มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 24 ผู้ครุ่นคิด
มาตรฐานของขั้นมิประจักษ์คือกระบี่บินสามารถซ่อนอยู่ในโอสถกระบี่ได้
ในเมื่อจิ๋งจิ่วบรรลุขั้นมิประจักษ์แล้ว เหตุใดกระทั่งเรื่องที่เป็นพื้นฐานที่สุดก็ยังทำไม่ได้?
กู้ชิงและหยวนฉวี่ต่างไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องวิธีแก้ไขเลย
อากาศภายในถ้ำพลันหยุดนิ่ง
ยิ่งไปกว่านั้นยังคงอยู่แบบนั้นเป็นเวลาครู่หนึ่ง
จิ๋งจิ่วได้สติขึ้นมา ก่อนกล่าวว่า “คิดเสียว่าข้าไม่ได้พูดแล้วกัน”
กู้ชิงและหยวนฉวี่สบตากัน รู้สึกกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย
เจ้าล่าเยวี่ยออกความคิด
“เก็บตัวบำเพ็ญเพียรแล้วกัน”
นางคิดว่าในอดีต ที่ปรมาจารย์อาจิ่งหยางสามารถบำเพ็ญเพียรจนมีสภาวะสูงส่งถึงเพียงนั้นได้ เป็นเพราะว่าเขามักจะเก็บตัวบำเพ็ญเพียรบนยอดเขาเสินม่อเป็นประจำ อีกทั้งเก็บตัวครั้งหนึ่งก็เป็นเวลาร้อยปี
ไหนเลยจะเหมือนตอนนี้…ถึงแม้เจ้าจะยังเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่ง แต่หลายปีมานี้เหตุใดถึงได้เกียจคร้านถึงเพียงนี้ บำเพ็ญเพียรเองก็มิได้ตั้งใจเลย
ความจริงแล้วนี่เป็นความเข้าใจผิด
ไม่ว่าจะเป็นชีวิตก่อนนี้หรือว่าชีวิตในตอนนี้ จิ๋งจิ่วล้วนแต่ไม่เห็นด้วยกับการเก็บตัวบำเพ็ญเพียรที่พบเห็นได้บ่อยๆ ในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต
ที่เขาไม่ค่อยออกไปจากยอดเขาเสินม่อ บอกกับโลกภายนอกว่าจะเก็บตัวร้อยปี หลักๆ แล้วเป็นเพราะไม่อยากเจอคนอื่น ไม่อยากสนใจเรื่องวุ่นวาย
ตามความคิดเขาแล้ว มีแต่ตอนที่บำเพ็ญเพียรถึงช่วงที่สำคัญที่สุดซึ่งไม่อาจถูกคนรบกวนได้เท่านั้น ถึงจะจำเป็นต้องเก็บตัวเพื่อตัดขาดกับโลกภายนอกและมุ่งสู่การบรรลุสภาวะ ส่วนการบำเพ็ญเพียรในเวลาปกตินั้นก็แค่ทำสมาธิ ดูดซับพลังวิญญาณในธรรมชาติ รับรู้ถึงหลักการของฟ้าดิน เหตุใดถึงต้องเอาตัวเองไปขังไว้ในถ้ำนานขนาดนั้นด้วย?
ครั้นพูดจบ เจ้าล่าเยวี่ยจึงนึกขึ้นมาได้ว่าจิ๋งจิ่วมิใช่ผู้บำเพ็ญพรตธรรมดา
ปกติผู้บำเพ็ญพรตธรรมดารวมถึงนางด้วย มักจะต้องเก็บตัวอยู่บ่อยครั้ง นอกจากในช่วงเวลาสำคัญที่จะบรรลุสภาวะแล้ว ถึงแม้จะเป็นแค่การบำเพ็ญเพียรในเวลาปกติ หากสามารถมีพื้นที่ส่วนตัวที่เงียบสงบและไม่ถูกรบกวนได้ มันก็ย่อมต้องมีประโยชน์ในการช่วยดูดซับพลังวิญญาณและทำให้ใจแห่งเต๋าบริสุทธิ์
จิ๋งจิ่วไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้
คนบนยอดเขาเสินม่อต่างรู้ว่าต่อให้นอนอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ เขาก็สามารถบำเพ็ญเพียรได้เช่นกัน
ถึงแม้ในหลายๆ ครั้ง บนหัวเขาจะมีแมวนอนอยู่ตัวหนึ่ง บนแมวก็มีจักจั่นนอนอยู่อีกตัวหนึ่ง
เขาคล้ายจะสามารถเข้าสู่สภาวะที่ใจแห่งเต๋ามีความตื่นรู้ได้ตลอดเวลา
เจ้าล่าเยวี่ยถึงขนาดมีความรู้สึกว่าเขาอาจจะอยู่ในสภาวะเช่นนี้ได้ตลอดเวลาก็เป็นได้
นี่ช่างเป็นพรสวรรค์ที่น่ายกย่องและน่าหวาดกลัวทีเดียว
“เช่นนั้นเหตุใดศิษย์พี่จัวหรูซุ่ยแห่งยอดเขาเสินม่อถึงเอาแต่เก็บตัวบำเพ็ญอยู่ตลอดเลยล่ะขอรับ?”
