มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 78 ตั้งนิกาย
สถานะและสภาวะของเหลียนซานเยวี่ยล้วนแต่สูงส่ง แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงไม่สามารถบรรลุขั้นทะลวงสวรรค์ได้
นี่คือสิ่งที่โลกบำเพ็ญพรตรู้กัน
แต่จิ๋งจิ่วกลับกล่าวออกมาอย่างเรียบเฉยและเฉยชา — นี่คือเรื่องโกหก
บรรยากาศภายในโรงหมอพลันเงียบขึ้นมา เต็มไปด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน
สีหน้าหมอแปรเปลี่ยนเป็นกระอักกระอ่วน กล่าวว่า “รู้ส่วนรู้ ทุกคนต่างรู้ แต่สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยไม่เคยป่าวประกาศ ไม่เคยยอมรับ พวกเราเองก็ไม่กล้าคิดเช่นนี้ ก็เหมือนกฎแห่งกระบี่ของสำนักท่าน ไปกว่านั้นหากเหลียนซานเยวี่ยบรรลุขั้นทะลวงสวรรค์ไปนานแล้ว การเก็บตัวครั้งนั้นก็อาจจะเพื่อบรรลุไปถึงมหามรรคาสุดท้ายก็เป็นได้ พวกเราจึงยิ่งไม่กล้าไปวิจารณ์”
จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่ กล่าวว่า “ว่าต่อไป”
“เมื่อสิบห้าปีก่อน จู่ๆ กั้วตงก็ปรากฏตัวขึ้นมาในสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย บอกว่าตัวเองเป็นศิษย์คนสุดท้ายของเหลียนซานเยวี่ย เหลียนซานเยวี่ยเก็บตัวไม่ยอมออกมา นางจะไปรับศิษย์มาจากที่ไหน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเจ้าสำนักและผู้อาวุโสสูงสุดต่างยอมรับตัวตนของนางอย่างเงียบๆ ยิ่งไปกว่านั้นว่ากันว่าฐานะของนางในสำนักนั้นค่อนข้างพิเศษ ไม่มีใครสนใจนาง จะทำอะไรก็ได้”
หมอกล่าวต่อไปว่า “ครั้งแรกที่นางปรากฏตัวสู่สายตาชาวโลกก็คือในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยที่ท่านเข้าร่วมครั้งนั้น นอกจากที่หนึ่งในการแข่งขันประลองวิถีพิณแล้ว ร่องรอยของนางหลังจากนั้นไม่แน่นอน แต่มีหลายครั้งที่ถูกคนพบเห็นว่านางปรากฏตัวอยู่ที่เมืองไป๋เฉิง แต่ท่านก็รู้…พวกเราไม่กล้าเข้าไปใกล้วัดแห่งนั้นมากนัก ดังนั้นจึงไม่ทราบรายละเอียด”
จิ๋งจิ่วกล่าวถามว่า “แล้วเรื่องนั้นล่ะ?”
หมอหยิบเอาหยกอีกก้อนออกมากำไว้ในมือ กล่าวว่า “ในศึกถล่มลานเมฆเมื่อสามปีก่อน ความจริงตอนนั้นถงเหยียนมิได้อยู่ที่เขาอวิ๋นเมิ่ง ไม่รู้ว่าไปที่ใด แต่หลังจากนั้นครึ่งปีก็กลับมาจากทางตะวันตกเฉียงใต้ อีกทั้งยังคงปิดปากเงียบไม่บอกว่าไปไหนมา กระทั่งเมื่อหลายวันก่อน ไป๋เจ่าจะไปเมืองเจาเกอ ถงเหยียนจึงได้จัดงานเลี้ยงสั่งลาที่หุบเขาหานสือ บนโต๊ะมีคะน้าก้านแดงอยู่จานหนึ่ง”
จิ๋งจิ่วไม่กินอาหาร ดังนั้นย่อมไม่รู้สึกว่าคะน้าก้านแดงนั้นมีอะไรพิเศษ
“ไม่ใช่อาหารตามฤดู ในหุบเขาหานสือสี่ฤดูแบ่งชัดเจน ต่อให้สามารถใช้ข่ายพลังเลี้ยงดูขึ้นมาได้ แต่มันก็ไม่คุ้มที่จะเอามาใช้ปลูกคะน้าก้านแดงแบบนี้ขอรับ”
กู้ชิงอธิบายเสียงเบาๆ อยู่ด้านหลังเขา “ถงเหยียนกลับมาจากตะวันตกเฉียงใต้ แล้วยังมีคะน้าก้านแดงอีก เขาอาจจะไปที่สำนักฌานเป่าทงมาขอรับ”
หมอมองดูเขา รู้สึกนับถือ ในใจครุ่นคิดว่าสมแล้วที่เป็นกู้ชิง
จิ๋งจิ่วกล่าวถามว่า “เมื่อสามปีก่อนทางตะวันตกเฉียงใต้มีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้นหรือ?”
