มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 2 เจรจา
ในชิงซานย่อมไม่มีหน้าร้อนอันแสนทรมาน ริมธารมีลมเย็นสบายพัดโชย
ไป๋เจ่ายืนอยู่ริมหน้าต่างมองดูหลิ่วสือซุ่ยอย่างเงียบๆ
หลิ่วสือซุ่ยคิดในใจว่าเหตุใดใบหน้าที่บอบบางและสายตาที่เงียบสงบเช่นนี้ถึงมารวมอยู่ในตัวคนคนเดียวได้?
จากนั้นเขาก็คิดถึงข่าวลือที่ได้ยินมาจากในเมือง ในใจพึมพำขึ้นมา หากเป็นอย่างที่ลือกันจริง นางผู้นี้ก็จะเป็นฮูหยินของคุณชายในอนาคตของตัวเอง?
เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ สีหน้าเขาจึงระมัดระวังขึ้นมา ก่อนกล่าวถามว่า “ไม่ทราบว่าเจ้ามาหาข้ามีธุระอะไร?”
ไป๋เจ่าเองก็รู้สึกใครรู้ในตัวเขาเช่นเดียวกัน
เมื่อสิบกว่าปีก่อน ในตอนที่กั้วหนานซานและศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างคนอื่นๆ เสนอชื่อเขาขึ้นมา นางรู้สึกไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดพวกเขาถึงได้เชื่อมั่นในตัวเด็กหนุ่มที่เพิ่งจะเข้ามาในสำนักชิงซานคนนี้อย่างมาก คิดว่าเขาจะสามารถบรรลุภารกิจอันแสนยากลำบากนี้ได้
แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นได้พิสูจน์ให้เห็นถึงสายตาอันเฉียบคมของกั้วหนานซานและคนอื่นๆ หลิ่วสือซุ่ยหลอกทั้งโลกได้สำเร็จ เข้าไปในปู้เหล่าหลิน เอาหลักฐานที่สำคัญที่สุดออกมา
ในระหว่างนี้ได้เกิดเรื่องราวเรื่องหนึ่งขึ้น หลิ่วสือซุ่ยหยิบยืมแผนการนี้สังหารลั่วไหวหนานที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่ของนาง
ไป๋เจ่าไม่เข้าใจว่าหลิ่วสือซุ่ยเป็นคนอย่างไรกันแน่
นางมองหลิ่วสือซุ่ยพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ได้ยินว่าจิ๋งจิ่วรักเจ้ามาก ถึงขนาดมีคนบอกว่าหากเจ้าไม่เข้าร่วมกับพวกเรา ตอนนี้น่าจะเป็นศิษย์พี่ใหญ่อยู่ที่ยอดเขาเสินม่อแล้ว”
หลิ่วสือซุ่ยนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ข้าเป็นศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่าง แต่ว่าคุณชายน่าจะไม่ถือสาอะไร”
ไป๋เจ่ากล่าว “เรื่องของลั่วไหวหนาน ข้าคุยกับทางยอดเขาเหลี่ยงว่างให้แล้ว พวกเขาน่าจะไม่มาไล่ถามอะไรเจ้าอีกแล้วล่ะ”
หลิ่วสือซุ่ยค่อนข้างตกใจ เขาคิดไม่ถึงว่าเรื่องที่อาจจะกลายเป็นปัญหารุมเร้าตัวเองเรื่องนี้จะคลี่คลายได้อย่างง่ายดายขนาดนี้
ตามที่เขาคิดเอาไว้ สำนักจงโจวไม่มีทางยอมรับปัญหาของลั่วไหวหนานง่ายๆ — ลั่วไหวหนานเป็นศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักจงโจว กระทั่งตายไปแล้วก็ยังมีชื่อเสียงบารมีอย่างมาก หากให้คนทั้งโลกล่วงรู้โฉมหน้าที่แท้จริงของเขา ชื่อเสียงของสำนักจงโจวจะต้องได้รับผลกระทบอย่างมากแน่นอน
“แต่ตอนนี้ยังเปิดเผยความจริงของเรื่องนี้ออกไปให้โลกภายนอกรู้ไม่ได้”
ไป๋เจ่ามองเขาพลางกล่าว สีหน้ารู้สึกผิด
หลิ่วสือซุ่ยคิดในใจ เป็นอย่างที่คิดจริงด้วย
เขามิใช่เด็กหนุ่มที่นิสัยใสซื่อและดื้อรั้นที่เพิ่งออกมาจากหมู่บ้านคนนั้นแล้ว
แรงกดดันที่แบกรับเอาไว้เป็นเวลาสิบกว่าปีคล้ายกับบึงโคลนอันมืดมิดที่ยากจะหายใจได้ ทำให้เขาเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
ชื่อเสียงสำนักจงโจวจะมาให้ศิษย์ชิงซานอย่างเขาแบกรับเอาไว้ได้อย่างไร?
