มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 55 กระบี่และมังกรทำร้ายกันและกัน
สำนักชิงซานและสำนักจงโจวแย่งชิงความเป็นผู้นำของฝ่ายธรรมะมาเป็นเวลาหลายปี ต่างฝ่ายต่างย่อมต้องคอยสังเกตดูวิชาของอีกฝ่าย ชายชรารู้จักพลังของกระบี่ชิงซานเป็นอย่างดี ดังนั้นในตอนที่จิ๋งจิ่วควบคุมกระบี่บินออกมาจากน้ำในบึง เขาก็มองออกทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นศิษย์ชิงซาน เมื่อครุ่นคิดอีกนิดก็พอจะคาดเดาถึงสถานะของจิ๋งจิ่วได้
“สำนักชิงซานส่งคนมาแอบพบจักรพรรดิแห่งหมิง หรือคิดจะติดต่อกับเผ่าหมิงอย่างนั้นหรือ?”
ชายชราแค่นหัวเราะพลางกล่าว “ก็จริง ในตอนนั้นหายนะผู้นั้นก็เคยติดต่อกับเผ่าหมิงมาก่อน นี่ถือเป็นประเพณีของสำนักชิงซานสินะ”
ข้อกล่าวหาว่าติดต่อกับเผ่าหมิง ไม่ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญพรตคนไหนก็ล้วนแต่ไม่อาจแบกรับได้
จิ๋งจิ่วไม่คิดจะพูดอะไรอีก เขานิ่งเงียบไปครู่ก่อนกล่าวว่า “ข้ามิใช่จัวหรูซุ่ย ในจุดนี้เจ้ารู้เอาไว้จะดีกว่า”
ชายชรากล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นใคร ข้าเพียงแต่รู้ว่าเจ้าเป็นศิษย์ชิงซาน แอบพบกับจักรพรรดิแห่งหมิงมีโทษถึงตาย ต่อให้เจ้าหนีออกไปได้ก็เช่นเดียวกัน บอกข้ามาว่าจุดประสงค์ที่เจ้ามาที่นี่คืออะไรและเจ้าทำอะไรไป ข้าจะไม่กินเจ้า อีกทั้งยังจะให้เจ้าได้อยู่ในคุกสะกดมารอย่างสบายๆ ด้วย”
ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ไม่มีทางปล่อยจิ๋งจิ่วหนีออกไปจากคุกสะกดมารได้ แต่สุดท้ายเขาก็ยื่นเงื่อนไขออกมา มีเงื่อนไขก็หมายถึงมีการเจรจา — มังกรชางหลงเป็นสัตว์เทพประจำสำนักจงโจว ฐานะสูงส่ง แต่กลับยอมมาเจรจากับศิษย์หนุ่มของสำนักอื่น ต้องยอมรับเลยว่ากระบี่เซียนแห่งยมโลกของจิ๋งจิ่วทำให้เขารู้สึกรับมือได้ยากจริงๆ
แต่จิ๋งจิ่วไม่มีทางตอบรับเงื่อนไขของเขา
ชายชรากล่าวเสียงเยือกเย็น “ที่นี่คือโลกของข้า ต่อให้เจ้าเร็วแค่ไหนก็ไม่มีทางหนีออกไปได้ แต่ถ้าหากข้าออกแรงเต็มที่ เจ้าตายไปนานแล้ว”
“ก็เพราะว่าที่นี่คือโลกของเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงไม่อาจออกแรงเต็มที่ได้”
จิ๋งจิ่วชี้ความลำบากใจในตอนนี้ของชายชรา จากนั้นกล่าวว่า “ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าเหตุใดข้าถึงเอาแต่หนี ไม่ได้พยายามลองโจมตีกลับ?”
