มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 21 ปลูกผัก
น่าจะเป็นเพราะได้รับการมอบหมายจากฉานจึ วัดกั่วเฉิงจึงจัดการเรื่องราวหลังจากนั้นได้อย่างเหมาะสมและเป็นความลับ
สมณะที่ทำหน้าที่ต้อนรับแขกที่เคยเจอหลิ่วสือซุ่ยกับเสี่ยวเหอจากมั่วชิวไปอย่างมีความสุข เขาเดินทางไปเป็นสมณะแพทย์อยู่ที่เมืองจวี้เย่ คอยสนับสนุนนิกายเฟิงเตา ภายในวัดกั่วเฉิงนอกจากฉานจึแล้วก็ไม่มีใครล่วงรู้สถานะของหลิ่วสือซุ่ยและเสี่ยวเหอ แม้แต่สมณะที่คอยจัดการเรื่องต่างๆ ภายในวัดซึ่งเป็นคนจัดการเรื่องพวกเขาก็ยังนึกว่าพวกเขาเป็นญาติของหัวหน้าอารามที่อยู่ด้านหลัง
หลิ่วสือซุ่ยไม่ได้ถูกจัดให้เป็นศิษย์ปุถุชน เพราะเช่นนั้นมันจะสะดุดตามากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นเสี่ยวเหอจะทำอย่างไร? บังเอิญมีสองสามีภรรยาที่ปลูกผักอยู่ในสวนด้านหน้าวัดกั่วเฉิงมาสามสิบปีถูกลูกชายที่สอบเป็นขุนนางได้สำเร็จพาไปอยู่ที่อำเภอด้วยกัน สวนผักแห่งนั้นเลยว่างลง จึงให้เขาและเสี่ยวเหอเข้าไปรับช่วงต่อได้พอดี
สภาพแวดล้อมที่เรียบง่าย โชคดีที่มีบ่อน้ำ จึงไม่จำเป็นต้องไปตักน้ำ ภายในห้องครัวก็สะอาดสะอ้าน เสี่ยวเหอค่อนข้างพอใจ
เสี่ยวเหอมองดูทิวทัศน์ที่เป็นสีเขียวที่อยู่ตรงหน้า ในใจครุ่นคิดว่าสมแล้วที่เป็นวัดกั่วเฉิงที่มีธรรมะคอยปกป้อง แม้นจะเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้วก็ยังมีผักเยอะขนาดนี้
สำหรับเขาแล้ว การที่ต้องกลับมาใช้ชีวิตทำการเกษตรเหมือนตอนอยู่ในหมู่บ้านนั้นมิใช่เรื่องยากลำบากอะไร สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกทุกข์ใจจริงๆ ก็คือคัมภีร์ฌานที่ฉานจึมอบให้เขานั้นมันลึกซึ้งยากที่จะเข้าใจได้จริงๆ อีกทั้งฉานจึยังพูดเอาไว้ชัดเจนว่าคัมภีร์นี้เขาต้องทำความเข้าใจมันด้วยตัวเอง และถึงต่อให้เขาอยากจะไปหาคนมาช่วยสอน เขาจะไปหาใครได้?
รุ่งเช้าวันที่สองมีคนมาหา
คนผู้นั้นคือชายหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาดูดีคนหนึ่ง รอยยิ้มสะอาดสะอ้าน
แวบแรกที่หลิ่วสือซุ่ยได้เห็นชายหนุ่มผู้นั้นก็รู้สึกได้ถึงความใกล้ชิด มิรู้เป็นเพราะเหตุใด
แต่ชายหนุ่มผู้นั้นกลับตะลึงงันในแวบแรกที่เห็นเขา
หลิ่วสือซุ่ยมองดูตะกร้าใบใหญ่ที่ชายหนุ่มผู้นั้นนำมาด้วย จึงคาดเดาได้ว่าเขาเป็นนักการในวัดกั่วเฉิงที่มาเอาผัก จึงกล่าวถามว่า “ทำไมหรือ?”
