มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 190 เจ้าล่าเยวี่ยคุยกับหลิ่วสือซุ่ย
สมณะตู้ไห่กล่าวเสียงทุ้มต่ำ “ฮ่องเต้พระองค์ก่อนมิสนใจใยดีโลกนี้ เหลืออายุเพียงสิบกว่าปี ทิ้งร่างเอาไว้จะมีประโยชน์อันใด? หากให้นักพรตหยิบยืม ก็จะอยู่ต่อไปได้อีกหลายร้อยปี ไม่แน่ตอนนี้แผนการของนักพรตอาจจะสำเร็จ สรรพสัตว์ร่มเย็นเป็นสุขไปแล้วก็เป็นได้ เช่นนี้แล้วนักพรตทำผิดอะไร?”
แนวคิดขัดแย้งกัน โต้เถียงไปก็เปล่าประโยชน์ ก็เหมือนกับที่จิ๋งจิ่วไม่ค่อยพูดถึงเรื่องเหล่านี้
ฮ่องเต้ย่อมไม่โต้เถียงกับสมณะตู้ไห่ หากแต่มองดูเขาพลางกล่าวถามว่า “ตอนนั้นเจ้าคือเณรที่รับใช้อยู่ข้างกายเขา?”
บนใบหน้าสมณะตู้ไห่มีรอยยิ้มเย้ยหยัน กล่าวว่า “ศิษย์พี่ที่คอยรับใช้นักพรตในตอนนั้นล้วนแต่ถูกพวกเจ้าฆ่าตายจนหมดแล้ว ภายในวัดทำการกวาดล้างอยู่สามสิบปี หากอาตมาเคยรับใช้นักพรต เจ้าคิดหรือว่าอาจมาจะยังมีชีวิตอยู่มาถึงตอนนี้ได้?”
เสียงระฆังวัดดังทอดยาว คล้ายมิเกี่ยวข้องกับโลกนี้ แต่หากต้องเจอกับเรื่องแบบนี้ มันก็กลายเป็นเหมือนลานสังหารอสูรได้ในทันทีเช่นกัน
ฮ่องเต้มิได้กล่าวถึงเรื่องที่ว่านักพรตไท่ผิงพ่ายแพ้ได้อย่างไร แล้วก็มิได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น แต่เมื่อฟังจากคำพูดของสมณะตู้ไห่แล้วก็พอจะนึกภาพออกว่าวัดกั่วเฉิงในตอนนั้นมีคนตายไปมากน้อยเท่าไร เหตุการณ์น่าสยดสยองเพียงใด
เจ้าล่าเยวี่ยสีหน้าเรียบเฉย รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่สมควร
หลิ่วสือซุ่ยรู้สึกทอดถอนใจ กล่าวถามว่า “เช่นนั้นเหตุใดท่านถึงยังติดตามปรมาจารย์ไท่ผิงอยู่อีก?”
“ตอนนั้นข้าเป็นเพียงเณรตัวเล็กๆ ที่ไม่มีใครสนใจ ไม่เคยถูกรังแก แต่ก็ไม่มีใครสังเกตเห็นถึงการมีอยู่ของตัวข้า”
สมณะตู้ไห่มองไปนอกห้องฌาน คล้ายกำลังหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีต กล่าวว่า “วันหนึ่งข้ากวาดใบไม้อยู่ในป่าเจดีย์ ได้เจอกับเจ้าอาวาส ท่านถามชื่อของข้า เรียนรู้คัมภีร์อะไร ตอนนี้เข้าใจอะไรแล้วบ้าง แล้วยังมีอะไรที่ไม่เข้าใจ อยู่เป็นเพื่อนข้ากวาดใบไม้ตลอดทั้งบ่าย”
หลิ่วสือซุ่ยคิดถึงค่ำคืนที่อธิบายธรรมะในสวนผักขึ้นมาอีกครั้ง
หากเป็นคนธรรมดา บางทีอาจจะถามสมณะตู้ไห่ว่าเพียงเพราะการพบกันครั้งนี้ เจ้าก็เลยสาบานว่าจะติดตามไท่ผิง เข้าปู้เหล่าหลิน กระทั่งตัวเองจะกลายเป็นสมณะสูงศักดิ์แล้วก็ยังไม่ลืมอย่างนั้นหรือ?