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่มองดูไป๋เจ่าอย่างเงียบๆ
ไป๋เจ่ากล่าวว่า “พวกเราจะชดเชยให้เจ้ามากพอแน่นอน”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าว “คำว่ามากพอนั้นข้าจะเป็นคนตัดสินเอง ต้องใช้เวลาอีกกี่ปี?”
ไป๋เจ่ากล่าว “อย่างมากสิบปี”
หลิ่วสือซุ่ยครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “ข้าจะไม่ปิดบังอาจารย์ของข้า เรื่องนี้จะต้องได้รับการเห็นชอบจากอาจารย์ด้วย”
ไป๋เจ่ารู้ว่าในบรรดาอาจารย์ที่เขาพูดถึงนั้นรวมไปถึงจิ๋งจิ่วด้วย เผลอๆ คนที่สำคัญที่สุดก็อาจจะเป็นจิ๋งจิ่ว
“ข้าจะไปถามความเห็นเขาที่ยอดเขาเสินม่อ”
นางกล่าว
หลิ่วสือซุ่ยสีหน้าคล้ายลังเลเล็กน้อย กล่าวถามว่า “เจ้าอยากจะแต่งงานกับ…”
ไป๋เจ่ากล่าวเสียงเรียบเฉย “ถูกต้อง ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นเพียงแค่ข่าวลือ แต่ข่าวลือนี้ก็เป็นความจริง”
หลิ่วสือซุ่ยคิดในใจว่าช่างสุดยอดจริงๆ จากนั้นก็คิดถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมา เขามองนางพลางกล่าวอย่างเห็นใจ “เจ้าไม่มีโอกาสหรอก คุณชายไม่มีทางพาใครไปด้วย”
คำพูดประโยคนี้มีความหมายลึกซึ้ง แต่กลับเข้าใจได้ง่าย
ไป๋เจ่านิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “หากวันนั้นมาถึงจริงๆ เจ้าจะไม่ผิดหวัง?”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าวว่า “หนทางสู่สวรรค์ แต่ไหนแต่ไรมาล้วนแต่ต้องเดินทางคนเดียว อีกอย่างทำไมคุณชายจะต้องพาพวกเราเดินไปด้วย เขาไม่ได้ติดค้างอะไรพวกเราเสียหน่อย”
……
……
ทั้งสองคนออกมาจากห้องเรียน มายังริมธาร
ศิษย์จากยอดเขาต่างๆ พากันแยกย้ายกลับไป เหลือแต่เพียงพวกกั้วหนานซาน กู้หานและคนอื่นๆ
หลินอู๋จือคาดเดาได้ว่าพวกเขามีเรื่องสำคัญจะพูดคุยกัน จึงส่งสายตาบอกให้เสี่ยวเหออย่าตามเข้าไป
เมื่อทราบถึงข้อตกลงระหว่างไป๋เจ่าและหลิ่วสือซุ่ย กั้วหนานซานและคนอื่นๆ มิได้กล่าวอะไร แต่กู้หานกลับขมวดคิ้วขึ้นมา
“แบบนี้ ศิษย์น้องหลิ่วก็ยังต้องแบกชื่อของฆาตกรต่อไปอีก หากมีคนใช้เรื่องนี้มาสร้างความลำบากให้เขา หรือพยายามจะทำร้ายเขาจะทำอย่างไร?”
