มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 68 หลิวอาต้าที่ไม่ยินยอมและความหมายบางอย่างที่แอบซ่อนอยู่
- Home
- มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2
- ตอนที่ 68 หลิวอาต้าที่ไม่ยินยอมและความหมายบางอย่างที่แอบซ่อนอยู่
ภายในคุกสะกดมารอันมืดมิดมีชายชราอยู่เพียงคนเดียว
หากมีคนเห็นภาพเหตุการณ์นี้จะต้องรู้สึกแปลกประหลาดอย่างมากแน่
ชายชรากำลังคุยกับตนเอง ทะเลาะกับตนเอง
เขาประเดี๋ยวก็โกรธเกรี้ยวประเดี๋ยวผิดหวัง ประเดี๋ยวหวาดกลัว ประเดี๋ยวแค้นเคือง แต่บางครั้งกลับสงบนิ่งจนแทบจะกลายเป็นความเฉยชา
หลังจากนั้นชายชราก็เริ่มทำร้ายตนเอง
เขาพยายามใช้พลังต่างๆ จำนวนนับไม่ถ้วนผ่าร่างกายตนเอง คล้ายกับหญิงชาวบ้านที่ไร้ความรู้ในชนบทที่พยายามจะคว้านเอาผีในร่างกายตนเองออกมา
เขาถึงขนาดใช้สวรรค์ในกาอีกครั้ง ทำให้คุกสะกดมารกลายเป็นห้องเล็กๆ
ฟ้าดินเปลี่ยนสี ท้องฟ้าคำรามสายฟ้าฟาด พื้นดินสั่นสะเทือน ฝุ่นควันคละคลุ้ง สุดท้ายทุกอย่างก็กลับคืนสู่ความสงบ
ชายชราเลือดท่วมกาย คุกเข่าอยู่ที่พื้น เอามือกุมศีรษะ ใบหน้าเปลี่ยนแปลงไม่หยุด คล้ายกับคนสองคนกำลังทะเลาะกันอยู่ในผ่าม่าน ตะโกนเสียงดัง
“เจ้าฆ่าข้าไม่ได้! อย่าฆ่าข้า! ขอร้องล่ะ! ข้าเพิ่งอยู่มาไม่กี่ร้อยปีเอง ยังไม่พอ….”
……
……
ห่างออกไปไม่ไกลพลันมีเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“ฆ่ามัน”
เสียงนั้นฟังดูค่อนข้างอ่อนแรง แต่กลับสงบนิ่ง
แล้วก็มีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“โปรดฆ่ามัน”
เสียงนั้นฟังดูสงบนิ่ง แต่ก็มีความแน่วแน่เป็นอย่างยิ่ง
จากนั้นก็มีเสียงจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ดังขึ้นมา
คนเหล่านั้นล้วนแต่เป็นนักโทษในคุกสะกดมาร
คุกสะกดมารมีขนาดเล็กลงกว่าเดิม พวกเขาล้วนแต่เข้ามาในระยะใกล้
สมแล้วที่เป็นอดีตยอดฝีมือของพรรคมารและปีศาจบำเพ็ญพรตที่น่าหวาดกลัว แม้นจะเจอกับการเปลี่ยนแปลงอันรุนแรงของสวรรค์ในกา แต่สุดท้ายก็ยังรอดมาได้
พวกเขาล้วนแต่กำลังพูดว่าฆ่ามัน
มีเพียงยอดฝีมือของเผ่าหมิงผู้หนึ่งที่พูดในสิ่งที่แตกต่างออกไป
เขาหวังเพียงว่าจักรพรรดิแห่งหมิงจะมีชีวิตรอดต่อไป
ถึงแม้เขาจะเป็นเหมือนนักโทษคนอื่นในคุกสะกดมารที่ยินดีจะใช้ชีวิตของตัวเองแลกกับความตายของชางหลง
“ฆ่ามัน!”
