานได้ ก็ด้วยเพราะการฆ่าคน
ฆ่าจนกระทั่งพวกเจ้าไม่กล้าคัดค้านอีก เช่นนั้นความผิดที่ไม่สามารถชำระล้างให้สะอาดได้ก็จะกลายเป็นสิ่งที่ถูกลืมเลือนไปได้
หลิ่วสือซุ่ยทำเช่นนี้ไม่ได้ อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังทำไม่ได้ เช่นนั้นเขาก็ไม่มีทางกลายเป็นเจ้าสำนักได้ตลอดชีวิต
“ข้าไม่สนใจเรื่องนี้ ข้าไม่เคยคิดจะเป็นเจ้าสำนักมาก่อน”
หลิ่วสือซุ่ยมองเขาพลางกล่าวอย่างจริงจัง “ดังนั้นข้าไม่มีทางเสียใจ”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้ารู้”
หลิ่วสือซุ่ยรู้สึกพอใจ
คุณชายรู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร เชื่อว่าเขาจะเป็นคนแบบนั้นไปตลอด นี่่ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ
เขาพูดต่อว่า “ข้าจะยังทำแบบนี้ต่อไป ทำดีให้มากหน่อย เรื่องที่ไม่ดีย่อมต้องน้อยลง”
“ความชั่วบนโลกไม่มีทางที่จะลดน้อยลงเพราะความพยายามในการจะกวาดล้างของเจ้า เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่จับต้องได้จริง”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ทุกสรรพสิ่งบนโลกมีกฎเกณฑ์ของตัวเองอยู่ หมุนเวียนไปตามกฎเกณฑ์ของตัว อยู่ในตำแหน่งของตัวเอง นี่คือดี แต่ถ้าทำลายกฎเกณฑ์ ทำให้ระเบียบวุ่นวาย นี่คือเลว เจ้าอยากจะกำจัดความชั่ว ก็ต้องทำลายต้นตอที่ทำให้เกิดความเลว ถึงจะทำให้ความเลวไม่มีโอกาสปรากฏขึ้นมาได้”
หลิ่วสือซุ่ยถาม “อย่างนั้นพวกเราควรจะทำอย่างไรขอรับ?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “สร้างระเบียบที่แข็งแกร่งและมั่นคงที่สุดบนโลกขึ้นมา”
หลิ่วสือซุ่ยถาม “ทำอย่างไรถึงจะทำเช่นนั้นได้?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “กลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลก”
นี่มิใช่การบอกให้ทำดี หากแต่เป็นการบอกให้เรียน
อย่าไปคิดอะไรไร้สาระให้วุ่นวาย การบำเพ็ญเพียรต่างหากถึงจะเป็นทางที่ถูกต้อง
หลิ่วสือซุ่ยครุ่นคิดเงียบๆ หากตนเองเป็นเจ้าสำนักชิงซาน ปัญหาของเสี่ยวเหอก็จะแก้ไขได้อย่างง่ายดาย
เพราะเขาสามารถกำหนดระเบียบและกฎเกณฑ์ได้ด้วยตัวเอง
“หลังจากนี้ข้าควรจะไปที่ไหนขอรับ?”
“วัดกั่วเฉิง พลังในร่างกายของเจ้าสะเปะสะปะเกินไป ที่นั่นสามารถช่วยเจ้าได้”
หลิ่วสือซุ่ยเก็บมันเอาไว้อย่างระมัดระวัง
………………………