เขามิได้ถามอะไร เจ้าล่าเยวี่ยเองก็มิได้ถามอะไร เพราะพวกเขาล้วนแต่เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไร
ไม่ว่าจะฝึกเต๋า หรือว่ากระบี่ หรือว่าฌาน สุดท้ายสิ่งที่ฝึกก็ล้วนแต่เป็นใจ
เพียงแต่บางคนฝึกใจให้ซื่อสัตย์ บางคนฝึกใจให้นิ่งสงบ บางคนฝึกใจให้หวั่นไหว
ในนิทานเรื่องเล่าของนิกายฌาน เรื่องที่คนธรรมดาคุ้นเคยมากที่สุดก็คือเรื่องที่เมื่อลมขยับธงก็ขยับ แต่สุดท้ายก็ยังคงมีบางคนเข้าใจผิดคิดว่าคำว่าใจหวั่นไหวที่ว่านั้นคือความรักของหนุ่มสาว
ย่อมมิได้เป็นเช่นนั้น
มิใช่ว่าความรักของหนุ่มสาวเล็กเกินไป หาแต่เป็นเพราะมันเรียบง่ายเกินไป ค้ำยันท้องฟ้าไม่ไหว ยิ่งมิอาจค้ำยันธรรมวิถีได้
ฮ่องเต้กล่าวถามว่า “สามวันที่ผ่านมาเจ้าเอาแต่ปิดปากเงียบ เหตุใดตอนนี้ถึงยอมพูดแล้วล่ะ?”
สมณะตู้ไห่มองไปทางเจ้าล่าเยวี่ยและหลิ่วสือซุ่ย กล่าวว่า “พวกเจ้าคือสายสืบทอดของยอดเขาเสินม่อ เป็นผู้สืบทอดของจิ่งหยาง ข้ายอมพูดก็เพราะต้องการบอกพวกเจ้าว่าครั้งนี้พวกเจ้าแพ้ได้อย่างไร และหลังจากนี้…”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เวลาจะเป็นตัวพิสูจน์เองว่าเขาเป็นฝ่ายถูกต้อง?”
สมณะตู้ไห่ยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า “ไม่ นักพรตจะเป็นคนพิสูจน์เอง”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ เขาก็หลับตาลง ไร้ซึ่งลมหายใจ
เพื่อจะสังหารจิ๋งจิ่ว เขาใช้วิชาสละชีพอย่างฝ่ามือพุทธิปัญญา พลังฌานสูญสิ้น ภายในสิบวันจะต้องตายอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นยังถูกฮ่องเต้สะบั้นเส้นปราณทั้งหมด การที่เขาอดทนจนเจ้าล่าเยวี่ยและหลิ่วสือซุ่ยกลับมาได้นั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายแล้ว ในเวลานี้เขาหลับตาแล้วจากไป มุมปากยังคงยิ้มอยู่ ดูสงบนิ่งเป็นอย่างมาก
หลังจากนั้นก็มีสมณะของวัดกั่วเฉิงเข้ามายกร่างของสมณะตู้ไห่ออกไป ภายในห้องฌานเปลี่ยนเป็นเงียบสงบอีกครั้ง
เจ้าล่าเยวี่ยเดินไปข้างเตียง มองไปบนใบหน้าของจิ๋งจิ่ว กล่าวว่า “หากสมณะตู้ไห่มิได้โกหก อย่างนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็อยู่ยันต์เซียนอันนั้น”
ฮ่องเต้กล่าวว่า “อาการบาดเจ็บในร่างกายเขาถูกสะกดเอาไว้แล้ว แต่ยันต์เซียนแผ่นนั้นข้าพเจ้าเองก็ไม่สามารถกำจัดไปได้จริงๆ ได้แต่ต้องดูว่าเขาจะตื่นขึ้นมาเมื่อไร”
