มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 59 ภายในคุกสะกดมารมีผีเดินออกมาตัวหนึ่ง
แผ่นดินไหวในเมืองเจาเกอยังคงดำเนินต่อไป
เยวี่ยเชียนเหมินยิ่งรู้สึกร้อนใจ คิดอยากจะฝืนเข้าไปในคุกสะกดมารเพื่อดูสถานการณ์ด้านใน แต่กลับถูกจินหมิงเฉิงพากองทัพเสินเว่ยมาขวางเอาไว้ด้านนอก
เซี่ยงหว่านซูและคนอื่นๆ รีบเดินทางมาวัดไท่ฉาง สีหน้าดูคร่ำเครียด
คนที่สีหน้าคร่ำเครียดยิ่งกว่านั้นย่อมต้องเป็นเจ้ากรมชิงเทียนจางอี๋อ้าย สถานะขุนนางระดับสูงของราชสำนักและศิษย์สำนักจงโจวคล้ายเป็นภูเขาสองลูกที่บีบเขาเอาไว้จนแทบจะหายใจไม่ออก
ในเวลานี้ลู่กั๋วกงควรจะแสดงคุณสมบัติที่ขุนนางคนสนิทควรจะมีออกมา เขาทิ้งวัดไท่ฉางไปอย่างไม่ลังเล รีบเข้าไปในวังหลวงด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด ทูลเรื่องราวทั้งหมดให้ฮ่องเต้ทรงทราบ ก่อนกล่าวขอคำแนะนำว่า “หากแผ่นดินไหวยังไม่หยุด คนของสำนักจงโจวจะต้องคลุ้มคลั่งเป็นแน่ ถึงตอนนั้นควรจะทำอย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ?”
“คุกสะกดมารย่อมสำคัญ แล้วประชาชนทั่วทั้งเมืองไม่สำคัญหรือ?”
ฮ่องเต้กล่าวว่า “ให้เหล่าอาจารย์เซียนของสำนักจงโจวช่วยอพยพชาวบ้านออกจากเมืองเจาเกอ เขาอวิ๋นเมิ่งบอกว่าฟ้าดินคือหน้าที่ของตัวเอง แล้วในเวลาแบบนี้จะไม่ออกแรงได้อย่างไร?”
คำพูดนี้จะว่าไปก็มิได้ผิด แต่สำนักจงโจวจะทิ้งบรรพจารย์ของตัวเองไม่สนใจ แล้วไปคอยดูแลคนธรรมดาเหล่านั้นได้อย่างไร?
ลู่กั๋วกงคิดในใจ หากคนที่ถ่ายทอดคำพูดนี้ออกไปคือตัวเอง เกรงว่าคงจะถูกเยวี่ยเชียนเหมินฟาดตายแน่นอน
ดังนั้นคนที่จะไปวัดไท่ฉางเพื่อถ่ายทอดพระบัญชาจึงมิใช่เขา หากแต่เป็นราชองครักษ์อีกคนหนึ่ง
“ลำบากท่านหนิวแล้ว”
ลู่กั๋วกงโน้มกายเล็กน้อยส่งราชองครักษ์หนิวขึ้นรถเมฆออกไปจากวัง เมื่อเห็นรถเมฆหายไปทางด้านนั้นของวังหลวง เขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย
ราชองครักษ์สองคนออกหน้าพร้อมกัน ต่อให้เป็นเจ้าสำนักจงโจวมาเองก็น่าจะยื้อเวลาเอาไว้ได้สักพัก
“แจ้งสำนักอื่นๆ คุกสะกดมารเกิดเรื่อง ให้รีบมาช่วยเหลือ”
เสียงของฮ่องเต้ดังขึ้นอีกครั้ง
ลู่กั๋วกงมองฝ่าบาทอย่างตกใจ เรื่องที่จิ๋งจิ่วแอบเข้าไปในคุกสะกดมารเป็นเวลาสามปี ฝ่าบาทจะต้องทรงทราบอย่างแน่นอน การที่คุกสะกดมารเกิดการสั่นสะเทือนแปลกๆ ในวันนี้ เกรงว่าคงจะเกี่ยวข้องกับจิ๋งจิ่วเช่นเดียวกัน แต่เหตุใดฝ่าบาทถึงยังขอให้สำนักอื่นๆ มาช่วย หรือพระองค์ไม่กลัวว่าจิ๋งจิ่วจะถูกจับไป?
