มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 37 เป็นคนที่เรียบง่าย
ผู้อาวุโสขั้นจิตก่อรูปของสำนักจงโจวลอบสังหารเจ้าล่าเยวี่ย จากนั้นถูกฆ่าปิดปาก เป็นแผนของคนผู้นั้น
ปีศาจกุ่ยมู่หลิงในแม่น้ำจั๋วตัวนั้นและแผนการของซีหวังซุน จากนั้นทำให้เกิดเรื่องราวของหลิ่วสือซุ่ยขึ้น ก็เป็นแผนการของคนผู้นั้นเช่นกัน
เบื้องหลังของสองเรื่องนี้ล้วนแต่มีเงาของเผ่าหมิงอยู่ แสดงให้เห็นว่าแม้นจะมาถึงวันนี้ คนผู้นั้นยังคงมีอิทธิพลต่อเผ่าหมิงอย่างมากอยู่
สีหน้าของจักรพรรดิหมิงขาวซีดอย่างมาก ไม่สามารถแสดงสีหน้าที่ดูแย่ออกมาได้อีก แต่จากสายตาที่ดูแปลกไปของเขา จิ๋งจิ่วสามารถรับรู้ถึงความโกรธของเขาในเวลานี้ได้
คิดไม่ถึงว่าพวกขี้ข้าที่กล้าดีเหล่านั้น พวกสวะที่ไร้ค่าเหล่านั้นจะยินยอมให้มนุษย์ผู้หนึ่งจูงจมูก….
ในขณะที่กำลังจะด่าทอออกมา เขาพลันคิดถึงสภาพของตนในเวลานี้ จึงนิ่งเงียบไป
หลังนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขากล่าวถามออกมาว่า “อำนาจบารมีของไท่ผิงมาจากไหน? หรือพวกขี้ข้าเหล่านั้นไม่รู้ว่าสารเลวผู้นี้มันหักหลังข้าพเจ้า?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เมื่อสามร้อยปีก่อนเขาเคยเข้าไปในหมิงอีกครั้งหนึ่ง ด้วยความสามารถของเขาและรากฐานที่ทิ้งเอาไว้ในหมิงเหล่านั้น การจะได้รับอำนาจบารมีอย่างในตอนนี้นั้นมิใช่เรื่องยาก หากไม่มีคนหยุดเขา เมื่อไรที่สภาวะของเขาฟื้นฟูกลับมาและกลับเข้าไปในหมิงอีกครั้ง เมื่อนั้นก็จะไม่มีใครหยุดเขาได้อีก”
จักรพรรดิแห่งหมิงจ้องมองดวงตาเขาพลางกล่าว “เจ้าคิดว่าไท่ผิงจะสั่นคลอนรากฐานของเผ่าหมิง?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เผ่าหมิงไม่มีจักรพรรดิองค์ใหม่ปรากฏขึ้นมา เป็นเพราะท่านไม่สามารถกำหนดตัวผู้สืบทอดได้ แต่เหตุผลที่สำคัญกว่านั้นก็คือหมิงซือได้อ้างนามของท่านในการปฏิเสธที่จะแต่งตั้งจักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นมา แต่เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เขาก็จะไม่สามารถเปิดศึกกับมนุษย์ได้เช่นกัน ทำได้แค่เพียงรักษาสถานการณ์ในตอนนี้เอาไว้ หากคนผู้นั้นเข้าไปในหมิงอีกครั้งหนึ่ง ท่านคิดว่ามันจะเป็นอย่างไร?”