ยอดฝีมือขั้นทะลวงสวรรค์ สภาวะสูงส่งเหนือคนธรรมดา กายเนื้อมิหวาดกลัวลมพายุ พลังในการฟื้นฟูแข็งแกร่ง บวกกับการรับรู้ของใจแห่งสวรรค์ จึงยากจะถูกสังหารได้ อย่างเช่นปรมาจารย์แห่งสำนักเสวียนอิน ตอนแรกปะทะฝ่ามือกับฮ่องเต้ จากนั้นก็ถูกกระบี่ของหลิ่วฉือแทงทะลุ หากมิเป็นเพราะกระบี่นั้นแฝงไว้ด้วยพลังของข่ายพลังกระบี่ชิงซาน อาการของเขาก็คงเขาก็คงไม่ถึงกับสาหัสจนเกือบตาย
สภาวะของจิ๋งจิ่งในตอนนี้ย่อมต้องยังต่ำต้อยอยู่มาก แต่ร่างกายของเขามีความพิเศษ เรียกได้ว่าถูกสังหารได้ยากเสียยิ่งกว่ายอดคนขั้นทะลวงสวรรค์อีก
แผนการของอินซานละเอียดและชาญฉลาดเป็นอย่างมาก เพราะคิดไม่ถึงว่าเขาจะใช้ยันต์เซียนที่จิ๋งจิ่วกำอยู่ในมือเป็นการโจมตีที่จะปลิดชีพจิ๋งจิ่ว
จิตเซียนที่เซียนไป๋เริ่นทิ้งเอาไว้ในยันต์เซียนได้ถูกจิ๋งจิ่วใช้คัมภีร์ธรรมะขจัดไปไม่น้อยแล้ว แต่ก็ยังคงหลงเหลืออยู่เล็กน้อย
หากจิ๋งจิ่วไม่สามารถสะกดจิตเซียนที่เหลือเหล่านั้นเอาไว้ได้ เขาก็จะไม่สามารถตื่นขึ้นมา และสุดท้ายก็จะถูกกลืนกิน จากนั้นตายไป
แต่ปัญหาก็คือหลังจากถูกโจมตีจนบาดเจ็บสาหัส เขาก็ถูกจิตเซียนเล่นงานไปที่ดวงจิต ตอนนี้จึงยังนอนหลับลึกอยู่ แล้วเขาจะรับรู้ถึงอันตรายและตื่นขึ้นมาได้อย่างไร?
……
……
จัวหรูซุ่ยตื่นขึ้นมาก่อน
เขากางแขนทั้งสองข้างโดยไม่รู้ตัว แต่กลับกอดเจอเพียงอากาศที่ว่างเปล่า ถึงได้พบว่าเจดีย์หินองค์นั้นมิได้อยู่ข้างกายแล้ว
เขาเดินออกมาจากห้องฌาน มองหาสมณะของวัดกั่วเฉิงแล้วสอบถาม ถึงได้หาห้องฌานไป๋ซานที่อยู่ข้างป่าเจดีย์จนพบ
เขามองดูจิ่วที่นอนหลับไม่รู้สึกตัว รู้สึกค่อนข้างตกใจ หลังจากที่ทราบแล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาก็ยิ้มออกมาพลางกล่าวว่า “มีอะไรให้ต้องกังวลล่ะ เดี๋ยวดูแล้วกันว่าข้าทำอย่างไร”
หลังงานชุมนุมแสวงมรรคา หลิ่วฉือได้ใช้เจตน์กระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนพันมือซ้ายของจิ๋งจิ่วเอาไว้ จึงทำให้พลังที่อยู่ในยันต์เซียนไม่ไหลออกมาข้างนอก
จัวหรูซุ่ยเป็นศิษย์คนสุดท้ายของหลิ่วฉือ กระบี่แบกสวรรค์ย่อมต้องฝึกฝนจนแตกฉาน เขาเชื่อว่าตัวเองก็สามารถทำได้เช่นกัน
เขาเดินมาข้างเตียง เรียกกระบี่ออกมา กระบี่บินวนรอบมือซ้ายของจิ๋งจิ่วอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดลำแสงกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วน
เส้นลำแสงห่อหุ้มมือซ้ายของจิ๋งจิ่วเอาไว้ แน่นหนาขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายปลายหัวท้ายของเส้นลำแสงก็เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน จากนั้นมัดเป็นปม
ในชั่วพริบตาที่มัดเป็นปมนั้นเอง ในมือซ้ายของจิ๋งจิ่วก็มีเส้นลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา เจตน์เซียนพวยพุ่ง!