ชายหนุ่มผู้นั้นได้สติขึ้นมา จึงยิ้มพลางกล่าว “ก็แค่เห็นว่าจู่ๆ ลุงกังกลายเป็นชายหนุ่มอย่างเจ้า ข้าเลยนึกว่าเขากินยาวิเศษอะไรเข้าไป”
หลิ่วสือซุ่ยหัวเราะขึ้นมา ก่อนจะช่วยเขาเก็บผักจากในสวนมาใส่ตะกร้า พลางกล่าวถามว่า “ท่านชื่ออะไร?”
ชายหนุ่มยิ้มพลางกล่าวว่า “ข้าชื่ออินฝู”
……
……
วันเวลาผ่านไปเช่นนี้
ทุกวันนอกจากคอยดูแลแปลงผัก หลิ่วสือซุ่ยก็จะทำความเข้าใจคัมภีร์ผืนนั้น เพียงแต่ก้าวหน้าไปได้อย่างเชื่องช้า ส่วนเสี่ยวเหอก็จะนั่งเย็บปักถักร้อยอยู่ตรงข้างหน้าต่างอย่างเงียบๆ ด้วยความเร็วเช่นนี้ กว่าหลิ่วสือซุ่ยจะเรียนรู้คัมภีร์นั้นได้ เสี่ยวเหอก็คงเย็บชุดเจ้าสาวของหลาวสาวออกมาได้แล้ว
ทุกวันชายหนุ่มที่ชื่ออินฝูผู้นั้นจะมาเก็บผักที่สวน จึงสนิทสนมกับหลิ่วสือซุ่ยอย่างรวดเร็ว
ในวันหนึ่งมีกั๋วกงผู้หนึ่งเดินทางมาจากเมืองเจาเกอ ว่ากันว่าเขามาแก้บนแทนฮ่องเต้
วัดกั่วเฉิงและราชวงศ์ตระกูลจิ่งมีความใกล้ชิดสนิทสนม เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเป็นประจำ ทุกปีจะมีกั๋วกงสามสี่คนเดินทางมาที่วัด พระในวัดต่างเคยชิน จึงมิได้ใส่ใจอะไร แต่พวกขุนนางและผู้ที่มีตำแหน่งสูงศักดิ์บางคนที่ติดตามมาด้วยอยากจะลิ้มรสอาหารเจอันเลื่องชื่อของวัดกั่วเฉิง ปริมาณผักที่ต้องใช้ย่อมต้องมากกว่าปกติ
เมื่อเห็นผักที่วางเต็มตะกร้าสองสามตะกร้า หลิ่วสือซุ่ยจึงช่วยอินฝูขนผักเข้ามาในวัด
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้ามาในครัวของวัดกั่วเฉิง
ไอน้ำภายในครัวพวยพุ่ง ชายชราคนหนึ่งยืนถอดเสื้ออยู่หน้าเตา ออกแรงสะบัดตะหลิว
ชายชราผู้นั้นเส้นผมเบาบาง ไม่รู้ว่าเป็นพระที่ทำงานอยู่ในวัดหรือว่าเป็นพ่อครัวที่วัดเลี้ยงดูเอาไว้
ชายชราหยิบเอาผ้าสีเทามาคอยเช่นหน้าเป็นระยะ ไม่รู้ว่าเช็ดมากเกินไปหรือว่าอากาศร้อนเกินไป จมูกของเขาจึงดูแดงอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อได้ยินเสียงจากด้านหลัง ชายชราจึงกล่าวโดยไม่เหลียวหน้ากลับมา “ผักวางเอาไว้ที่เดิมเลย”
อินฝูกล่าว “ท่านดูหน่อยดีกว่า ข้าจะได้ไม่วางผิด”
ชายชรารู้สึกแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด จึงหมุนตัวกลับมาก่อนจะเห็นหลิ่วสือซุ่ย จากนั้นเบิ่งตาโตพลางส่งเสียงร้องออกมา
หลิ่วสือซุ่ยตกใจพลางกล่าวถามว่า “ทำไมหรือ?”
