มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 73 คนผู้นั้นจากไปแล้ว ก่อนจะกลับมาอีกครั้ง
ทุกคนต่างรู้ว่าความโกรธของฝ่าบาทนั้นมาจากไหน
หากการที่มังกรชางหลงเกิดเรื่องมีความเกี่ยวข้องกับคนที่พระอาจารย์เหลียงส่งเข้าไปในคุกสะกดมารผู้นั้นจริง เช่นนั้นแท้ที่จริงแล้วมันเป็นความวุ่นวายที่คนของปู้เหล่าหลินเป็นคนก่อขึ้นมา หรือว่าทางตำหนักองค์ชายคิดจะทำอะไรกันแน่?
ตำหนักองค์ชายแผ่อิทธิพลเข้าไปในคุกสะกดมาร แล้วจะไม่ให้ฝ่าบาททรงพระพิโรธได้อย่างไร?
ยังมีอีกการคาดเดาหนึ่งที่ตอนนี้ดูแล้วเหมือนจะเป็นไปได้มากที่สุด น่ากลัวที่สุด แล้วก็ทำให้ฮ่องเต้ตกใจและโกรธเกรี้ยวมากที่สุด
นี่คือแผนการของสำนักจงโจว!
—พวกเขาส่งคนสำคัญคนหนึ่งเข้าไปในคุกสะกดมาร ด้วยคิดอยากจะเอาจักรพรรดิแห่งหมิงให้ชางหลงกิน เพื่อจะช่วยให้ชางหลงบรรลุกลายเป็นเซียน!
เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาหลายสิบคู่ที่มองมาที่ตนเอง สีหน้าของเยวี่ยเชียนเหมินยิ่งดูคร่ำเคร่ง
หากเป็นไปได้ ในเวลานี้เขาอยากจะฆ่าคนที่อยู่ตรงนี้ให้หมด เพื่อจะได้ไม่ต้องเจอกับสายตาแบบนี้
คนส่งจดหมายของปู้เหล่าหลินที่ถูกตำหนักองค์ชายส่งเข้าไปในคุกสะกดมารตายไปแล้ว เช่นนั้นก็ย่อมไม่ใช่คนที่หนีออกไปจากคุกสะกดมารผู้นั้นแน่นอน เขามั่นใจแต่กลับอธิบายไม่ได้
ที่สำคัญที่สุดก็คือเหตุใดสำนักจงโจวถึงต้องส่งคนของปู้เหล่าหลินเข้าไปในคุกสะกดมาร
เยวี่ยเชียนเหมินเคยให้คำตอบแก่สมณะตู้ไห่ไปแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมรับ
สำนักจงโจวไม่อาจพูดความจริงของเรื่องราวออกไปได้ — องค์ชายจิ่งซินเคยว่าจ้างนักฆ่าของปู้เหล่าหลินให้ไปสังหารเจ้าล่าเยวี่ย ภายหลังถูกอีกฝ่ายข่มขู่ — คำตอบนี้หากบอกกับทุกคน องค์ชายจิ่งซินจะต้องจบสิ้นอย่างแน่นอน ต่อให้สำนักจงโจวจะรักษาชีวิตของเขาเอาไว้ได้ แล้วเขายังจะกลายเป็นฮ่องเต้องค์ต่อไปได้อย่างไร?