“ข้าเชื่อว่าในชิงซานไม่มีใครสามารถทำร้ายเขาได้แน่ ส่วนนอกชิงซานนั้นสำนักจงโจวของข้าจะเป็นคนจัดการเอง”
ครั้นกล่าวจบประโยคนี้ไป๋เจ่าก็บอกลาไป ดูมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นชิงซานหรือว่าจงโจว ความจริงก็เป็นเช่นนี้ ในช่วงเวลาหลายปีหลังจากนี้ เรื่องที่หลิ่วสือซุ่ยสังหารลั่วไหวหนานจะไม่มีความวุ่นวายอะไรเกิดขึ้นมาอีก พวกเลือดร้อนหรือพวกที่วางแผนชั่วที่ปรากฏขึ้นมาเป็นบางครั้งบางคราวก็จะถูกทางเขาอวิ๋นเมิ่งกำราบเอาไว้อย่างเงียบๆ เรื่องแบบนี้เมื่อเกิดขึ้นบ่อยครั้ง โลกแห่งการบำเพ็ญพรตก็จะค่อยๆ คาดเดาอะไรบางอย่างได้ ส่วนชื่อเสียงของหลิ่วสือซุ่ยเองก็จะค่อยๆ ดีขึ้น
“คิดไม่ถึงว่าสหายไห่หนานที่อนาคตสดใส สุดท้ายกลับข้ามไม่พ้นด่านนี้”
กั้วหนานซานคิดถึงสหายผู้นั้นที่ตายไป อารมณ์ค่อนข้างสับสน
กู้หานมองหลิ่วสือซุ่ยที่นิ่งเงียบ ก่อนกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องรู้สึกกดดันอะไร ในเมื่อเขาทำชั่ว เขาก็ต้องได้รับผลกรรม เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด”
กั้วหนานซานได้สติขึ้นมา กล่าวกับหลิ่วสือซุ่ยว่า “ถูกต้อง กำจัดความชั่วคือวิถีกระบี่ของศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างของเรา”
“แต่ข้ากลับไม่ได้มองเช่นนี้ ไป๋เจ่าและอาจารย์อาจิ๋งจิ่วไม่เป็นอะไร แต่ลั่วไหวหนานกลับถูกเจ้าฆ่าตาย ตอนนั้นทำเอาพวกข้าที่คิดว่าตัวเองล่วงรู้เบื้องลึกเบื้องหลังวุ่นวายแทบแย่ ตอนนี้จะไม่สนใจเรื่องนี้ก็แล้วแต่ แต่ปีศาจจิ้งจอกตัวนี้มันอะไรกัน?”
เจี่ยนหรูอวิ๋นจ้องมองดวงตาของหลิ่วสือซุ่ย ชี้ไปยังเสี่ยวเหอที่อยู่หน้าหอกระบี่พลางกล่าว “เจ้าตามพวกข้ากลับไปที่ยอดเขาก่อน พวกข้ายังมีอีกเรื่องหนึ่งอยากจะถามเจ้า”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ สีหน้าของกู้หานดูค่อนข้างแย่ขึ้นมา ดวงตาของหม่าหวาก็หรี่เล็กอย่างมาก แอบสังเกตดูปฏิกิริยาของหลิ่วสือซุ่ยอย่างเงียบๆ
ยังมีอีกเรื่อง? เรื่องอะไร? หลิ่วสือซุ่ยพลันรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอย่างรุนแรง จึงกล่าวอย่างไม่ลังเลว่า “ข้าจะไปหาคุณชายที่ยอดเขาเสินม่อก่อน”
กู้หานรู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์ กล่าวตะคอกว่า “เจ้าเป็นศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่าง มีอย่างที่ไหนกลับมาสำนักแล้วไปยังยอดเขาอื่นก่อน กลัวอะไร? มีข้าอยู่ หรือยังจะมีใครกล้ามารังแกเจ้าอีก”
กั้วหนานซานนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ไปหาอาจารย์อาจิ๋งก่อนก็ดี พวกเจ้าเองก็ไม่ได้เจอกันมานานหลายปีแล้ว”
จากนั้นเขาจึงกล่าวยิ้มๆ “เจ้าไม่รู้อะไร ตอนนั้นหลังเจ้าไปแล้ว เขาโกรธอย่างมากเลยล่ะ”
……
……
หลิ่วสือซุ่ยพาเสี่ยวเหอขึ้นไปยังยอดเขาเสินม่อ
การไม่ขี่กระบี่นั้นแสดงถึงความเคารพ เหมือนอย่างกั้วหนานซานได้อดีต ขณะเดียวกันเขาก็อยากจะมีเวลามากหน่อย เพื่อเตรียมตัวเตรียมใจ
เสี่ยวเหอถาม “อาจารย์เซียนจิ๋งจิ่วผู้นั้นเป็นคนอย่างไรกันแน่?”