คนผู้นั้นอาจจะยั่วยุให้เกิดสงครามระหว่างเผ่าหมิงกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ เหมือนกับที่เขายั่วยุให้เกิดศึกระหว่างปู้เหล่าหลินกับสำนักฝ่ายธรรมะ
จนถึงตอนนี้จิ๋งจิ่วยังไม่สามารถมั่นใจได้ว่าคนผู้นั้นอยากจะได้อะไรจากการทำลายปู้เหล่าหลิน แต่เขามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าคนผู้นั้นจะได้อะไรจากสงครามระหว่างมนุษย์กับเผ่าหมิง
“ขอเพียงข้ายังมีชีวิตอยู่ การสืบทอดของเผ่าหมิงก็จะไม่มีทางสิ้นสุด ส่วนสงครามที่อาจจะเกิดขึ้น….มันเกี่ยวอะไรกับนักโทษอย่างข้าด้วย?”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวว่า “เจ้าเอาเรื่องของโลกมนุษย์มาข่มขู่ข้า ช่างน่าขันยิ่งนัก ไท่ผิงหนีไป คนที่ควรจะกังวลใจมากที่สุดก็คือพวกเจ้ามิใช่หรือ?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “แต่สุดท้ายท่านก็ต้องตาย”
ภายในหุบเขาอันเขียวขจีแปรเปลี่ยนเป็นเงียบเชียบวังเวง
จิ๋งจิ่วกล่าวต่อว่า “เมื่อไรที่สภาวะของข้าแข็งแกร่งมากพอ ข้าจะเข้าไปในดินแดนหมิง แล้วเอาวิชาของจักรพรรดิแห่งหมิงไปถ่ายทอดให้แก่ผู้สืบทอดที่ท่านเลือก หรืออาจจะช่วยเขาให้ขึ้นครองบัลลังก์”
ดวงตาจักรพรรดิแห่งหมิงขยับเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “ลัญจกรแห่งจักรพรรดิหมิงอยู่ในมือเจ้า?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ใช่”
จักรพรรดิแห่งหมิงเงียบไปอีกครั้ง
ในตอนที่ทำการเจรจาในตอนแรก จู่ๆ เผ่าพันธุ์มนุษย์พลันหักหลัง ทำการล้อมโจมตีเขา
ตอนแรกเขาสะกดอารมณ์เอาไว้ หลบการโจมตีระลอกแรก เตรียมใช้ลัญจกรแห่งจักรพรรดิหมิงโจมตีใส่นักพรตหญิงแซ่ไป๋ผู้นั้น จากนั้นอาศัยจังหวะชุลมุนหนีไป
แต่จู่ๆ พลันมีพลังอันทรงอานุภาพผ่าลงมาจากด้านนอกดินแดนอัศนีจนเพลิงวิญญาณของเขาแทบแตกสลาย เกือบจะต้องตายลงตรงนั้น
ความน่ากลัวของพลังอันทรงอานุภาพสายนั้นยากจะจินตนาการได้ กระทั่งภัยธรรมชาติที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องเผชิญในตอนที่บรรลุกลายเป็นเซียนก็ยังมิอาจเทียบได้
เขาพอจะเดาได้ว่าพลังอันทรงอานุภาพนี้มาจากไหน ขณะที่กำลังสิ้นหวัง กงจักรแห่งหมิงก็ปั่นป่วนขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นเขาถูกพู่กันของเรือนอี้เหมาแท่งนั้นพันธนาการเอาไว้ ก่อนจะถูกเขาข้างหนึ่งที่พุ่งทะลุลงมาจากก้อนเมฆโจมตีจนสลบไป
ในตอนที่ตื่นขึ้นมา เขาก็ถูกขังเอาไว้ในคุกสะกดมารแล้ว ส่วนลัญจกรแห่งจักรพรรดิหมิงก็หายไป
หลายปีมานี้เขามักจะนั่งคิดอยู่บ่อยครั้งว่าลัญจกรแห่งจักรพรรดิหมิงไปอยู่ที่ใด เขาคิดว่ามีโอกาสที่จะเป็นเขาอวิ๋นเมิ่งมากที่สุด ใครจะไปคิดบ้างว่ามันจะมาอยู่ในมือศิษย์ชิงซานผู้หนึ่ง