……
……
เพราะความเงียบและการไม่ให้ความร่วมมือของสำนักจงโจว การสืบสวนเรื่องคุกสะกดมารย่อมมิอาจสืบให้ลึกลงไปได้
เพื่อไม่ให้สถานการณ์ซับซ้อนไปมากกว่านี้ ผ่านไปไม่กี่วัน ข้อสรุปเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ถูกส่งมาที่วัดไท่ฉาง
องค์ชายจิ่งซินถูกสั่งไม่ให้ออกไปจากตำหนักเป็นเวลาสามปี
ร่างของมังกรชางหลงถูกเก็บไว้ใต้วัดไท่ฉาง
อาจจะเพราะเห็นแก่การตายอันน่าเศร้าของชางหลง และการที่สำนักจงโจวเป็นฝ่ายเสนอให้จัดการประชุมนี้ขึ้นมา ฮ่องเต้จึงมิได้สืบเรื่องที่พวกเขาส่งคนเข้าไปในคุกสะกดมารต่อ
ที่ค่อนข้างน่าแปลกก็คือจางอี๋อ้ายไม่ได้ถูกลงโทษใดๆ กระทั่งการว่ากล่าวตักเตือนซักประโยคก็ไม่มี เขายังคงทำหน้าที่เป็นเจ้ากรมชิงเทียนต่อไป
เทียบกับความโกรธเกรี้ยวที่ฮ่องเต้ได้แสดงออกมาแล้ว มาตรการลงโทษเหล่านี้ไม่มีค่าให้พูดถึงเลย เหมือนฟ้าส่งเสียงคำรามดังก้อง แต่กลับมีฝนตกลงมาเพียงเล็กน้อย
สำนักจงโจวดูเหมือนไม่เสียหายอะไร แต่คนฉลาดย่อมต้องรู้ว่าหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
บรรพจารย์ของสำนักจงโจวตายอย่างน่าเศร้าแต่กลับไม่สามารถทำอะไรได้ อีกทั้งยังต้องเอาซากของชางหลงเก็บไว้ในเมืองเจาเกอ นี่ถือเป็นเรื่องที่ทำให้สำนักจงโจวกลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่สุดแล้ว
การตามหาคนร้ายตัวจริง หรือใช้การตามหาคนร้ายตัวจริงเพื่อระบายความโกรธก็กลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ —- มังกรชางหลงตายด้วยน้ำมือของจักรพรรดิแห่งหมิง แล้วใครเป็นคนปล่อยจักรพรรดิแห่งหมิงออกมา?
จางอี๋อ้ายไม่ถูกลงโทษใดๆ เหตุผลนั้นยิ่งชัดเจน นั่นเป็นเพราะฮ่องเต้ทรงชื่นชอบท่าทีที่เขาแสดงออกมาในเรื่องนี้
เยวี่ยเชียนเหมินรู้สึกสงสัยว่าในวันนั้นเขาจงใจพูดชื่อพระอาจารย์เหลียงออกมา เพื่อจะโยนความผิดนี้มาให้สำนักจงโจวหรือเปล่า
เยวี่ยเชียนเหมินมองดูจางอี๋อ้ายที่อยู่ไม่ไกล สีหน้าเย็นชาเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดว่าต่อให้ภายหน้าเจ้าเป็นหมารับใช้ฮ่องเต้อยู่ในเมืองเจาเกอ หรือเจ้าคิดว่านักพรตไป๋จะปล่อยเจ้าไป?
“เรื่องนี้จบลงเท่านี้แล้วกัน ต่อไปห้ามมิให้ใครเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก” สมณะตู้ไห่มองดูตัวแทนจากแต่ละสำนักและเจ้าหน้าที่พลางกล่าว
ในเวลานี้ตัวแทนจากหลายๆ สำนักถึงได้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วจักรพรรดิแห่งหมิงนั้นถูกขังอยู่ในคุกสะกดมาร และคุกสะกดมารก็คือมังกรชางหลง ขณะเดียวกับที่รู้สึกตกตะลึงก็ย่อมต้องเข้าใจถึงความสำคัญของเรื่องนี้ จึงพากันรับปาก หากคนบนโลกรู้ความลับเหล่านี้ รู้ว่ามังกรชางหลงกินคนเข้าไป เช่นนั้นมันจะแย่แค่ไหน?