อินฝูเอียงหน้ามองชายชราผู้นั้น อมยิ้มมิกล่าวกระไร
ชายชราผู้นั้นรีบบอกว่า “ไม่มีอะไรๆ วันนี้น้ำมันเยอะไปหน่อย เลยถูกน้ำมันกระเด็นใส่น่ะ”
……
……
ตกกลางคืน
ภายในห้องพักด้านหลังวัดกั่วเฉิง
ชายชราจมูกแดงผู้นั้นจ้องมองชายหนุ่มพลางกล่าว “ที่แท้ท่านนักพรตจะมาหาเขานี่เอง!”
ชายหนุ่มทำหน้าเหมือนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ พลางกล่าวว่า “สาบานด้วยชื่อเสียงของปรมาจารย์รุ่นก่อนๆ ของชิงซานเลย นี่เป็นเรื่องบังเอิญ!”
เขาย่อมมิใช่อินฝู หากแต่เป็นอินซาน
ชายชราที่จมูกแดงผู้นี้ก็ย่อมมิใช่พระในวัดกั่วเฉิง หากแต่เป็นปรมาจารย์สำนักเสวียนอิน
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินกล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “อย่างนั้นทำไมเจ้าต้องมาที่นี่ด้วย?”
อินซานถอนใจ “ชีวิตนี้ของข้าทำบาปทำกรรมไว้มาก ข้าก็หวังจะให้ธรรมะช่วยปลดปล่อยข้าจากบาปกรรมที่ผ่านมา”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินถ่มน้ำลาย “ข้าไม่เคยรู้เลยว่าคำพูดประโยคไหนของเจ้าจริงประโยคไหนโกหก แต่ประโยคนี้จะต้องโกหกอย่างแน่นอน!”
อินซานยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “บางทีอาจจะเป็นจริงก็ได้นะ?”
“ถ้าเป็นที่อื่นก็ว่าไปอย่าง แต่ที่นี่มันวัดกั่วเฉิงนะ ผูกพันกับธรรมะอย่างลึกซึ้ง มิได้อ่อนแอไปกว่าข้าเลย แล้วก็ยังมีฉานจึที่ไม่รู้ว่าฝีมือสูงส่งเพียงใดอีก….”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินกล่าวอย่างจริงจังว่า “หากถูกพบเข้าจะทำอย่างไร? ข้าหนีได้ แต่เจ้าจะหนีอย่างไร?”
อินซานยิ่งยิ้มกว้าง พลางกล่าวว่า “ข้าหนีไม่ได้ เช่นนั้นเจ้าก็แย่แน่”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินยิ้มเจื่อนพลางกล่าว “ข้าถึงได้กังวลใจไง”
อินซานไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีก เขาเดินไปยังริมหน้าต่าง ทอดตามองออกไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนพลางกล่าวว่า “เมื่อก่อนข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าข้าชอบหลิ่วสือซุ่ย”
ด้านหน้าวัดในเมืองไป๋เฉิงแห่งนั้นเขียนเอาไว้อย่างชัดเจน
ขอพระขอเจ้าขอตัวเอง
ไม่ว่าจะขอพระหรือขอเจ้า สุดท้ายก็คือการขอตัวเอง
บางทีสิ่งที่เขาต้องการ อาจจะอยู่ที่ตัวหลิ่วสือซุ่ยก็ได้ ไม่อย่างนั้นเหตุใดถึงมาเจอกันในวัด?