ทันใดนั้นเขาพลันคิดถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา กล่าวว่า “หรือว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ของพวกเจ้ามอบลัญจกรแห่งจักรพรรดิหมิงให้ไท่ผิงเป็นรางวัล?”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ถูกต้อง”
จักรพรรดิแห่งหมิงหัวร่อขึ้นมา ภายในเสียงหัวเราะแฝงเอาไว้ด้วยความรู้สึกเย้ยหยันและดูแคลน เขากล่าวว่า “ที่แท้เจ้านั่นมันน่าสงสารเสียยิ่งกว่าข้าอีก เป็นแค่สุนัขตัวหนึ่งที่ทุ่มเทสุดชีวิตเพื่อช่วยเจ้านายจับเหยื่อที่ใหญ่ที่สุด แต่สุดท้ายกลับไม่ได้ลิ้มรสแม้กระทั่งน้ำแกงเนื้อ ได้แค่เพียงกระดูกที่ไม่มีวันกินได้มาเป็นรางวัลแท่งหนึ่ง”
หากฝึกบัญชาเพลิงวิญญาณไม่สำเร็จ ก็ไม่มีทางใช้ลัญจกรแห่งจักรพรรดิหมิงได้
ลัญจกรแห่งจักรพรรดิหมิงเป็นของที่ล้ำค่าที่สุดในสามโลก แต่เมื่อมาอยู่ในมือนักพรตไท่ผิงมันก็เป็นแค่ก้อนหินที่ดูดีก้อนหนึ่งเท่านั้น
จิ๋งจิ่วเห็นด้วยกับคำพูดของจักรพรรดิแห่งหมิง เพราะลัญจกรแห่งจักรพรรดิหมิงอยู่ในมือเขาก็เป็นแค่เพียงก้อนหินก้อนหนึ่งเช่นกัน จนกระทั่งในตอนนี้มันถึงจะแสดงประโยชน์ของมันออกมาบ้าง
จักรพรรดิแห่งหมิงพลันถามขึ้นมา “ลัญจกรแห่งจักรพรรดิหมิงอยู่ในมือเจ้า?”
ก่อนหน้านี้เขาถามคำถามเดียวกันนี้ แต่ความหมายย่อมไม่เหมือนกัน
จิ๋งจิ่วกล่าว “ข้ามิใช่คนโง่”
คำพูดประโยคนี้เองก็มีความหมายที่แตกต่างกันอยู่หลายชั้น อย่างเช่นความระมัดระวังที่มีต่อคุกสะกดมารหรือไม่ก็จักรพรรดิแห่งหมิง
สรุปแล้วก็คือในเวลานี้ลัญจกรแห่งจักรพรรดิหมิงมิได้อยู่บนตัวเขา
จักรพรรดิแห่งหมิงยืนสองมือไพล่หลัง นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
ในช่วงเวลาที่มิได้ยาวนานเท่าไรนี้ จิ๋งจิ่วได้ทำการทบทวนตัวเองเล็กน้อย
สำหรับเขาแล้ว การทบทวนตัวเองเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นให้เห็นน้อยมาก
เรื่องราวทั้งหมดเหล่านี้ เขาได้คิดมาเรียบร้อยแล้วในตอนที่เก็บตัวอยู่ที่ชิงซาน อีกทั้งยังเตรียมการมาเป็นอย่างดี ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางหาจักรพรรดิแห่งหมิงพบได้
ตั้งแต่การเรียกขานว่าท่านอาไปจนถึงการพูดคุยในภายหลังนี้ก็เป็นสิ่งที่เขาเตรียมเอาไว้ตั้งแต่แรก
ตอนนี้เขาพลันพบว่าตัวเองยังคงได้รับอิทธิพลมาจากบางคน จนทำให้เรื่องง่ายๆ กลายเป็นเรื่องยุ่งยาก
การเจรจาไม่จำเป็นต้องครบถ้วนทุกอย่างเหมือนอย่างกู้ชิง
การแสร้งทำเป็นห่วงใยใต้หล้าเหมือนอย่างเจ้าล่าเยวี่ย พูดมากเหมือนหลิ่วสือซุ่ย หนังหน้าหนาเหมือนอย่างหยวนฉวี่ก็ยิ่งไร้ความหมาย
เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็มิใช่ศิษย์ชิงซานที่อายุยังน้อย เลียนแบบอย่างไรก็ไม่เหมือน
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจจัดการเรื่องราวให้มันง่ายขึ้นหน่อย แม้นจะรู้ว่าจักรพรรดิแห่งหมิงกำลังทำอะไร เขาก็มิได้หยุดยั้ง
……
……
จักรพรรดิแห่งหมิงพลันกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ในบางเรื่องเจ้าช่างคล้ายกับอาจารย์ของเจ้านัก แต่น่าเสียดายที่อายุยังน้อยเกินไป จึงยังไร้เดียงสาอยู่บ้าง”