จัวหรูซุ่ยส่งเสียงอึกออกมา ถูกกระแทกเข้าไปในป่าเจดีย์ที่อยู่ด้านนอกห้องฌาน กลิ้งไปกับพื้นยี่สิบกว่าตลบ จนกระทั่งกอดเจดีย์องค์เล็กที่คุ้นเคยองค์นั้นเอาไว้ ถึงจะหยุดกลิ้งได้
ฮ่องเต้เก็บปีกเพลิงที่ใช้ปิดกั้นพลังเซียนพลางส่ายศีรษะ
เจ้าล่าเยวี่ยเดินไปข้างเตียง สองมือยื่นออกไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า กำมือซ้ายของจิ๋งจิ่วเอาไว้แน่น
เจตน์กระบี่ที่ไร้รูปร่างสิบกว่าสายพุ่งออกมาจากติ่งหู ปอยผมและชายเสื้อของนาง ตัดขาดอากาศ ทำให้ภายในห้องฌานอบอวลไปด้วยความรู้สึกดุดันเกรี้ยวกราด
นางอยากจะใช้ร่างกระบี่ไร้ลักษณ์หลังกำเนิดของตัวเองห่อหุ้มพลังเซียนที่ไหลออกมาจากในยันต์เซียนเอาไว้
ลำแสงส่องทะลุออกมาจากร่องนิ้วของจิ๋งจิ่วกับร่องนิ้วของนาง ส่องสว่างใบหน้าและดวงตาที่เปล่งประกายของนาง
ใบหน้าของนางขาวซีดขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งสุดท้ายมิอาจทนไหว กระอักเลือดสดๆ ออกมาคำหนึ่ง จึงได้แต่ต้องปล่อยมือ
หลิ่วสือซุ่ยกล่าวว่า “อย่างนั้นข้าไม่ลองแล้วกัน”
วิถีกระบี่ของชิงซานและเพลงกระบี่ของซีไห่เขาล้วนแต่เคยร่ำเรียน แต่ตอนนี้วิชาที่ร้ายกาจที่สุดของเขาคือวิชามารของนิกายเสวี่ยหมัว การใช้วิชามารไปรับมือกับพลังเซียนนั้นต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย?
จัวหรูซุ่ยกล่าว “ต้องรีบเรียกอาจารย์มา”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ส่งข่าวไปแล้ว เจ้าสำนักจะมาถึงพรุ่งนี้”
จัวหรูซุ่ยคิดในใจว่านี่มันก็ผ่านมาสามวันแล้ว เหตุใดอาจารย์ถึงมาช้าขนาดนี้? ต่อให้อาจารย์ขี่กระบี่ที่ขึ้นชื่อเรื่องความช้า มันก็ไม่ต้องใช้เวลาถึงสามวันนี่นา จากนั้นเขาถึงคิดขึ้นมาได้ว่าอาจารย์ปล่อยกระบี่หมื่นลี้ ทำให้จอมมารระดับปรมาจารย์สำนักเสวียนอินบาดเจ็บสาหัสได้ เขาย่อมต้องสูญเสียปราณกระบี่ไปเป็นจำนวนมากแน่ จำเป็นต้องพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูพลังก่อนถึงจะออกเดินทางมาได้
สิ่งที่เขาคิดได้ เจ้าล่าเยวี่ยก็ย่อมต้องคิดได้เช่นกัน เพียงแต่สิ่งที่นางไม่เข้าใจก็คือในเมื่อเจ้าสำนักมาไม่ได้ แล้วท่านกฎแห่งกระบี่ล่ะ?