เขากำลังใช้ประโยชน์จากการไล่ล่านี้ในการปรับตัวเข้ากับร่างกายของตัวเอง ก็เหมือนกับตอนที่ทำนาหั่นผักอยู่ในหมู่บ้านครั้งนั้น
กระบี่เซียนแห่งยมโลกทำให้ร่างกายของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง หากเป็นเวลาปกติ น่าจะต้องใช้เวลาหลายปี เขาถึงจะสามารถควบคุมการเปลี่ยนนี้ได้
ความกดดันทางจิตใจจากการไล่ล่าครั้งนี้ทำให้กระบวนการปรับตัวนี้หดสั้นลงอย่างรวดเร็ว เชื่อว่าอีกไม่นานก็คงจะจบสิ้นลง
มีสัตว์เทพสภาวะขั้นมหายานมาเป็นคู่ฝึกซ้อม นี่ย่อมต้องเป็นเรื่องที่หาได้ยาก จำเป็นต้องรู้ค่า
ชายชราคล้ายได้ยินคำพูดที่น่าขันที่สุดบนโลก จึงหัวร่อเสียงดัง เต็มไปด้วยความรู้สึกเย้ยหยัน
ด้วยสภาวะของจิ๋งจิ่วในเวลานี้ อย่าว่าแต่เอาชนะยอดฝีมือขั้นมหายานเลย ต่อให้คิดจะตอบโต้อีกฝ่ายสักเล็กน้อยก็ยังทำไม่ได้
บางทีกระบี่เซียนแห่งยมโลกอาจจะทำให้เขาเข้าใกล้ชายชราได้ แต่เขาจะทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บได้อย่างไร?
ในทางกลับกัน เพื่อที่จะปกป้องความปลอดภัยของตัวเอง เขาจำเป็นต้องรักษาระยะห่างให้มากพอ
อย่างนั้นเขาจะโจมตีกลับอย่างไร?
“ฟ้าดินในคุกสะกดมารล้วนแต่เป็นตัวเจ้า ดังนั้นต่อให้ข้าจะเร็วแค่ไหนก็ไม่อาจหนีออกไปได้”
จิ๋งจิ่วมองชายชราพลางกล่าว “อย่างนั้นก็เท่ากับว่าขอเพียงข้าโจมตีใส่ที่ใดสักที่ในฟ้าดินแห่งนี้ มันก็เท่ากับเป็นการโจมตีใส่เจ้าเช่นกัน”
ครั้นพูดจบ ข้อมือขวาของเขาก็ขยับเล็กน้อย กระบี่เหล็กสีดำส่งเสียงฟิ้วเสียงหนึ่ง ก่อนจะแทงเข้าไปในผาหินที่อยู่ข้างกาย
ผิวของผาหินเป็นสีดำ เมื่อถูกความร้อนแผดเผามาเป็นเวลานาน ถูกลมพายุโหมกระหน่ำ ผิวภายนอกของมันจึงมีลายเส้นที่ดูวกไปวนมา
บนที่ที่หนึ่งระหว่างลายเส้นเหล่านั้นมีรอยปริแตก เผยให้เห็นผิวหินที่เป็นสีชมพูอยู่ด้านใน ดูน่าขยะแขยงคล้ายเนื้อที่เน่าเปื่อย
กระบี่ของจิ๋งจิ่วแทงลงไปในรอยแตกอย่างแม่นยำ ไม่ผิดเพี้ยนเลยแม้แต่น้อย
กระบี่เหล็กที่ตัวกระบี่มิได้มีความแหลมคมแทงทะลุผิวหินสีชมพู ของเหลวสีแดงสดบางส่วนกระเด็นขึ้นมา
ไม่เหมือนเลือด หากแต่เหมือนลาวามากกว่า
ร่างกายของชายชราคล้ายถูกสายฟ้าฟาด สั่นเทาขึ้นมา ในดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธและความตกตะลึง เขาตะคอกเสียงดังว่า “สารเลว เจ้าคิดจะทำอะไร!”
