มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 31 ชักกระบี่
ลู่กั๋วกงรู้ว่าจิ๋งจิ่วมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับฝ่าบาทอย่างมาก เรียกได้ว่าเหนือไปจากที่เขาจินตนาการเอาไว้
ในตอนนั้นจิ๋งจิ่วเข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท วันที่สองฝ่าบาทก็ทรงมีรับสั่งให้พระสนมหูหยุดกินยา และเตรียมจะกำจัดองค์ชายจิ่งซิน
เรื่องนี้ทำให้ลู่กั๋วกงตกตะลึงเป็นอย่างมาก
ใครจะไปคิดบ้างว่าอิทธิพลที่สำนักชิงซานมีต่อวังหลวงจะมากถึงเพียงนี้ เก็บซ่อนเอาไว้ลึกถึงเพียงนี้?
แต่สุดท้ายยังไงสำนักจงโจวก็เป็นสำนักอันดับหนึ่งในแผ่นดิน แม้นอิทธิพลในแผ่นดินทางใต้จะมิเทียบเท่าชิงซาน แต่รากฐานในเมืองเจาเกอกลับมิใช่สิ่งที่ชิงซานจะเทียบได้
ยิ่งไปกว่านั้นเรือนอี้เหมายังแสดงท่าทีที่แข็งกร้าวออกมา….
ฝ่าบาททรงเป็นประมุขของแผ่นดิน หากทรงต้องการให้แผ่นดินสงบสุข เช่นนั้นก็จำเป็นต้องรับฟังความเห็นจากคนส่วนใหญ่ จึงมิอาจตัดสินพระทัยง่ายๆ ได้
ลู่กั๋วกงกังวลว่าจิ๋งจิ่วจะมีอคติต่อฝ่าบาทเพราะเรื่องนี้ ถึงได้จงใจพูดประโยคนั้นออกมา
เขาคิดไม่ถึงว่าจิ๋งจิ่วจะไม่ได้รับคำเขา หากแต่พูดออกมาว่าต้องการพบองค์ชายเล็ก นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
ช่วงเวลากลางดึก ภายในวังเงียบสงัด ลู่กั๋วกงพาจิ๋งจิ่วมาถึงนอกตำหนักของพระสนมหู ไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีอะไรแจ้งเข้าไปในตำหนัก
ไม่มีไฟส่องสว่าง ภายในตำหนักยังคงเงียบเชียบ นางกำนัลอาวุโสคนหนึ่งพาพวกเขาเข้าไปทางประตูด้านข้าง
ลู่กั๋วกงมาถึงหน้าตำหนักก็หยุดฝีเท้า ก้มหน้ามองดูเงาของตัวเองต่อ
เขาไม่แน่ใจว่าบทสนทนาหลังจากนั้นตนเองควรจะฟังหรือเปล่า ในเมื่อจิ๋งจิ่วไม่ได้พูดอะไร เช่นนั้นฟังให้น้อยหน่อยดีกว่า
พระสนทหูนั่งอยู่บนตั่ง ชันเข่าขึ้นมาข้างหนึ่ง ผมสีดำสยายอยู่บนหัวไหล่คล้ายน้ำตก บนเสื้อผ้าเต็มไปด้วยรอยยับ ปกเสื้อเองก็มิได้กลัดให้เรียบร้อย เผยให้เห็นผิวที่ขาวเป็นยองใย
นางนอนหลับไปแล้ว ก่อนจะถูกคนปลุกขึ้นมา บนร่างกายอันอวบอิ่มคล้ายยังมีไออุ่นจากผ้าห่มอยู่ แล้วก็ยังมีอารมณ์หงุดหงิดเล็กน้อยด้วย
“ทำไมสำนักชิงซานของพวกเจ้าถึงชอบมาคุยธุระกลางดึก? ไม่กลัวคนเอาไปนินทาหรือ”
นางมองจิ๋งจิ่วพลางกล่าวอย่างโมโหเล็กน้อย ยังคงดูน่ารักไร้เดียงสา แต่กลับมีความเกียจคร้านและความยั่วเย้าอยู่หลายส่วน ดูแล้วยิ่งน่าหลงใหล
จิ๋งจิ่วมองนางอย่างเงียบๆ มิได้พูดอะไร คล้ายกำลังมองดูภาพวาดอยู่ ราวกับกำลังชื่นชมดื่มด่ำ แล้วก็เหมือนมิได้ใส่ใจ