เสียงตะโกนของเหล่านักโทษดังขึ้นพร้อมกัน ฟังดูเป็นจังหวะ คล้ายกับเสียงเพลงรบที่โกรธเกรี้ยว
……
……
ในเมืองเจาเกอเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงขึ้นมาอีกครั้ง
น้ำภายในหลุมที่กำลังลดระดับลงพลันสูงขึ้นมาอีกครั้ง น้ำพุจำนวนนับไม่ถ้วนพวยพุ่งออกมาจากในรอยแตกเหล่านั้น
ปู้ชิวเซียวและเยวี่ยเชียนเหมินบินขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วมองลงไปยังใต้ดิน สีหน้าคร่ำเคร่ง ส่วนคนอื่นๆ ได้ถอยห่างออกไปไกลแล้ว
พลังอันแข็งแกร่งในท้องฟ้าเหล่านั้นอยู่ค่อนข้างใกล้เมืองเจาเกอ ทุกคนต่างรู้สึกได้ว่ามีเรื่องที่น่าตกตะลึงบางอย่างกำลังเกิดขึ้น
ภายในเศษซากของวัดไท่ฉาง หลิวอาต้ายังคงฟุบหมอบอยู่บนแผ่นหินแผ่นนั้น ห่างชี้ตั้งตรง จ้องไปยังหลุมที่อยู่ในคุกสะกดมารนั้น
น้ำสกปรกเอ่อล้นออกมา พื้นดินยุ่งเหยิงวุ่นวาย
สายตาของมันเฉียบคม คล้ายกระบี่เล่มหนึ่ง จ้องมองไปยังที่ที่ดูไม่สะดุดตาแห่งหนึ่ง หางส่ายไปมาเบาๆ พร้อมจะโจมตีทุกเมื่อ
มุมหนึ่งภายในเศษซากมีงูตัวเรียวเล็กตัวหนึ่งกำลังนอนบิดไปบิดมา เกล็ดร่วงหลุด ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล
ไม่ว่าจะเป็นปู้ชิวเซียวกับเยวี่ยเชียนเหมิน หรือว่าเหล่ายอดคนขั้นทะลวงสวรรค์ที่อยู่ไกลออกไปกว่านั้นก็ล้วนแต่ไม่ได้สังเกตเห็นงูตัวนี้
หลิวอาต้ายกอุ้งเท้าหน้าขึ้นมาอย่างแผ่วเบา ย่างเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าวอย่างไร้ซุ่มเสียง เตรียมลอบโจมตีอีกฝ่าย
จู่ๆ พลันมีมือข้างหนึ่งยื่นมาจากด้านข้าง คว้าด้านหลังคอของมันเอาไว้ ก่อนจะยกมันขึ้นมา
แมวขาวที่อยู่ในสภาพพร้อมต่อสู้นั้นน่ากลัวเป็นอย่างมาก ต่อให้ผู้ที่ว่าเป็นนักพรตไป๋แห่งสำนักจงโจว มันก็คงข่วนไปที่ใบหน้าอีกฝ่ายเช่นกัน
แต่เมื่อเห็นหน้าคนที่มา มันกลับไม่ได้ลงมือ — แน่นอนว่าย่อมมิได้เป็นเพราะใบหน้านั้นงดงามเป็นอย่างมาก
หลิวอาต้าทั้งตกตะลึงและไม่เข้าใจ ในใจครุ่นคิดว่าตอนนี้เจ้ามังกรโง่ตัวนั้นกลายเป็นงูสีดำตัวหนึ่ง เหตุใดเจ้าถึงไม่ให้ข้ารีบจัดการตัดมันเป็นชิ้นๆ จากนั้นเจ้ากับข้าแบ่งกันกิน แต่กลับมาขวางข้าเอาไว้?