โลกแห่งการบำเพ็ญพรตถนัดปกปิดเรื่องราวเหล่านี้มากที่สุด กระทั่งเวลาผ่านไปเนิ่นนานจนไม่มีใครจำได้อีก ก็เหมือนกับเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในสำนักชิงซานตอนนั้น เยวี่ยเชียนเหมินคิดถึงเรื่องราวในอดีตเหล่านั้น มองไปทางฉือเยี่ยนที่นั่งอยู่ในมุมหนึ่ง ตั้งแต่ต้นจนจบการประชุม ผู้อาวุโสแห่งยอดเขาซั่งเต๋อของชิงซานผู้นี้ไม่ได้พูดอะไรเลย นี่ทำให้เขารู้สึกแปลก ความระแวงค่อยๆ เกิดขึ้น
“คนที่หนีออกมาจากคุกสะกดมารผู้นั้นจะต้องสืบหาให้ได้” เขาดึงสายตากลับมา พลางกล่าวกับสมณะตู้ไห่และลู่กั๋วกง
เรื่องราวห้ามมิให้พูดถึง ไม่ได้หมายความว่าจะสิ้นสุดลง หากสำนักจงโจวอยากจะกู้ชื่อเสียงของตนเองกลับมา และกลับมาเป็นฝ่ายกุมความได้เปรียบอีกครั้ง พวกเขาก็ต้องสืบเรื่องนี้ให้กระจ่าง
ลู่กั๋วกงกล่าวว่า “วันนั้นในตอนที่คนผู้นั้นหนีออกมาจากคุกสะกดมาร ผู้อาวุโสเยวี่ยอยู่ใกล้กับเขามากที่สุด ท่านมีความเห็นอย่างไรบ้าง?”
“ข้าเคยบอกแล้ว คนผู้นั้นอย่างน้อยก็อยู่ในขั้นแปรจิต”
เยวี่ยเชียนเหมินคิดถึงความเร็วและการเคลื่อนไหวอันน่าเหลือเชื่อของเงาดำสายนั้น คิ้วค่อยๆ ขมวดขึ้นมา
ผู้อาวุโสของสำนักคุนหลุนผู้หนึ่งกล่าวเสียงเบาๆ ขึ้นมาว่า “ยอดฝีมือระดับนี้ในสำนักต่างๆ มีอยู่ไม่เท่าไหร่ การจะสืบทุกคนคงไม่ใช่เรื่องยากอะไร”
“สืบเรียบร้อยแล้ว”
เหอกั๋วกงเดินเข้ามาจากด้านนอก
สมณะตู้ไห่มองดูเขา
เหอกั๋วกงส่ายศีรษะ
เมื่อเห็นภาพนี้ เยวี่ยเชียนเหมินพลันรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอีกครั้ง
“ผู้อาวุโสของแต่ละสำนักที่อยู่ในขั้นแปรจิตขึ้นไป ในเวลานั้นถ้าไม่บำเพ็ญเพียรอยู่ในถ้ำของตัวเองก็ไปทำเรื่องอื่นอยู่ ทุกคนล้วนแต่มีหลักฐานยืนยันหนักแน่นว่าตนเองมิได้อยู่ในเหตุการณ์”
เหอกั๋วกงเอาหยกประดับชิ้นหนึ่งที่อยู่ในมือส่งให้สมณะตู้ไห่ ก่อนจะมองไปทางเยวี่ยเชียนเหมินพลางกล่าว “มิใช่ราชสำนักเป็นคนสืบ นี่เป็นผลการสืบของเจวี่ยนเหลียนเหริน”
เห็นได้ชัดเจน เขารู้ว่าสำนักจงโจวไม่มีทางเชื่อผลการสืบของราชสำนักและสำนักต่างๆ
การที่สามารถสืบหาตำแหน่งและความเคลื่อนไหวในช่วงเวลานั้นของยอดฝีมือจำนวนมากขนาดนี้ได้ในระยะเวลาเพียงสั้นๆ ทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนมีเพียงเจวี่ยนเหลียนเหรินเท่านั้นที่ทำได้
แต่เพื่อเรื่องนี้แล้ว เจวี่ยนเหลียนเหรินน่าจะจ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อยเช่นกัน
ในเมื่อคนที่หนีออกมาจากคุกสะกดมารผู้นั้นมิใช่ผู้อาวุโสของสำนักฝ่ายธรรมะ เช่นนั้นก็อาจจะเป็นผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักหรือไม่ก็ยอดฝีมือของพรรคมาร แล้วแบบนี้จะสืบอย่างไร?