ฮ่องเต้กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เขาอวิ๋นเมิ่งอยู่ใกล้เมิงเจาเกอมากเกินไป”
ลู่กั๋วกงเข้าใจในทันที เขาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก รีบวิ่งเข้าไปในส่วนลึกของวัง เตรียมจะส่งหนังสือหาสำนักต่างๆ
พระสนมหูยืนอยู่ข้างๆ แต่กลับฟังบทสนทนาระหว่างลู่กั๋วกงและฝ่าบาทไม่เข้าใจ แต่นางคล้ายจะฟังออกว่าฝ่าบาททรงไม่ชอบสำนักจงโจว
การค้นพบอันนี้ทำให้นางค่อนข้างดีใจ แต่ที่มากกว่านั้นก็คือตกใจและไม่เข้าใจ
แต่ไหนแต่ไรมาราชวงศ์จิ่งมีความใกล้ชิดกับวัดกั่วเฉิง แต่ในด้านการปกครองกลับต้องพึ่งพาสำนักจงโจวและเรือนอี้เหมา
ในช่วงเวลาหลายปีที่นางเข้ามาอยู่ในวัง ฝ่าบาททรงแสดงความเคารพต่อเรือนอี้เหมา ส่วนสำนักจงโจวก็ทรงแสดงออกถึงความไว้วางพระทัย…หรือสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นการแสร้งทำ?
คำถามที่ง่ายที่สุดก็คือ เหตุใดฝ่าบาทจึงทรงไม่ชอบสำนักจงโจว?
“เจ้ารู้ไหมว่าเหตุใดสำนักจงโจวเป็นเป็นสำนักฝ่ายธรรมะอันดับหนึ่งในใจคนทั่วทั้งใต้หล้า?”
ฮ่องเต้หมุนตัวกลับมาถามนาง
พระสนมหูรู้สึกว่าความรู้สึกยินดีของตนเองก่อนหน้านี้ถูกฝ่าบาทมองออกแล้ว จึงรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “ดูแล้วน่าจะเป็นเพราะพวกเขายิ่งใหญ่ มีทะลวงสวรรค์สองคนเพคะ…”
สำนักจงโจวและสำนักชิงซานแย่งชิงความเป็นผู้นำของสำนักฝ่ายธรรมะมาโดยตลอด นี่หมายถึงในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต
แต่ในใจคนทั่วทั้งใต้กล้า สำนักจงโจวต่างหากถึงจะเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าอย่างแท้จริง มีเพียงประชาชนทางใต้เท่านั้นที่ไม่คิดเช่นนี้
เหตุใดจึงเข้าใจกันแบบนั้น? เกี่ยวกับเรื่องนี้นั้นมีคำตอบอยู่มากมาย อย่างเช่นสำนักจงโจวตั้งอยู่ใกล้เมืองเจาเกอ มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับราชวงศ์ สถานะภายในใจขุนนางและประชาชนย่อมต้องสูงส่ง มีบางคนบอกว่าเป็นเพราะในช่วงเวลาหลายสิบปีมานี้สำนักจงโจวมีศิษย์อัจฉริยะหนุ่มสาวมากกว่า ชื่อเสียงบารมีจึงมากกว่า แต่หลังจากที่ลั่วไหวหนานตาย เจ้าล่าเยวี่ยและจิ๋งจิ่วเฉิดฉายขึ้นมา คำตอบนี้ก็ไม่มีความน่าเชื่อถืออีก ยิ่งไปกว่านั้นก่อนที่ผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวในช่วงนี้จะปรากฏขึ้นมา ความเข้าใจนี้ก็มีอยู่บนโลกอยู่ก่อนแล้ว
คำตอบของพระสนมหูเป็นคำตอบที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด แล้วก็มีความน่าเชื่อถือมากที่สุด
หลายปีก่อนหยวนฉีจิงผู้เป็นกฎกระบี่ของชิงซานเพิ่งจะบรรลุขั้นทะลวงสวรรค์ แต่ทะลวงสวรรค์ทั้งสองคนของสำนักจงโจวปรากฏตัวขึ้นมาก่อนหน้านั้นหลายปีแล้ว
ฮ่องเต้กล่าวว่า “หยวนฉีจิงบรรลุขั้นทะลวงสวรรค์นานแล้ว มีบางคนบอกว่าเขาจงใจปิดบังเจ้าสำนักชิงซาน แค่ความจริงแล้วเขาปิดบังเขาอวิ๋นเมิ่ง เพียงแต่ไม่รู้ว่าระหว่างสองสามีภรรยาคู่นั้นมีปัญหาจริงๆ หรือว่าพวกเขาอดทนได้เก่งมากๆ แม้นจะอยู่ในสถานการณ์ที่สู้กับหลิ่วฉือแบบสองต่อหนึ่งได้ก็ยังไม่ยอมลงมือ ผ่านไปหลายปี หยวนฉีจิงย่อมไม่จำเป็นต้องปิดบังอีก”
ที่เป็นครั้งแรกที่พระสนมหูได้ฟังความลับเหล่านี้ นางจึงตกใจจนเสียงสั่นขึ้นมา “เพราะ…เพราะ….เหตุใดเพคะ?”