หยวนฉวี่ถามอย่างสงสัย
จัวหรูซุ่ยเป็นศิษย์คนสุดท้ายของเจ้าสำนัก แล้วก็เป็นคนที่มีพรสวรรค์สูงที่สุดก่อนหน้าเจ้าล่าเยวี่ยและหลิ่วสือซุ่ย สถานะในหมู่ศิษย์ชิงซานถือว่าสูงส่งอย่างมาก
ถึงแม้หลายปีมานี้เจ้าล่าเยวี่ยจะกลายเป็นเจ้าแห่งยอดเขาเสินม่อ หลิ่วสือซุ่ยทำเรื่องราวต่างๆ มากมาย แต่มันก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงในจุดนี้ได้
สาเหตุนั้นง่ายมาก นั่นเป็นเพราะว่าเขาเก็บตัวบำเพ็ญเพียรไม่ยอมออกมา
ศิษย์จำนวนมากต่างรู้ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามายังชิงซานว่ายอดเขาเทียนกวงมีศิษย์พี่ที่ชื่อจัวหรูซุ่ยกำลังเก็บตัวบำเพ็ญเพียรอยู่
จนกระทั่งหลายปีหลังจากนั้น ศิษย์พี่จัวผู้นั้นก็ยังเก็บตัวอยู่
อย่าว่าแต่ศิษย์เหล่านั้นเลย กระทั่งเจ้าล่าเยวี่ยกับจิ๋งจิ่วก็ยังไม่เคยเจอจัวหรูซุ่ยมาก่อน
ผู้บำเพ็ญพรตที่เก็บตัวเป็นเวลาหลายสิบปีหรือยาวนานกว่านั้นมีจำนวนไม่น้อย แต่ผู้บำเพ็ญพรตที่เก็บตัวบำเพ็ญเพียรเป็นเวลาสิบกว่าปีตั้งแต่ที่เพิ่งเข้าสำนักมาเหมือนอย่างจัวหรูซุ่ยนั้นมีจำนวนน้อยมาก
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด เมื่อกระทำมันจนถึงที่สุดแล้วก็มักจะดูสุดยอด เมื่อยิ่งเก็บตัวนานวันเข้า จัวหรูซุ่ยก็ยิ่งดูลึกลับ ทำให้คนจับตามอง
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “หากใช้คำพูดที่คนธรรมดาใช้กันมาอธิบาย ที่เขาทำเช่นนั้น ก็เพราะเขากำลังสร้างชื่อเสียงจอมปลอมอยู่”
กู้ชิงเข้าใจความหมายของเขา ยิ้มเล็กน้อยมิกล่าวกระไร
หยวนฉวี่เข้าใจว่าสร้างชื่อเสียงจอมปลอมมันหมายความว่ากระไร แต่เขากลับไม่เข้าใจว่ามีความเกี่ยวข้องอะไรกับการที่จัวหรูซุ่ยเก็บตัวบำเพ็ญเพียร
จิ๋งจิ่วกล่าวถามว่า “ราชสำนักต้องการแต่งตั้งผู้ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งให้มาเป็นขุนนาง ถ้าหากตำแหน่งที่มอบให้ไม่เป็นไปตามที่เขาคาดหวังเอาไว้ เขาจะทำอย่างไร?”
“ย่อมต้องยืนกรานไม่รับตำแหน่ง แบบนี้ชื่อเสียงของเขาก็จะยิ่งมากขึ้น ในอนาคตอาจจะได้รับผลตอบแทนมากกว่า…”
หยวนฉวี่กล่าว “แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจ สำนักชิงซานไม่มีตำแหน่งขุนนาง ศิษย์พี่จัวจะรออะไร?”