เขาคิดถึงปัญหาเหล่านี้ สองมือไพล่อยู่ด้านหลัง ค่อยๆ ถูขลุ่ยกระดูกนั้นเบาๆ
ขลุ่ยกระดูกนั้นนับวันจะยิ่งเป็นมันวาวขึ้นทุกที เส้นสีแดงเล็กๆ นั้นยิ่งชัดเจนขึ้นทุกวัน
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินมองดูอยู่ข้างหลัง เขาหรี่ตาพลางครุ่นคิด หรือว่าขลุ่ยกระดูกนี้จะเป็นสิ่งที่เขาเอาไว้ใช้ตัดขาดออกจากข่ายพลังชิงซานและเชื่อมต่อกับดวงจิต
หากตนเองแย่งเอาขลุ่ยกระบี่นี้มา หรือว่าทำลายมัน…เช่นนั้นจะเกิดอะไรขึ้น?
“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?”
อินซานพลันหมุนตัวมองมาที่เขา
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินสีหน้ามิเปลี่ยนแปลง ดวงตาเขายังคงหรี่อยู่ พลางกล่าวว่า “เจ้าเอาแต่บอกว่านั่นเป็นชิงซานของเจ้า เจี่ยนหรูซานเองก็เป็นศิษย์สำนักเจ้า เหตุใดต้องฆ่าเขา?”
อินซานยิ้มพลางกล่าว “ศิษย์ชิงซานที่ตายด้วยมือข้า มีมากกว่าคนที่เจ้าฆ่ามากนัก ”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินกล่าวชมเชยว่า “ศัตรูของชิงซานที่เจ้าฆ่าตายไปมีจำนวนมากกว่า”
อินซานโบกมือ กล่าวว่า “กระบี่พรหมจรรย์ยังหาไม่เจอ ศพของซูจึเย่ก็ยังหาไม่เจอ เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินสีหน้ายังไม่เปลี่ยน แต่ในใจกลับรู้สึกหวาดผวาเป็นอย่างมาก
สภาวะของอินซานในตอนนี้ยังต่ำต้อย มีหลายเรื่องที่จำเป็นต้องพึ่งพาเขา
ข้อมูลที่เป็นความลับขนาดนี้เขายังไม่รู้ เหตุใดอินซานกลับรู้อย่างชัดเจน?
หรือว่าในตอนที่ตนเองมิได้สังเกต เขาจะแอบไปติดต่อกับพวกที่เหลือ…หรือก็คือพวกที่แข็งแกร่งที่สุดของปู้เหล่าหลินเหล่านั้น?
เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ เขาจึงตอบอย่างจริงจังว่า “ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น”
……
……
พระกินผัก ดังนั้นรอบๆ วัดจึงมักจะมีสวนผักอยู่เป็นจำนวนมาก
วัดกั่วเฉิงเองก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ในสำนักฌานเป่าทงที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้เองก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
บวบในสวนผักถูกเด็ดไปหมดแล้ว เหลือเพียงแค่บวบที่ทิ้งเอาไว้จนแก่จัดแล้วค่อยเอามาใช้ล้างจาน
ฤดูร้อนผ่านไปแล้ว มะเขือม่วงไม่มีเหลือแล้ว ยังเหลือมะเขือยาวอีกนิดหน่อย
ใบหน้าของซูจึเย่เองก็เปลี่ยนจากสีม่วงเป็นสีเขียว พิษถูกกำจัดออกไปหมดแล้ว เขานอนอยู่ตรงหัวเตียงมองดูเหอจานกับถงเหยียนกำลังปะทะคารมกันอยู่ รู้สึกว่าน่าเบื่อ ในใจครุ่นคิดว่าศิษย์สำนักฝ่ายธรรมะต่างเป็นเช่นนี้กันหมด เหตุใดในอดีตถึงได้เล่นงานสำนักตนเองจนอยู่ในสภาพนี้ได้?
“ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าถงหลูจะทำอย่างไร”
ถงเหยียนนั่งอยู่ริมหน้าต่าง มองดูกระดานหมากล้อมพลางกล่าว
เหอจานเดินมาด้านหลังเขา ก่อนถามอย่างไม่เข้าใจ “อย่างนั้นเหตุใดเจ้าจึงเห็นด้วยที่ให้เขาเอากระบี่พรหมจรรย์กลับไปยังซีไห่?”