พระสนมหูมิได้กล่าวกระไรอีก นางมองจิ๋งจิ่วกลับไป มิรู้กำลังคิดสิ่งใดอยู่
หลายปีมานี้ นางเติบโตขึ้นมาก
ความกดดันและอันตรายที่มาจากภายนอก โดยเฉพาะอันตรายที่ลูกของนางอาจจะได้รับ คือวิธีที่ดีที่สุดที่ทำให้ผู้เป็นแม่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อมีอากาศหนาวเย็นบีบคั้น ดอกเหมยจึงเบ่งบาน
พระสนมเหมยที่เคยเป็นที่รักของฝ่าบาทได้ถูกนางหาวิธีกำจัดออกไปจากวังแล้ว
สุดท้ายคนที่ทำลายความเงียบก็คือพระสนมหู เพราะคนที่ต้องการขอความช่วยเหลือก็คือนาง
“ก่อนหน้านี้เจ้าแห่งยอดเขาเจ้าล่าเยวี่ยเคยรับปากว่าจะช่วยข้า”
นางมองจิ๋งจิ่วพลางกล่าวอย่างจริงจัง “คงมิใช่แค่ว่าส่งเนื้อตากแห้งมาให้แล้วก็จบหรอกนะ?”
จริงจังก็เพราะร้อนใจ ร้อนใจก็เพราะหวาดกลัว
หลายปีมานี้ฝ่าบาทดีกับนาง แต่กลุ่มอำนาจที่ยืนอยู่เบื้องหลังจิ่งซินนั้นแข็งแกร่งเกินไปจริงๆ
นางเป็นปีศาจจิ้งจอกที่ถนัดในการล่อลวงจิตใจผู้คน แต่นางไม่สามารถที่จะทำให้ยอดคนแห่งโลกบำเพ็ญพรตที่น่ากลัวเหล่านั้นกลายมาเป็นผู้คุ้มครองของตัวเองได้
นางทำได้แค่เพียงใช้สติปัญญาอันน่าสงสารของตัวเองครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งสิ้นหวัง
ยอดเขาเสินม่อเป็นแค่ยอดเขาหนึ่งในยอดเขาทั้งเก้าของชิงซานเท่านั้น ถึงแม้จะเป็นผู้สืบทอดของนักพรตจิ่งหยาง แต่คนที่อยู่ในยอดเขาก็ล้วนแต่เป็นคนหนุ่มสาว สภาวะและความอาวุโสล้วนแต่ยังไม่มากพอ
พวกเขาจะรับความกดดันจากสำนักจงโจวและเรือนอี้เหมาได้อย่างไร?
อีกหลายสิบปีหลังจากนี้เมื่อจิ่งซินขึ้นครองบัลลังก์ ลูกของนางจะทำอย่างไร?
จิ๋งจิ่วไม่ได้ตอบคำถามของนาง หากแต่กล่าวว่า “ข้าอยากดูเด็กคนนั้นหน่อย”
พระสนมหูลังเลเล็กน้อย หลังครุุ่นคิดอยู่ครู่ก็ให้นางกำนัลอาวุโสอุ้มเด็กออกมา
จิ๋งจิ่วกลับมาจากที่ราบหิมะไม่นาน ในที่สุดพระสนมหูที่ตั้งครรภ์อยู่หลายปีก็คลอดองค์ชายออกมา
ถึงแม้ฟังดูแล้วค่อนข้างแปลก แต่ทั้งสองเรื่องนี้มีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นอน
จิ๋งจิ่วมองดูเด็กที่มีความสัมพันธ์อันซับซ้อนกับตนคนนี้ บนใบหน้ามีรอยยิ้มเล็กน้อย
“เขาชื่อจิ่งเหยา[1]”
ไม่รู้เพราะเหตุใด พระสนมหูจึงค่อนข้างตื่นเต้น ความรู้สึกคล้ายกับตอนที่ถูกเลือกเข้ามาในวังเมื่อในอดีต
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ชื่อนี้ไม่เลว”
ความสูงของจักรวาลไร้ขอบเขต
องค์ชายจิ่งเหยาเพิ่งตื่นนอน ยังคงงัวเงียอยู่ เขาขยี้ดวงตาที่แดงเรื่อเล็กน้อย พยายามฝืนความง่วงนั่งอยู่ข้างพระสนมหู ดูช่างน่ารัก
จิ๋งจิ่วคิดถึงภาพเหตุการณ์ที่ตนเองได้เจอ ‘หลาน’ เป็นครั้งแรก จึงกล่าวถามไปว่า “ให้อุ้มไหม?”