“หลังเจ้ารู้ว่าข้าเป็นศิษย์ชิงซาน เจ้าก็เตรียมที่จะใช้วิชาค้นหาดวงจิตทันที นี่เป็นเพราะเจ้าอยากให้ข้าลิ้มรสความเจ็บปวดจากการที่ดวงจิตต้องถูกเฉือนออกไปทีละน้อย”
จิ๋งจิ่วมองเขาพลางกล่าว “ดูเหมือนความเกลียดชังที่บรรพจารย์ของสำนักจงโจวมีต่อสำนักชิงซานจะรุนแรงอย่างมากอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ”
ชายชราตะคอกเสียงดัง “แล้วยังไง? ก็ข้าไม่ชอบแมลงที่บินมาอย่างพวกเจ้า! เห็นแล้วมันน่ารำคาญ อยากจะพ่นไฟเผาพวกเจ้าให้ตายไปเสียทีเดียว!”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เข้าใจ ข้าก็ไม่ชอบคนแก่ที่เขาอวิ๋นเมิ่งเช่นเดียวกัน ยุติธรรมดี เจ้าอยากจะทำร้ายข้า ข้าก็จะทำร้ายเจ้า นี่ก็ยุติธรรมเช่นเดียวกัน”
ในตอนแรก ชายชราเตรียมจะกลืนกินจิ๋งจิ่ว จากนั้นค่อนใช้วิชาค้นหาดวงจิตอ่านเศษชิ้นส่วนความทรงจำของเขา
ตอนนั้นจิ๋งจิ่วเคยบอกไว้แล้วว่าความเจ็บปวดทั้งหมดที่เขาพยายามเอามาลงกับศิษย์ชิงซานจะกลับคืนไปหาเขา
ข้อมือของจิ๋งจิ่วขยับเล็กน้อย กระบี่เหล็กหมุนเป็นครึ่งวงกลมอยู่ในรอยแตกของผาหิน ผนังสีชมพูด้านในเปลี่ยนเป็นแหลกเหลว ของเหลวที่เป็นเหมือนลาวาไหลทะลักออกมา
ชายชราส่งเสียงอึกในลำคอ เม็ดเหงื่อผุดออกมาจากบนหน้าผาก ก่อนจะถูกลมพัดหายไป น้ำเสียงสั่นเครือขึ้นมาเบาๆ
“ข้าคือฟ้าดิน กว้างใหญ่ไพศาล ความเสียหายเพียงเท่านี้ยังน้อยกว่าเวลายุงกัดเสียอีก ความเจ็บปวดเท่านี้เจ้าคิดว่าจะ…อ๊าก!”
ทันใดนั้นเอง เขาพลันร้องอย่างเจ็บปวดออกมา
เสียงกรีดร้องดังสะท้อนไปบนชั้นสองของคุกสะกดมารอันกว้างใหญ่ ดูน่ากลัวเป็นยิ่งนัก
ชายชราเอามือกุมหน้าอก ส่งเสียงตะโกนดุร้าย “บนกระบี่มีพิษ!”
ผนังหินสีชมพูเริ่มเน่าเปื่อยด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ต้นเหตุที่ทำให้เน่าเปื่อยเป็นเพราะไอพลังสีเขียวที่ค่อยๆ ปล่อยออกมาจากบนกระบี่เหล็ก
พิษอะไรจึงทำให้สัตว์เทพประจำสำนักเจ็บปวดได้ขนาดนี้?
คำตอบมีเพียงหนึ่งเดียว
นั่นก็คือพิษของตัวสัตว์เทพเอง
หรือก็คือน้ำสีเขียวที่อยู่ในบึง
กระบี่เหล็กแช่อยู่ในบึงมาเป็นเวลาสามปี มันไม่ได้ถูกกัดกร่อน หากแต่ดูดซับพิษที่อยู่ในบึงเข้าไป
ตอนนี้กระบี่เหล็กนี้เป็นเหมือนกรงเล็บผีที่ยื่นออกมาจากแม่น้ำหมิง เพียงข่วนเล็กน้อยก็ทำให้คนรู้สึกเจ็บปวดจนอยากจะตายได้
สีหน้าของชายชราขาวซีด เอามือกุมหน้าอกเอาไว้ จ้องมองจิ๋วจิ่วพลางตะโกนออกมาอย่างโกรธแค้น “สารเลวชิงซาน วันนี้ต่อให้ต้องบาดเจ็บภายใน ข้าก็ต้องฆ่าเจ้าให้ได้ ข้าจะฉีกเจ้าออกเป็นชิ้นๆ จากนั้นลากเอาวิญญาณของเจ้าออกมา แล้วใช้ลมพายุทรมานมัน!”