หลิ่วสือซุ่ยครุ่นคิดพลางกล่าวว่า “เขาขี้เกียจอย่างมาก”
เสี่ยวเหอกล่าว “แล้วก็?”
หลิ่วสือซุ่ยใช้ความเงียบในการตอบ ไม่มีแล้วก็
เสี่ยวเหอกล่าวอย่างไม่เข้าใจ “เขามีชื่อเสียงในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตมากขนาดนี้ จะเป็นไปได้อย่างไรที่มีจุดเด่นอันนี้เพียงอย่างเดียว ไหนเจ้าบอกว่าสนิทกับเขามิใช่หรือ?”
หลิ่วสือซุ่ยปวดใจเล็กน้อย กล่าวว่า “ความจริงข้าเองก็ไม่ได้เจอเขามาหลายปีแล้ว”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เสี่ยวเหอพลันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจขึ้นมา
เดิมนางคิดว่าหลิ่วสือซุ่ยเป็นผู้ทำความดีความชอบอย่างใหญ่หลวงให้ชิงซาน หลังกลับมาแล้วจะต้องได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นและได้รับรางวัล ในสถานการณ์แบบนั้น หากเขาจะให้ตนเองมาหลบอยู่ที่นี่ก็มิใช่เรื่องยากลำบากอะไร
ปัญหาคือหลังมาถึงชิงซาน การต้อนรับอย่างอบอุ่นมีแล้ว แต่การมอบรางวัลกลับไม่รู้จัดขึ้นที่ไหน ที่สำคัญที่สุดก็คือบรรยากาศการสนทนาตอนที่อยู่ริมธารก่อนหน้านี้มันค่อนข้างแปลก
ที่นางถามถึงจิ๋งจิ่ว เพราะอยากดูว่าสามารถเตรียมทางหนีทีไล่ใหม่เอาไว้ล่วงหน้าได้หรือไม่
ตอนที่อยู่นอกห้องเรียนของหอสี่เจี้ยน หลินอู๋จือได้เล่าเรื่องบางเรื่องของจิ๋งจิ่วให้นางฟัง
หากทุกเรื่องเจ้าล่าเยวี่ยล้วนแต่รับฟังจิ๋งจิ่ว เช่นนั้นก็เท่ากับว่าจิ๋งจิ่วมีอำนาจของเจ้าแห่งยอดเขาเสินม่ออยู่ในมือ ดังนั้นเขาย่อมต้องเป็นคนสำคัญในชิงซาน
ถ้าหากนางสามารถไต่ขึ้นไปหาจิ๋งจิ่วผ่านทางหลิ่วสือซุ่ยได้ อย่างนั้นยังจะมีอะไรให้ต้องกังวลอีก
แต่ตอนนี้ดูแล้ว พวกเขาไม่ได้เจอกันมานานหลายปีแล้ว สัมพันธ์ในอดีตยังจะหลงเหลืออยู่เท่าไร?
ส่วนเรื่องที่จิ๋งจิ่วเคยรับปากนางเอาไว้ตอนที่อยู่ในศาลเจ้าเทพทะเลตอนนั้น นางลืมไปหมดแล้ว แม้นจะยังจำได้ แต่นางจะไปกล้าคาดหวังในเรื่องนี้ได้อย่างไร
เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่สบายใจของนาง หลิ่วสือซุ่ยจึงรู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่ จึงยิ้มพลางกล่าว “คุณชายจะต้องช่วยพวกเราแน่นอน”
จากนั้นเขาคิดถึงคำพูดของศิษย์พี่ใหญ่ตอนอยู่ตรงริมธาร หน้าอกพลันรู้สึกอบอุ่น ฝีเท้ายิ่งเร่งความเร็ว
……………………..