“สิ่งที่เขารอก็คือช่วงเวลาหนึ่ง ช่วงเวลาที่เขาสามารถมั่นใจได้ว่าตัวเองเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้บำเพ็ญพรตวัยเยาว์ของสำนักชิงซาน”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าสามารถจินตนาการภาพเหล่านั้นได้ ในช่วงเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา มีหลายครั้งที่เขาบรรลุสภาวะได้สำเร็จ ในขณะที่กำลังดีใจ ทันใดนั้นพลันรู้ว่าในชิงซานมีศิษย์ร่วมสำนักวัยเยาว์ที่บรรลุสภาวะได้เหนือกว่าเขา ในความตกตะลึงจึงได้แต่ต้องกลับเข้าไปในถ้ำใหม่อย่างกลัดกลุ้มใจ”
กู้ชิงและหยวนฉวี่ต่างมองไปยังเจ้าล่าเยวี่ย
สถิติเกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียรจำนวนมากของสำนักชิงซานล้วนแต่อยู่ที่ยอดเขาเสินม่อ หากมิใช่นักพรตจิ่งหยางก็เป็นเจ้าล่าเยวี่ย
จิ๋งจิ่วนั้นหมายถึงเจ้าล่าเยวี่ย
เจ้าล่าเยวี่ยมองเขาพลางกล่าว “คาดเดาศิษย์ร่วมสำนักโดยไร้หลักฐาน ออกจะใจร้ายไปหน่อยนะ”
จิ๋งจิ่วกล่าว “มิใช่คาดเดา เจ้าสำนักรับเขาไว้เป็นศิษย์คนสุดท้าย ย่อมต้องชื่นชอบเขาอย่างมาก และคนเราก็มักจะชื่นชอบคนที่คล้ายตัวเองมากที่สุด”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “แต่ข้าไม่เห็นว่าตัวข้าจะเหมือนกับเจ้าตรงไหน”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ความจริงแล้วคล้ายมาก”
เจ้าล่าเยวี่ยงุนงง กล่าวว่า “วันนี้เจ้า…เหมือนจะพูดมากไปหน่อยนะ”
“เจ้าอยากให้ข้าเก็บตัว อย่างนั้นข้าก็จะเอาคำพูดที่จะพูดหลังจากนี้พูดออกมาให้หมด”
จิ๋งจิ่วมองนางพลางกล่าว “ตอนที่ข้าเก็บตัว เจ้าอย่าปล่อยให้การบำเพ็ญเพียรต้องหยุดชะงัก จะให้เขาก้าวข้ามเจ้าไปไม่ได้”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวอย่างหงุดหงิด “เจ้ากังวลตัวเจ้าเองดีกว่า”
นางเคารพจิ๋งจิ่วอย่างมาก เพียงแต่จงใจทำเป็นเฉยชาเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น แต่ในเวลานี้นางทนไม่ไหวแล้วจริงๆ
……
……
สำหรับผู้บำเพ็ญพรตแล้ว การเก็บตัวย่อมต้องเป็นเรื่องใหญ่
พวกเขาไม่เคยเห็นจิ๋งจิ่วเก็บตัวมาก่อน เคยเห็นแต่เขานอนอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ ดังนั้นพวกเขาย่อมต้องยิ่งระมัดระวัง
เจ้าล่าเยวี่ยเขียนจดหมายกระบี่แจ้งยอดเขาต่างๆ จากนั้นเอากระบี่มิคำนึงเสียบเข้าไปในผาหิน เปิดข่ายพลังปิดกั้นทั่วทั้งยอดเขาเสินม่อเอาไว้
ประตูหินภายในถ้ำค่อยๆ ปิดลง
นางกล่าวกับกู้ชิงและหยวนฉวี่ว่า “เขาเก็บตัวครั้งนี้ไม่รู้ว่าใช้เวลากี่ปี ไม่ต้องคอยเฝ้าอยู่ที่นี่หรอก แยกย้ายกันไปก่อน อีกสองสามวันค่อยมาดูใหม่”
บริเวณหน้าผามีเสียงวานรดังขึ้นมา บนยอดเขาไร้ซึ่งผู้คน