……
……
เวลาผ่านไปแล้วครึ่งวัน
จิ๋งจิ่วยังไม่ตื่นขึ้นมา ยันต์เซียนที่อยู่ในมือซ้ายสว่างขึ้นเรื่อยๆ พลังเซียนที่ปล่อยออกมายิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
จัวหรูซุ่ยคิดในใจ ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ เช่นนั้นพลังเซียนเหล่านี้ก็มิอาจปล่อยให้สูญเปล่าได้ จึงหลับตาเริ่มทำสมาธิ ใช้พลังเซียนที่อบอวลอยู่เต็มห้องมาบำเพ็ญเพียร
เจ้าล่าเยวี่ยและหลิ่วสือซุ่ยย่อมไม่มีอารมณ์จะมานั่งบำเพ็ญเพียร พวกเขานั่งลงบนอาสนะที่อยู่หน้าเตียง มองดูจิ๋งจิ่วที่นอนหลับสนิท นิ่งเงียบครุ่นคิดอะไรอยู่ในใจ
แมวขาวนั่งอยู่ใต้เท้าจิ๋งจิ่ว ดูว่านอนสอนง่าย มิได้ส่งเสียงร้องออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว
เจ้าล่าเยวี่ยและจัวหรูซุ่ยต่างรู้อยู่แล้วว่ามันอยู๋ตรงนั้น แต่ก็มิได้เหลียวมองมัน แล้วก็มิได้สนใจมัน
“ตอนที่ท่านแม่ท้องข้า ในเมืองเจาเกอมีหิมะตก วันที่ข้าคลอดออกมาวันนั้นคือวันล่าเยวี่ย ข้าเลยได้ชื่อว่าเจ้าล่าเยวี่ย”
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูจิ๋งจิ่วที่กำลังนอนหลับสนิทพลางกล่าววว่า “ในหิมะที่ตกโปรยปราย เขาเคยมองดูตัวข้าที่อยู่ในท้องของท่านแม่ ดังนั้นข้าจึงเป็นศิษย์คนแรกที่เขาเลือก”
เมื่อได้ฟังเรื่องเล่าในอดีตอันแสนยาวนานของฮ๋องเต้และสมณะตู้ไห่ หลิ่วสือซุ่ยก็คล้ายจะคาดเดาได้ถึงความเป็นมาที่แท้จริงของคุณชาย ในเวลานี้เมื่อได้ยินคำพูดของเจ้าล่าเยวี่ย และคิดถึงเรื่องที่นางคอยพร่ำบอกอยู่ตลอดว่าตนเองเป็นศิษย์ที่ปรมาจารย์จิ่งหยางเลือกเอาไว้ล่วงหน้า เขาก็ยิ่งรู้สึกมั่นใจ
เขานิ่งเงียบไปเป็นเวลานานถึงจะตื่นขึ้นมาจากความตกตะลึง จากนั้นถึงได้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำพูดประโยคนี้ของเจ้าล่าเยวี่ยว่าน่าจะหมายถึงเรื่องการจัดอันดับ
นี่มันมีอะไรน่าแย่งกันล่ะ ตอนที่อยู่ศาลาหนานซง ข้ามองดูท่านขี่กระบี่อยู่บนท้องฟ้า ได้ยืนข่าวลือของท่าน ข้าก็ตะโกนเรียกท่านว่าศิษย์พี่หญิงไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้งกันแล้ว ต่อมาท่านยังเป็นเจ้าแห่งยอดเขาเสินม่อ ข้ายิ่งต้องเรียกท่านว่าอาจารย์อาหญิง…
เขาคิดถึงเรื่องเหล่านี้ แต่คำพูดที่พูดออกมากลับมิได้เป็นเช่นนี้ “ข้าชื่อหลิ่วสือซุ่ย เป็นเพราะตอนที่คุณชายเจอข้า ข้าเพิ่งจะอายุสิบขวบ”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวว่า “หากตอนที่เขาเจอเจ้า เจ้าอายุสามขวบ หรือเจ้าจะชื่อหลิ่วซานซุ่ย[1]?”
หลิ่วสือซุ่ยคิดในใจ หากตอนที่คุณชายมองเห็นท่านที่อยู่ในท้องแม่ในเมืองเจาเกอเป็นช่วงฤดูร้อน หรือท่านจะชื่อว่าเจ้าต้าสู่[2]?