จิ๋งจิ่วได้ทำการตัดสินใจแล้ว ย่อมคร้านที่จะพูดอีก
จักรพรรดิแห่งหมิงสีหน้าแปลกไปเล็กน้อย กล่าวว่า “ข้ารู้ว่าลัญจกรแห่งจักรพรรดิหมิงอยู่บนตัวเจ้า”
จิ๋งจิ่วมองเขาเงียบๆ ยังคงไม่กล่าวกระไร
จักรพรรดิแห่งหมิงมองว่าการที่ในเวลานี้จิ๋งจิ่วแสดงท่าทีที่แตกต่างจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิงออกมา เป็นเพราะตัวเขากำลังนึกว่าตนเองใช้ลูกไม้ลักไก่สำเร็จ บนใบหน้าจึงมีรอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นมา
“ข้ารู้ถึงความน่ากลัวของความว่างเปล่าอันมืดมิดนั้น ที่นั่นไม่มีตำแหน่งที่สามารถระบุได้ แล้วก็ไม่มีทิศทาง ต่อให้อาจารย์ของเจ้ากับราชินีแคว้นเสวี่ยมาก็ไม่มีทางหาข้าพบ เช่นนั้นเจ้าหาข้าพบได้อย่างไร? นั่นย่อมเป็นเพราะว่าเจ้านำสิ่งของที่เชื่อมต่อกับจิตใจของข้ามาด้วย และบนโลกมนุษย์ก็มีของแบบนั้นอยู่เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือลัญจกรแห่งจักรพรรดิหมิง!”
จิ๋งจิ่วครุ่นคิดในใจ เรื่องง่ายๆ แบบนี้ เหตุใดต้องเสียเวลาพูดซ้ำอีกรอบ?
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เจ้าคิดว่าจะหลอกข้าได้ ช่างน่าขันเสียจริง”
จิ๋งจิ่วพลันกล่าวขึ้นมาว่า “เป็นเพราะไม่ได้พูดมาเป็นเวลานาน ท่านเลยอยากพูดเป็นพิเศษ?”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวว่า “เจ้าอยากจะพูดอะไร?”
“ข้ารู้ว่าท่านมิได้อยากพูด หากแต่จำเป็นต้องถ่วงเวลาเพื่อใช้บัญชาเพลิงวิญญาณ”
จิ๋งจิ่วมองเขาพลางกล่าว “ดูเหมือนในเวลานี้ เพลิงวิญญาณเหล่านั้นคงจะผ่านใต้เท้าท่านเข้ามายังโลกนี้ แล้วกลายเป็นตาข่ายขนาดยักษ์มาพันธนาการข้าเอาไว้”
ตาดำของจักรพรรดิแห่งหมิงหดลงเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ในเมื่อรู้แล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่ทำลาย หรือว่าหนีไป?”
“ท่านเคยชินกับการควบคุมทุกๆ เรื่องเหมือนอย่างคนผู้นั้น ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ท่านต้องการมากที่สุด ข้าก็ไม่สามารถให้ท่านได้ ดังนั้นท่านจะต้องพยายามทำอะไรบางอย่าง แต่ถ้าหากข้าทำลายแผนการของท่านหรือว่าหนีไป ต่อไปมันก็จะมีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นซ้ำๆ จนกระทั่งสุดท้ายท่านละทิ้งความหวังทั้งหมดไป การพยายามทำอะไรแบบนั้นมันชักช้า อีกทั้งเวลาเป็นสิ่งมีค่า”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ดังนั้นเรามาทำให้เรื่องราวมันง่ายขึ้นดีกว่า ท่านรีบทำในสิ่งที่ท่านต้องการ พิสูจน์ว่ามันไร้ความหมาย จากนั้นถึงจะว่ากันในขั้นต่อไปได้”
สีหน้าของจักรพรรดิแห่งหมิงดูขบขัน “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าตนเองจะเป็นฝ่ายชนะแน่นอน? เจ้าไปเอาความมั่นใจนี้มาจากไหน?”