องค์ชายเล็กมองดูใบหน้าเขา ก่อนจะลืมตาโตพร้อมพยักหน้า จากนั้นกางแขนทั้งสองข้าง
จิ๋งจิ่วย่อมไม่มีทางอุ้มเขาจริงๆ นอกจากหลิวอาต้าแล้ว เขาไม่เคยอุ้มสิ่งอื่นมาก่อน
องค์ชายเล็กมองพระสนมหู พบว่ามารดาไม่มีทีท่าอะไร จึงหดมือทั้งสองข้างแล้วกลับมานั่งลง ก้มหน้าก้มหน้าดูค่อนข้างน้อยใจ
จิ๋งจิ่วไม่ได้สนใจปฏิกิริยาของเขา หากแต่กล่าวถามว่า “เจ้าชอบอะไร?”
ในเวลานี้พระสนมหูมั่นใจแล้วว่าจิ๋งจิ่วกำลังทดสอบลูกชายของตนเองอยู่ จึงยิ่งรู้สึกกระวนกระวาย แต่กลับพูดอะไรไม่ได้
องค์ชายเล็กครุ่นคิดอยู่ครู่ ก่อนตอบเสียงเบาๆ ออกมาว่า “ขนมเปี๊ยะไส้น้ำตาล”
พระสนมหูรู้สึกขายหน้าเล็กน้อย จึงกล่าวอธิบายว่าตอนปีใหม่นางกำนัลได้ทำขนมเปี๊ยะอยู่ในห้องครัวเล็ก แล้วก็ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กนี่ไปเห็นได้อย่างไร จึงแอบกินไปสองสามก้อน
“แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ปกติข้าไม่กล้าให้เขากินของหวานมากนัก ได้ยินว่ามันไม่ดีต่อการบำเพ็ญเพียร”
จิ๋งจิ่วคิดในใจ การบำเพ็ญเพียรมันเกี่ยวอะไรกับการกินของหวาน? จากนั้นกล่าวว่า “อยากกินก็จะกิน นี่คือจริง อายุเท่านี้สามารถขโมยของมากินได้ นี่คือปัญญา รู้จักพูดออกมาเอง เพื่อที่ข้าจะได้ไม่เกิดความรู้สึกไม่ชอบใจเมื่อรู้ภายหลัง นี่คือระมัดระวัง ช่างเหมือนกับพ่อของเขาในอดีต เจ้าเลี้ยงเขาได้ไม่เลว ดีมาก”
เมื่อได้ยินคำวิจารณ์นี้ พระสนมหูจึงดีใจเป็นยิ่งนัก ก่อนจะให้นางกำนัลอาวุโสพาองค์ชายกลับเข้าไป จากนั้นรอฟังคำพูดต่อไปของจิ๋งจิ่ว
แล้วก็เป็นดั่งคาด จิ๋งจิ่วกล่าวถามว่า “เจ้ายินดีให้เขาเป็นศิษย์ชิงซานของข้าหรือไม่?”
พระสนมหูพยายามคาดเดาเจตนาของเขามาโดยตลอด แล้วก็คิดมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง มีหรือที่จะไม่ยินยอม
จิ๋งจิ่วเป็นผู้อาวุโสที่อายุน้อยที่สุดของสำนักชิงซาน เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต เป็นศิษย์หลานของนักพรตจิ่งหยาง
ไม่ว่าจะเป็นความอาวุโส ชื่อเสียง หรือสายสืบทอดก็ล้วนแต่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ
อาจารย์แบบนี้ยังจะมีใครไม่ต้องการ?