แม้จะคิดเช่นนี้ แต่ย่อมมิอาจพูดออกไปได้
เขาคิดถึงการไล่ล่าจากสวนผักไปถึงต้าเจ๋อก่อนหน้านี้ จึงถามขึ้นมาอย่างรู้สึกหวาดกลัวว่า “ตอนแรกที่ท่านเผชิญหน้ากับปรมาจารย์เพียงลำพัง รู้สึกอย่างไรบ้าง?”
เจ้าล่าเยวี่ยครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “กลัวมาก”
บนโลกนี้ มีน้อยเรื่องนักที่จะทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวได้
แต่นักพรตไท่ผิงเป็นปรมาจารย์ของชิงซาน เป็นบุคคลที่อยู่ในตำรา ภาพเหมือนของเขายังคงแขวนอยู่ในหอเล็กหลังนั้นมาจนถึงทุกวันนี้
นางเป็นศิษย์ชิงซาน ตอนนั้นกลั้นใจขี่กระบี่ไล่ตามสังหารอย่างไม่ลดละ เรียกได้ว่าไม่ตายไม่เลิกรา ในเวลานี้ใจเย็นลงแล้ว เมื่อมาหวนคิดถึงเรื่องเหล่านี้อีกครั้ง มีหรือที่ในใจจะไม่เกิดความรู้สึกหวาดกลัว?
นางมองไปทางจิ๋งจิ่วที่นอนหลับสนิท ในใจรู้ว่าเขาอยากให้ตนเองรู้สึกถึงความหวาดกลัว เพื่อจะได้เผชิญหน้ากับสิ่งที่อยู่ในใจจริงๆ
เมื่อสามวันก่อน หลังจากที่ออกไปจากวัดกั่วเฉิง นางก็คิดเข้าใจถึงปัญหาสองข้อ
จิ๋งจิ่วโยนนางไปด้านนอกตำหนักฌานหลังนั้น ก็เพื่อจะให้นางไล่ตามนักพรตไท่ผิง มิให้เขาหนีไป
เมื่อหลายปีก่อนนางสามารถบรรลุสภาวะไปสู่คเนจรระดับกลางได้แล้ว แต่จิ๋งจิ่วกลับไม่อนุญาต นั่นเพราะอยากจะให้นางหาหนทางของตนเองให้เจอ
คนทุกคนล้วนแต่ไม่เหมือนกัน หนทางของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันเช่นกัน
ก็เหมือนนางที่ถนัดในเรื่องวางแผนคาดการณ์เช่นเดียวกัน แต่กลับไม่สามารถเดินไปเส้นทางเดิมของไท่ผิงและจิ่งหยางได้ เพราะหากทำแบบนั้นมันจะเดินถึงปลายทางได้ง่าย
จิ๋งจิ่วไม่อนุญาตให้นางบรรลุสภาวะ นั่นก็คือการมอบคำถามให้นางคำถามหนึ่ง
คำถามนี้ไม่มีคำตอบที่แท้จริง จนกระทั่งนางไม่สนใจคำชี้แนะของจิ๋งจิ่ว หากแต่เลือกบรรลุสภาวะด้วยตัวเอง คำถามนี้จึงได้รับการคลี่คลายไปโดยปริยาย
นี่หมายความว่าไม่ว่าจะเป็นจิ๋งจิ่วหรือว่านักพรตจิ่งหยางก็ล้วนแต่ไม่สามารถมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของนางได้
ตัวนางที่เกิดในหิมะที่ตกโปรยปรายลงมาในเมืองเจาเกอ ตัวนางที่บำเพ็ญเพียรอย่างเงียบๆ อยู่บนยอดเขากระบี่ล้วนแต่อยู่ภายใต้เงาของจิ่งหยาง จนกระทั่งในตอนนี้ นางมิได้สนใจความต้องการของจิ่งหยางอีก หากแต่ตัดผมยาวที่เขาชื่นชอบทิ้ง พยายามฝืนบรรลุสภาวะ นางถึงได้กลายเป็นตัวนางที่แท้จริง
เจ้าล่าเยวี่ยก็ควรจะมีผมสั้นที่ยุ่งเหยิง ควรจะก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างไม่หวาดกลัว ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
นี่ก็คือคำตอบที่จิ๋งจิ่วอยากจะให้นางหาเจอ
เจ้าล่าเยวี่ยมองหลิ่วสือซุ่ย ในใจครุ่นคิดว่าแล้วต่อไปเจ้าจะเลือกเส้นทางแบบไหนกัน?