นับตั้งแต่ที่เขาพูดคำว่าสารเลวชิงซาน คุกสะกดมารก็มีสายฟ้าฟาดลงมา ลมพายุคลุ้มคลั่ง กรวดทรายปลิวว่อน
น้ำที่อยู่ในบึงสีเขียวลอยข้ามหน้าผามาเหมือนน้ำตกกลับหัว ก่อนจะตกลงมาราวพายุฝน
จิ๋งจิ่วหลบหลีกอย่างยากลำบากอยู่ในพลังอันคลุ้มคลั่ง แล้วก็คล้ายเปลวเทียนที่อยู่ท่ามกลางสายลมที่อาจจะดับลงทุกเมื่อ แต่ในตอนที่มันส่องสว่างขึ้นมาอีกครั้ง มันก็อยู่ห่างออกไปไกลแล้ว
เสียงฟ้าคำรามจำนวนนับไม่ถ้วนระเบิดขึ้นมาพร้อมกัน ภายในคุกสะกดมารอันมืดมิดถูกส่องสว่าง สายฟ้าขนาดใหญ่ประมาณต้นไม้กระหน่ำฟาดลงมาบนทุ่งกว้างที่ขยับขึ้นลง กลายเป็นเหมือนป่าผืนหนึ่ง
จิ๋งจิ่วไม่สามารถหลบหลีกได้อีก เขาร่วงตกลงมาจากฟ้าอย่างแรง โลหิตสดๆ สองสายไหลออกมาจากในรูหู สายตาดูเลื่อนลอยเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เขาได้รับบาดเจ็บไปไม่เบา ที่ตอนนี้เขายังสามารถยืนอยู่ได้ เป็นเพราะชายชราทำอะไรหลายๆ อย่างไม่สะดวกเมื่ออยู่ในคุกสะกดมาร พลังที่แข็งแกร่งหลายๆ อย่างไม่สามารถใช้ออกมาได้
ตอนนี้ชายชราถูกจิ๋งจิ่วเล่นงานจนคลุ้มคลั่ง จนใช้พลังขั้นมหายานออกมา นี่มิต่างอะไรกับการคว้านท้องตัวเอง
สภาวะของทั้งสองแตกต่างกันอย่างมาก เมื่อเจอกับยอดฝีมือขั้นมหายานที่คลุ้มคลั่ง ไม่ว่าจะมองอย่างไรเขาก็มีแต่ต้องตายสถานเดียว
แต่จิ๋งจิ่วกลับเอากระบี่เหล็กแทงลงไปยังพื้นข้างกายโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิด
เสียงตะโกนด้วยความเจ็บปวดและโกรธแค้นของชายชราดังสะท้อนไปในคุกสะกดมารอีกครั้ง
ชายชราสะบัดแขนเสื้ออย่างโกรธแค้น ลมพายุพุ่งขึ้นมาจากใต้ดิน ม้วนเอาสายฟ้าและเปลวเพลิงสิบกว่าสายขึ้นมา ก่อนจะกระหน่ำโจมตีไปบนร่างกายจิ๋งจิ่วที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้
เสียงตู้มดังสนั่น จิ๋งจิ่วถูกสายฟ้าฟาดจนกระเด็นไปยังหน้าผาที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยจ้าง
เขาคิดอยากจะลุกขึ้นยืนแต่กลับไม่สามารถทำได้ จึงได้แต่นั่งลงไปกับพื้น
โลหิตสีแดงที่กระอักออกมาจากในปากเปื้อนร่างกายไปแถบหนึ่ง แล้วก็ถูกพลังสายฟ้าที่หลงเหลืออยู่เผาไหม้จนกลายเป็นสีดำ
ตัวเขาในเวลานี้ดูเหมือนไม้วิญญาณอัศนีท่อนหนึ่งที่ถูกชำระล้างล้มเหลว
แต่เขายังคงสงบนิ่ง มองไม่เห็นถึงความหวาดกลัวใดๆ เขาพลิกมือเอากระบี่แทงลึกๆ เข้าไปในผาหิน
ชายชราคล้ายถูกโจมตีอย่างรุนแรง เจ็บปวดจนถึงขีดสุด กล่าวตะโกนเสียงดังว่า “ไปตายซะ!”
ในขณะที่พูด เขาก็ใช้มือที่สั่นเทาทั้งสองข้างคว้าจับสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนจากในท้องฟ้า จากนั้นขว้างใส่จิ๋งจิ่ว