จิ๋งจิ่วไม่ได้พูดอะไร หากแต่อุ้มมันเอาไว้ในอ้อมอก จากนั้นเดินลงไปยังใต้ดินที่เต็มไปด้วยน้ำและฝุ่นควัน
ใต้ดินรอบๆ คุกสะกดมารเต็มไปด้วยข่ายพลัง ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นข่ายพลังที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีอะไรถึงสามารถเดินเข้าไปโดยไม่สัมผัสกับข่ายพลังเหล่านั้น
ก่อนที่จะหายไปในใต้ดิน เขาเหลียวกลับมามองดูงูสีดำที่กำลังนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่ในบ่อโคลนตัวนั้น
……
……
งูสีดำตัวนั้นดีดตัวขึ้นมาจากพื้น ลอยขึ้นไปบนฟ้าสูงหลายร้อยจ้าง ดีดดิ้นทุรนทุราย จากนั้นร่างกายขยายใหญ่ขึ้นเมื่อเจอกับสายลม
หลังจากนั้นสิบกว่าอึดใจ งูสีดำก็เปลี่ยนกลับเป็นร่างเดิมของมังกรชางหลง
จู่ๆ บนท้องฟ้าเหนือเมืองเจาเกอพลันมีวัตถุขนาดใหญ่โตมหึมาเช่นนี้ปรากฏขึ้นมา ทำให้เกิดลมอันรุนแรงจำนวนนับไม่ถ้วน ไม่รู้ว่าพัดหลังคาบ้านเรือนเสียหายไปเท่าไร แล้วก็พัดเอาฝุ่นควันฟุ้งกระจายขึ้นมามากน้อยเท่าไร
มังกรยักษ์สีดำพาดขวางอยู่กลางท้องฟ้า เหยียดยาวหลายสิบลี้ คล้ายกับเงาของภูเขาและแม่น้ำที่อยู่ห่างไกลที่ทอดลงมาในท้องฟ้า แล้วก็คล้ายกับเมฆฝนที่ดำมืดก้อนหนึ่ง
ชางหลงยังคงดีดดิ้นไปมา ดูเจ็บปวดเป็นอย่างมาก บางครั้งมีเกล็ดหลุดร่วงตกลงไปในเมืองเจาเกอ กระแทกพื้นดินจนเกิดเป็นหลุมลึก บ้านเรือนพังพินาศ
ปู้ชิวเซียวบินขึ้นไปยังท้องฟ้าที่สูงขึ้นไป มองดูมังกรยักษ์ที่อยู่ด้านล่างตัวนี้ สีหน้าตึงเครียด
เยวี่ยเชียนเหมินเองก็หลบออกไป สีหน้ายิ่งดูโกรธเกรี้ยว ในใจคิดอยากจะเข้าไปช่วยบรรพจารย์มังกร แต่กลับไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้
ความเจ็บปวดและการต่อสู่ดิ้นรนของชางหลงยังคงดำเนินต่อไป แต่ความรู้สึกเจ็บปวดและการต่อสู้ดิ้นรนในสายตาของมันกลับค่อยๆ เลือนลางลง กลายเป็นเฉยชา
ทันใดนั้นเอง หางมังกรที่อยู่บริเวณทางใต้ของเมืองพลันสะบัดใส่เมฆก้อนหนึ่งจนแตกกระจาย ร่างกายบิดตัวคล้ายจะบินหนีไปทางเหนือ
“สหายทุกท่าน ลงมือเถอะ”
เสียงที่นุ่มนวลและหนักแน่นของเจ้าสำนักชิงซานหลิ่วฉือดังลงมาจากในท้องฟ้า
ยอดคนหลายๆ คนรวมไปถึงเขาต่างมองออกแล้วว่าดวงจิตของชางหลงได้ถูกจักรพรรดิแห่งหมิงควบคุมไปแล้ว เวลานี้มันไม่มีสติสัมปชัญญะหลงเหลืออยู่อีก
หากปล่อยให้ชางหลงหนีออกไปจากเมืองเจาเกอ จักรพรรดิแห่งหมิงอาจจะมีวิธีที่จะหนีไปจริงๆ ก็เป็นได้
นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์บนแผ่นดินเฉาเทียนไม่มีทางยอมให้เกิดขึ้น เพื่อจะไม่ให้จักรพรรดิแห่งหมิงหนีไป ต่อให้ต้องสังหารชางหลงไปด้วยก็จำเป็นต้องทำ
ในส่วนลึกของเมฆดอกบัว ฉานจึกล่าวอมิตาพุทธ
ในเกี้ยวผ้าม่านสีเขียว ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักแม่ชีสุ่ยวเยวี่ยนิ่งเงียบ
ปู้ชิวเซียวนิ่งเงียบ
นักพรตถานผู้เป็นเจ้าสำนักจงโจวเองก็นิ่งเงียบ
การนิ่งเงียบมิได้หมายถึงความเห็นที่ตรงกัน การนิ่งเงียบของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยหมายถึงการเห็นด้วย การนิ่งเงียบของปู้ชิวเซียวหมายถึงความลำบากใจ การนิ่งเงียบของเจ้าสำนักจงโจวย่อมต้องหมายถึงคัดค้าน
มังกรชางหลงเป็นสัตว์เทพประจำสำนักจงโจว ถูกศิษย์สำนักจงโจวมองเห็นบรรพจารย์ แล้วเขาจะปล่อยให้มันเกิดเรื่องต่อหน้าต่อตาได้อย่างไร?