เมื่อเห็นสายตาของพระสนมหู จิ๋งจิ่วก็รู้ว่านางเข้าใจผิดแล้ว จึงกล่าวว่า “ไม่ใช่ข้า”
เขาเป็นอาจารย์ให้องค์ชายเล็กจิ่งเหยา ลำดับอาวุโสไม่ถูกนัก
พระสนมหูงุนงงเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวอย่างลำบากใจ “เจ้าแห่งยอดเขาเจ้าจะเย็นชาเกินไปหรือเปล่า?”
นางมองว่าในเมื่อไม่ใช่จิ๋งจิ่ว ดังนั้นก็มีแค่เพียงเจ้าล่าเยวี่ยเท่านั้น ไหนเลยจะรู้ว่าลำดับอาวุโสอันนี้ก็ยังไม่ถูก
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “อาจารย์ที่ข้าเลือกให้เขาคือกู้ชิง กู้ชิงจัดการเรื่องต่างๆ ได้เหมาะสม ความคิดละเอียดรอบคอบ สุภาพเรียบร้อย น่าจะเข้ากันได้กับจิ่งเหยา”
พระสนมหูย่อมต้องรู้ว่ากู้ชิงเป็นใคร
ตระกูลกู้เป็นตระกูลใหญ่ของดินแดนทางใต้ หลายปีมานี้คอยสนับสนุนนางในการวางแผนการในราชสำนักอย่างเงียบๆ
ที่สำคัญที่สุดก็คือนางยากที่จะลืมชายหนุ่มที่ไม่แม้กระทั่งเหลือบมองนางตอนที่อยู่ในตำหนักเมื่อครั้งนั้นได้
อีกทั้งเขายังกล่าวคำพูดที่ฟังดูโหดร้ายกับนาง
หากเป็นชายคนนั้น…นางย่อมไม่ยินดี
พระสนมหูกำลังคิดจะปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นใบหน้าของจิ๋งจิ่ว นางพลันรู้สึกว่าหากตนเองปฏิเสธ อาจจะพลาดอะไรหลายๆ อย่างไปได้
นางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวว่า “ได้”
……
……
เมื่อกลับมาถึงเรือน จิ๋งจิ่วได้เขียนจดหมายส่งกลับไปยังชิงซานฉบับหนึ่ง
จดหมายฉบับนี้มอบให้กู้ชิง เขาเขียนระบุเอาไว้ในจดหมายเล็กน้อยว่าเป็นเรื่องอะไร
การสั่งสอนองค์ชายอาจจะส่งผลกระทบต่อการบำเพ็ญเพียร แต่ก็แค่ไม่กี่ปีเท่านั้น ไม่ถือว่าเสียเวลาอะไร
จิ๋งจิ่วส่งจดหมายให้ลู่กั๋วกงพลางกล่าวว่า “หลังกู้ชิงมาถึงแล้ว เจ้าก็จัดการให้เขาเข้าวัง ให้เขาสอนจิ่งเหยาเรียนหนังสือสองปี”
ลู่กั๋วกงรู้สึกว่าจดหมายฉบับนี้หนักอึ้งเหมือนดั่งขุนเขา
ข่าวกู้ชิงกลายเป็นอาจารย์ขององค์ชายเล็กจะต้องแพร่กระจายไปทั่วทั้งแผ่นดินอย่างรวดเร็วแน่นอน
นี่คือการชักกระบี่ของชิงซานอย่างนั้นหรือ?
จากนั้นลู่กั๋วกงคิดถึงคำพูดประโยคนั้นของจิ๋งจิ่ว ในใจครุ่นคิดว่าเรื่องใหญ่แบบนี้ต้องได้รับการเห็นชอบจากฝ่าบาท เหตุใดท่านถึงไม่จัดการเอง?
จิ๋งจิ่วรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ จึงกล่าวว่า “ข้ามีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องทำ”
ลู่กั๋วกงถามว่า “มีเรื่องอะไรให้ข้าทำหรือขอรับ?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เรื่องนี้ถ้าไม่มีเจ้าคงจะไม่สำเร็จ…”
ภายในใจลู่กั๋วกงพลันเกิดความรู้สึกที่ไม่ดีอย่างมากขึ้นมา
“ข้าจะเข้าไปในวัดไท่ฉาง”
จิ๋งจิ่วกล่าว
………………………………………………………………
[1]เหยา(尧) มีความหมายว่าสูง