ฮ่องเต้กล่าวว่า “เพราะผู้ที่บรรลุกลายเป็นเซียนคนสุดท้ายเมื่อหนึ่งพันปีก่อนหน้านี้คือเจ้าสำนักจงโจวในเวลานั้น เขามีนามว่าไป๋เริ่น”
สำนักจงโจวในเวลานี้ยิ่งใหญ่เพียงใด
เมื่อวันเวลาผ่านไป โลกก็เหลือเพียงแค่ไม่กี่คนที่รู้จักชื่อของไป๋เริ่น คนธรรมดาแม้กระทั่งได้ยินก็ยังไม่เคยได้ยิน
แต่อิทธิพลของคนที่บรรลุกลายเป็นเซียนผู้นั้นยังคงหลงเหลืออยู่บนแผ่นดินเฉาเทียน เรียกได้ว่าฝังลึกอยู่ในใจของประชาชนบนโลก
“แต่ว่า…แต่ว่าสำนักชิงซานก็มีนักพรตจิ่งหยางมิใช่หรือเพคะ?”
พระสนมหูกล่าวอย่างตั้งใจ “ฝ่าบาท นั่นเป็นปรมาจารย์ของจิ่งเหยาเลยนะเพคะ”
ฮ่องเต้มิได้กล่าวกระไร
นักพรตจิ่งหยางย่อมต้องยอดเยี่ยม เขากับนักพรตไท่ผิงฟื้นฟูสำนักชิงซานขึ้นมา ทำให้สำนักชิงซานที่ในอดีตเคยเกือบจะล่มสลายฟื้นคืนกลับมาจนมีฐานะทัดเทียมกับสำนักจงโจว เพียงแต่…เซียนที่บรรลุไปแล้วใช้วิธีที่แตกต่างกันกลับมายังโลก ผลกระทบที่สร้างให้กับโลกก็ย่อมต้องแตกต่างกัน
แต่ว่าอย่างไร นักพรตจิ่งหยางก็มีความสำคัญต่อสำนักชิงซานอย่างมาก สำหรับราชวงค์จิ่งแล้วยิ่งสำคัญเข้าไปใหญ่
ดังนั้นเขาจึงไม่อาจเกิดเรื่องได้
พลังที่แข็งแกร่งหลายสายกำลังมุ่งหน้ามายังเมืองเจาเกอ
พลังที่อยู่ใกล้ที่สุดมาจากเขาอวิ๋นเมิ่ง
ฮ่องเต้มองไปทางวัดไท่ฉาง พบว่าด้านนั้นมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น จึงกล่าวด้วยสีหน้าคร่ำเคร่งว่า “ยังไม่ออกมา?”