ทันใดนั้นพลันมีเสียงที่เย็นยะเยือกและใสซื่อเสียงหนึ่งดังขึ้น “ก่อนหน้านี้มีคนหลบหนีออกมาจากใต้ดิน นั่นมันเกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ หลิ่วฉือเลิกคิ้วเล็กน้อย มิได้กล่าวกระไรอีก
ฉานจึที่อยู่ในเมฆดอกบัวเองก็นิ่งเงียบ
ปู้ชิวเซียวยิ้มเยาะตัวเองเล็กน้อย มิได้ว่าอะไร ในใจครุ่นคิดว่าที่แท้นักพรตไป๋ก็มาถึงแล้ว อย่างนั้นความเห็นของพวกตนยังจะสำคัญอีกหรือ?
สภาวะของนักพรตไป๋เป็นหนึ่งในใต้หล้า เป็นยอดคนที่แข็งแกร่งที่สุดบนแผ่นดินเทียบเท่าเจ้าสำนักชิงซานและคนอื่นๆ
นางยังมีอีกสถานะหนึ่ง นั่นคือคู่รักบำเพ็ญพรตของเจ้าสำนักจงโจว
ทั่วทั้งเมืองเจาเกอต่างเงียบลงเพราะการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของนาง
เพราะสถานะและนิสัยของนาง แล้วก็เป็นเพราะที่นางบอกว่าเมื่อครู่นี้มีคนหนีออกมาจากใต้ดิน
บนพื้นดินพลันมีเสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจบารมีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“หรือนักพรตจะบอกว่าจักรพรรดิแห่งหมิงหนีออกมาจากใต้ดินแล้ว?”
แสงสีทองสายหนึ่งพุ่งจากในวังขึ้นมาบนท้องฟ้า
แสงสีทองสว่างเจิดจ้า ภายในแฝงเอาไว้ด้วยความเมตตาอยู่หลายส่วน
แสงสีทองค่อยๆ หดหาย เผยให้เห็นร่างของฮ่องเต้
เจ้าสำนักจงโจวและคนอื่นพากันคารวะ
ถึงอย่างไรฮ่องเต้ก็มีตำแหน่งเป็นผู้ปกครองของแผ่นดินเฉาเทียน ยิ่งไปกว่านั้นสภาวะของเขาก็มิได้ด้อยไปกว่าผู้บำเพ็ญพรตเหล่านี้
หลิ่วฉือยิ้มๆ คล้ายรู้สึกว่าช่วงเวลาในการปรากฏตัวของฝ่าบาทนั้นช่างน่าสนใจจริงๆ
ฮ่องเต้มองไปยังที่หนึ่งทางตะวันตก กล่าวกับนักพรตไป๋ที่ยังไม่ปรากฏกายว่า “หากจักรพรรดิแห่งหมิงยังไม่หนีไป เช่นนั้นเขาก็ยังอยู่ในตัวชางหลง ดวงจิตของชางหลงถูกครอบงำ หากปล่อยให้มันหนีออกไปจากเมืองเจาเกอ ทุกชีวิตในใต้หล้าจะต้องเจอกับความทุกข์ยากอย่างแน่นอน”
นักพรตไป๋มิได้ปรากฏกาย แล้วก็มิได้ตอบฮ่องเต้ เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจอย่างมาก
ชางหลงที่อยู่เหนือเมืองเจาเกอค่อยๆ เปลี่ยนทิศทางอย่างช้าๆ
แต่เหล่ายอดคนในท้องฟ้ากลับยังไม่มีความเห็นใดๆ
บรรยากาศอึมครึมเป็นอย่างมาก แล้วก็ค่อนข้างตึงเครียด