แมวขาวค่อยๆ เยื้องย่างออกมาจากในถ้ำ หรี่ตามองดูดวงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ร่วง สีหน้าดูพึงพอใจอย่างบอกไม่ถูก
ข่ายพลังปิดกั้นของยอดเขาเสินม่อถูกเปิดใช้งาน มันสามารถออกมาอาบแดดได้ทุกเมื่อ ช่างมีความสุขจริงๆ เพียงแต่รู้สึกเสียดายที่ไม่สามารถไปนอนหมอบอยู่บนหัวจิ๋งจิ่วได้อีก
บนพื้นมีควันลอยขึ้นมาพร้อมกับเสียงเสียดสีที่ดังชัดเจน จักจั่นเหมันต์วิ่งออกมา ฟุบหมอบอยู่ข้างกายแมวขาวอย่างระมัดระวัง
……
……
ยอดเขาเสินม่อมีถ้ำอยู่มากมายที่ไม่มีคนใช้
จิ๋งจิ่วเลือกถ้ำแห่งหนึ่งในส่วนลึกของยอดเขาแล้วเดินเข้าไป
การตกแต่งภายในถ้ำเรียบง่าย มีเตียงหินตัวหนึ่ง ไม่มีอาสนะ บนผนังมีน้ำสะอาดไหลลงมา นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรอื่นอีก
เขาไม่ได้ทำมือเป็นสัญลักษณ์ต่างๆ หรือวางข่ายพลังเหมือนที่ผู้บำเพ็ญพรตคนอื่นทำเวลาเก็บตัว หากแต่เดินไปนั่งอยู่บนเตียง ดูค่อนข้างสบายๆ
เขานั่งขัดสมาธิ ร่างกายโน้มเอียงมาข้างหน้าเล็กน้อย ข้อศอกข้างขวาวางลงไปบนหัวเข่า มือขวาเท้าคางเอาไว้ แล้วเริ่มครุ่นคิด
เขาครุ่นคิดไปสิบกว่าวัน
ในระหว่างนี้ เขาไม่ได้ลุกขึ้นแม้แต่ครั้งเดียว ไม่ได้ดื่มน้ำแม้แต่อึกเดียว กระทั่งท่าทางก็มิได้เปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย
หลังเจ้าล่าเยวี่ยและคนอื่นๆ มั่นใจแล้วว่าเขาไม่กลัวการถูกรบกวน จึงแวะมาดูเขาสองครั้ง พวกเขาไม่เข้าใจว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ มีเพียงแค่ความรู้สึกหนึ่ง
จิ๋งจิ่วที่กำลังครุ่นคิด ช่างคล้ายเซียนที่อยู่บนภาพฝาผนังอันเลื่องชื่อของวัดซวงหลิน เป็นความรู้สึกงดงามที่น่าเกรงขามและลี้ลับ
……
……
ในวันหนึ่ง จิ๋งจิ่วลืมตาขึ้นมา มองดูกระบี่เหล็กที่วางอยู่ข้างกาย ความคิดขยับเล็กน้อย
กระบี่บินลอยขึ้นมาอยู่ตรงหน้าเขา
ตามวิธีการบำเพ็ญเพียรของสำนักชิงซานหรือว่าสำนักกระบี่อื่นๆ แล้ว หลังจากบรรลุเข้าสู่สภาวะมิประจักษ์ ขอเพียงขยับความคิด กระบี่บินก็จะหลอมรวมเข้าโอสถกระบี่
ปกติขั้นตอนนี้จะถูกเรียกว่าการเก็บกระบี่
วิธีการเก็บกระบี่ของผู้บำเพ็ญพรตมีหลายวิธี บางคนก็จะทำให้กระบี่บินหายไปเลย บางคนก็จะกลืนกระบี่ลงไป
ยังมีวิธีเก็บกระบี่ที่ค่อนข้างแปลกประหลาดกว่านั้น อย่างเช่นผู้อาวุโสของสำนักกู่เจี้ยนนั้นชื่นชอบเอาโอสถกระบี่ออกมานอกร่างกาย จากนั้นเรียกกระบี่ให้กลับเข้าไปในโอสถกระบี่กลางอากาศ
สำหรับผู้ฝึกกระบี่ขั้นมิประจักษ์แล้ว การเก็บกระบี่ถือเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด
แต่จิ๋งจิ่วกลับทำไม่ได้ ไม่ว่าจะกระตุ้นจิตจำแนกแห่งกระบี่อย่างไร กระบี่เหล็กก็ไม่สามารถเข้าใกล้ร่างกายเขาได้
หากสังเกตดูดีๆ ก็จะพบว่ากระบี่เหล็กคล้ายมีอาการยำเกรง หรือเรียกได้ว่าหวาดกลัว