จิ๋งจิ่วยังอยู่ในคุกสะกดมาร
ฮ่องเต้คิดในใจว่าหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ตัวเองคงได้แต่ต้องลงมือแล้ว
ในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยครั้งแรกเมื่อหลายร้อยปีก่อน ข้อตกลงที่เสด็จพ่อและสำนักใหญ่อีกเจ็ดสำนักได้ทำร่วมกันไว้กำลังจะถูกเขาทำลายลงด้วยมือของเขาเอง
แผ่นดินเฉาเทียนอาจจะตกอยู่ในสภาพวุ่นวาย
แต่นี่เป็นเรื่องที่เขาควรจะทำ
……
……
อาคารรอบๆ วัดไท่ฉางได้พังถล่มลงมาจนหมด มีเพียงสิ่งก่อสร้างหลักที่ยังปลอดภัยไร้ความเสียหาย มุมชายหลังคาสีดำปรากฏตะคุ่มๆ ท่ามกลางฝุ่นควันที่ฟุ้งกระจาย
สีหน้าของเยวี่ยเชียนเหมินคล้ายอยากจะกินคน เขายิ่งรู้สึกว่าการตอบสนองของราชสำนักดูแปลกประหลาด
การสั่นสะเทือนที่มาจากส่วนลึกใต้ดินยิ่งถี่ขึ้นเรื่อยๆ เซี่ยงหว่านซูตะโกนอย่างร้อนใจว่า “หากเทพมังกรเกิดเรื่อง ใครจะรับผิดชอบไหว!”
บนใบหน้ากลมๆ ของจินหมิงเฉิงเผยให้เห็นรอยยิ้มเยาะเย้ยขึ้นมา เขากล่าวว่า “หากเทพมังกรเกิดเรื่อง อาศัยเพียงเจ้ากับข้าเข้าไปจะไปมีประโยชน์อะไร? เข้าไปตายอย่างนั้นหรือ?”
คำพูดนี้ย่อมมีเหตุผล แต่คนของสำนักจงโจวจะยืนดูปรมาจารย์ของสำนักตนเองเกิดเรื่องโดยไม่ทำอะไรได้หรือ?”
เยวี่ยเชียนเหมินส่งสายตาบอกเซี่ยงหว่านซูและศิษย์คนอื่นๆ ว่าไม่ต้องพูดอะไรอีก จากนั้นกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ท่านเจ้าสำนักใกล้จะมาถึงแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เซี่ยงหว่านซูและศิษย์คนอื่นๆ ก็สบายใจขึ้นมา ในใจครุ่นคิดว่าเจ้าสำนักมาเอง ปัญหาใหญ่แค่ไหนก็สงบลงได้
ในเวลานี้ใต้เท้าของทุกคนมีแรงสั่นสะเทือนปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแต่เมื่อเทียบกับแผ่นดินไหวหลายสิบครั้งก่อนหน้านี้แล้วถือว่าเบากว่ามาก
จู่ๆ พลันมีเสียงผลั่กเบาๆ ดังขึ้นมา ไม่รู้ว่าดังมาจากตรงไหน คล้ายถุงกระดาษที่อัดอากาศจนเต็มถูกเด็กซนเอานิ้วจิ้มจนแตก แล้วก็คล้ายจักจั่นเหมันต์ลื่นตกลงมาจากหัวของหลิวอาต้าลงมาบนตั่งเหมันต์
พื้นดินแห่งหนึ่งในวัดไท่ฉางพลันมีรูปรากฏขึ้นมา
รูนั้นไม่ใหญ่มาก น่าจะใส่คนหนึ่งคนได้ ขอบรูเรียบลื่น กลายเป็นถูกกระบี่ที่แหลมคมที่สุดตัดออกอย่างไรอย่างนั้น
กลิ่นเหม็นคาวจางๆ ผสมกับความหนาวเย็นที่เสียดกระดูกลอยออกมาจากในรู ก่อนจะแปรเปลี่ยนกลายเป็นควัน
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
มีอะไรบางอย่างออกมาจากในคุกสะกดมาร?
“บนท้องฟ้า”
เยวี่ยเชียนเหมินตะโกน
ทุกคนพากันเงยหน้าขึ้นไป
ในท้องฟ้าสีครามมีจุดดำเล็กๆ จุดหนึ่งปรากฏขึ้นมา พอจะมองเห็นได้
กลายเป็นจุดดำเล็กๆ ในเวลาอันรวดเร็วขนาดนี้ นี่มันรวดเร็วขนาดไหนกันแน่?
นั่นคือกระบี่บินของยอดฝีมือคนไหน?
สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงและไม่เข้าใจยิ่งกว่านั้นก็คือจุดดำจุดนั้นพลันหายไป ก่อนจะไปปรากฏตัวอีกครั้งบนท้องฟ้าที่สูงขึ้นไปหลายลี้
เห็นได้ชัดว่านี่มิใช่กระบี่บิน
นั่นคือสิ่งใดกันแน่?