สีหน้าของเยวี่ยเชียนเหมินดูแย่ แต่กลับไม่ได้พูดอะไรอีก
……
……
ตัวแทนสำนักต่างๆ ออกไปจากเมืองเจาเกอ วัดไท่ฉางกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง
ลู่กั๋วกงยกถ้วยชา มองดูน้ำชาสีอำพันที่อยู่ในถ้วย ครุ่นคิดอะไรบางอย่างเงียบๆ
เรื่องนี้ดำเนินไปได้ราบรื่นเป็นอย่างมาก
ราบรื่นจนกระทั่งเขายังรู้สึกแปลกใจ
สิ่งแรกที่ทำให้เขารู้สึกมีปัญหาก็คือสมณะตู้ไห่
ในการสืบสวนในตอนแรก สมณะสูงศักดิ์จากวัดกั่วเฉิงรูปนี้คล้ายตั้งใจ แล้วก็คล้ายมิได้ตั้งใจที่จะชี้นำไปสู่ด้านในของคุกสะกดมาร จนสุดท้ายทำให้สำนักจงโจวสืบจนเจอปัญหาของตัวเอง
จากนั้นก็เป็นการสืบสวนของเจวี่ยนเหลียนเหริน
หากบอกว่าฝ่าบาททรงคิดจะฉวยโอกาสจากเรื่องนี้เล่นงานสำนักจงโจวและกำจัดองค์ชายจิ่งซิน เช่นนั้นการหักหลังของจางอี๋อ้ายก็เป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้ แต่เหตุใดเจวี่ยนเหลียนเหรินและวัดกั่วเฉิงถึงให้ความร่วมมือ?
จริงอยู่ที่วัดกั่วเฉิงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราชวงศ์ แต่พวกเขาไม่มีทำเรื่องแบบนี้แน่
ที่สำคัญที่สุดก็คือสุดท้ายผลการสืบสวนทั้งหมดได้ปกปิดตัวตนที่แท้จริงของคนผู้นั้นเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์
ลู่กั๋วกงย่อมต้องรู้ว่าคนที่หนีออกมาจากคุกสะกดมารผู้นั้นมิใช่สมุนของปู้เหล่าหลิน หากแต่เป็นจิ๋งจิ่ว
หลังการสืบสวนสิ้นสุดลง ก็ไม่มีใครที่จะคิดถึงความเป็นไปได้นี้อีก
เนื้อหาในจดหมายที่ปู้เหล่าหลินส่งเข้าไปในคุกสะกดมารฉบับนั้นคืออะไรกันแน่ จะมีความเกี่ยวของกับจิ๋งจิ่วหรือเปล่า?
ลู่กั๋วกงคิดถึงเรื่องเหล่านี้จนลืมดื่มชา
ท้องฟ้าสลัวลงเล็กน้อย สีของน้ำชาเข้มขึ้น คล้ายกับไม้เนื้อแดง
ลู่กั๋วกงเงยหน้าขึ้นมา มองดูคนผู้หนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาในวัดไท่ฉาง สีหน้าเปลี่ยนไปทันที
หายไปจากโลกนี้สามปี แต่มาปรากฏตัวอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้หลังจากที่เกิดเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้อย่างนั้นหรือ?
ยอดฝีมือของสำนักต่างๆ เพิ่งจะออกไปจากเมืองเจาเกอ ไม่รู้มีสายตามากน้อยเท่าไรที่ยังจับจ้องที่นี่อยู่ หรือว่าท่านไม่กลัวว่าจะเกิดเรื่อง?
เขาอยากจะลุกขึ้นไปต้อนรับ แต่ไหนเลยจะกล้าขยับ ได้แต่มองตาปริบๆ…..ดูจิ๋งจิ่วเดินเข้ามาในวัดไท่ฉางเหมือนเดินเล่นอยู่บนถนน