หลิ่วสือซุ่ยไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ แล้วก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องที่ว่าตนเองควรจะเลือกเส้นทางแบบไหนมาก่อน เขาสบตานาง กล่าวอย่างกังวลใจว่า “หากคุณชายไม่ตื่นขึ้นมา หรือไม่ก็ยันต์เซียนระเบิดขึ้นมาจริงๆ อย่างนั้นจะทำอย่างไร?”
เจ้าล่าเยวี่ยครุ่นคิดอย่างจริงจัง กล่าวว่า “ข้าจะคิดเสียว่าเรื่องนี้และในช่วงเวลาหลายปีมานี้ไม่เคยเกิดขึ้น”
หลิ่วสือซุ่ยนิ่งเงียบไปครู่ กล่าวว่า “ข้าอาจจะทำไม่ได้”
เจ้าล่าเยวี่ยพลันถามขึ้นมาว่า “ตอนนั้นที่เขาไปที่หมู่บ้านของพวกเจ้า ทำไมเขาถึงไปอยู่ที่บ้านของเจ้า?”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าว “ภายหลังข้าเคยถามคุณชาย คุณชายบอกว่าพอเห็นข้าก็มองออกว่าข้าหน่วยก้านไม่ธรรมดา พรสวรรค์โดดเด่น...”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “น่าสนใจ”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าวถาม “น่าสนใจตรงไหน?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “บอกไม่ถูก”
ภายในห้องฌานไป๋ซานเงียบสงัด
ฮ่องเต้ยืนอยู่หน้าพระพุทธรูป นิ่งเงียบไม่กล่าวอะไร ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
จัวหรูซุ่ยยังคงดูดซับพลังเซียนที่ไหลออกมาจากร่องนิ้วของจิ๋วจิ่วอย่างละโมบ ถึงแม้จะอยู่ในสภาพหลับตาทำสมาธิ แต่มุมปากของเขาก็ยกขึ้นมาไม่หยุด ดูดีใจเป็นอย่างมาก
เจ้าล่าเยวี่ยและหลิ่วสือซุ่ยเหมือนพยายามหาประเด็นมาพูดคุยกัน การสนทนามิค่อยลื่นไหลเท่าไร หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นอาจจะรู้สึกกระอักกระอ่วน แต่พวกเขากลับรู้สึกเป็นธรรมชาติอย่างมาก จะว่าไปแล้วนี่เป็นการพูดคุยเรื่อยเปื่อยครั้งแรกของพวกเขา เพียงแค่นี้ก็น่าสนใจมากพอแล้ว
……
……
เสี่ยวเหอยืนอยู่ด้านนอกประตูวัด มองดูสมณะต้อนรับแขกผู้นั้น คิดอยากจะเข้าไปสอบถาม แต่ก็รู้สึกลังเล
พวกเขาอาศัยอยู่ในสวนผักมาหลายปี คุ้นหน้าคุ้นตากับสมณะภายในวัด ปกติจะเข้าไปในวัดนั้นเป็นเรื่องง่าย แต่วันนี้วัดกั่วเฉิงเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น กระทั่งคุณนายของพวกขุนนางที่จะเข้าไปไหวพระก็ยังถูกกันเอาไว้ด้านนอก นางเองก็เช่นเดียวกัน
ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินผ่านนางไป ก้าวไปทางประตูวัด
เสี่ยวเหอจำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร จึงรู้สึกตกใจเล็กน้อย
คนผู้นั้นสะพายหมวกลี่เม่าเอาไว้ด้านหลัง เทียบกับหมวกลี่เม่าปกติแล้วมีขนาดค่อนข้างใหญ่กว่า ขนคิ้วของเขาเทียบกับคนธรรมดาทั่วไปแล้วค่อนข้างบางกว่า
………………………………………………………………
[1]ซานซุ่ย แปลว่า สามขวบ
[2]ต้าสู่ หมายถึง ช่วงที่ร้อนที่สุด