“ลานเมฆที่ถูกทำลายอยู่ค่อนไปทางเหนือ นอกจากเรื่องนี้แล้วยังมีอีกสองสามเรื่องที่น่าสนใจ”
หมอเอาสองสามเรื่องนั้นบอกเล่าออกมาทีละเรื่อง จากนั้นกล่าวว่า “นายน้อยสำนักเสวียนอินซูจึเย่ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ ถึงมาปรากฏตัวขึ้นที่อี้โจว จากนั้นถูกปู้เหล่าหลินวางยาพิษลอบสังหาร ทุกคนต่างคิดว่าเขาจะต้องตายแน่นอน ใครจะไปคิดบ้างว่าตอนนี้เขายังมีชีวิตอยู่ แถมยังกลายเป็นแขกคอยรับใช้สำนักกระบี่ซีไห่ เรื่องนี้ได้รับการยอมรับอย่างเงียบๆ จากสำนักฝ่ายธรรมะต่างๆ แล้ว ถือว่าเขาทิ้งด้านมืดออกมาสู่ด้านสว่าง”
กู้ชิงอดส่ายศีรษะขึ้นมาไม่ได้ กล่าวว่า “นี่กลับจะยิ่งไม่สว่างมากกว่า”
จิ๋งจิ่วลุกขึ้นยืนกล่าวขอบคุณ พากู้ชิงออกไปจากโรงหมอ
กู้ชิงไม่ค่อยเข้าใจ ในใจครุ่นคิดว่าไม่เห็นอาจารย์จะให้อะไรตอบแทนอีกฝ่าย จะจากไปทั้งแบบนี้อย่างนั้นหรือ?
แต่ไหนแต่ไรมาข่าวของเจวี่ยนเหลียนเหรินมีราคาที่สูงมาก ยิ่งไปกว่านั้นข่าวที่พวกเขาให้มาในวันนี้ก็มีค่ามาก —- เรื่องกั้วตงยังดีหน่อย แต่ที่สำคัญก็คือข่าวของถงเหยียน
กลับมาจากตะวันตกเฉียงใต้และคะน้าก้านแดงจานหนึ่ง ทั้งสองสิ่งนี้ดูเหมือนเป็นข้อมูลที่ไม่มีค่าอะไร แต่สำหรับคนที่ฉลาดแล้ว นี่สามารถคาดคะเนเรื่องต่างๆออกมาได้หลายเรื่อง
จิ๋งจิ่วเองก็ไม่เข้าใจว่านี่เป็นเพราะอะไร
ในตอนแรกที่เขาเริ่มติดต่อกับเจวี่ยนเหลียนเหริน ทั้งสองฝ่ายจะใช้วิธีแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน อาจจะเป็นเพราะข้อมูลที่เขาให้ไปนั้นมีความเก่าแก่หรือไม่ก็มีประโยชน์อย่างมาก เจวี่ยนเหลียนเหรินจึงมีท่าทีที่ต้องการผูกมิตรกับเขามาโดยตลอด แต่ภายหลังท่าทีที่เจวี่ยนเหลียนเหรินมีต่อเขากลับยิ่งมีความเคารพขึ้นเรื่อยๆ เรียกได้ว่าเขาสามารถถามได้ทุกๆ เรื่องที่ต้องการ ราวกับว่าเขาเป็นคนก่อตั้งเจวี่ยนเหลียนเหรินขึ้นมาเอง
เมืองจวี้เย่ในเวลาค่ำคืนยังคงคึกคัก สองข้างทางของถนนเต็มไปด้วยกลิ่นเนื้อแพะ
จิ๋งจิ่วพากู้ชิงเดินเข้าไปในเหลาสุราแห่งหนึ่ง เข้าพักในห้องส่วนตัวที่อยู่สูงที่สุด สั่งหม้อไฟมาหม้อหนึ่ง ครึ่งหนึ่งเป็นน้ำแกงใส ครึ่งหนึ่งเป็นน้ำแกงพริกสีแดง
ในอดีตตอนที่ท่องเที่ยวไปบนโลกกับเจ้าล่าเยวี่ย เขาเคยชินกับการที่ต้องสั่งหม้อไฟทุกครั้งที่เดินทางไปถึงเมืองเมืองหนึ่ง แต่หาได้กินมันจริงๆ ไม่
ก็เหมือนกับที่เขามองเห็นเด็กเล็กๆ อย่างจิ๋งหลีและจิ่งเหยา บางครั้งก็จะถามขึ้นมาว่าจะอุ้มหรือไม่ แต่ไม่ได้คิดที่จะอุ้มจริงๆ
กู้ชิงเป็นศิษย์ของเขา จึงไม่ค่อยกินอะไรเช่นกัน แล้วก็ไม่ค่อยเอาใจเด็กเช่นเดียวกันด้วย
ศิษย์อาจารย์นั่งอยู่ที่สองข้างของโต๊ะ มองดูต้นหอมและเมล็ดฮวาเจียวลอยผลุบๆ โผล่ๆ ขึ้นลงอยู่ในน้ำแกงสองสี
ด้านล่างเหลาสุรา เถ้าแก่หยิบใบไม้ทองคำแผ่นนั้นออกมาจากในปาก อดเงยหน้ามองขึ้นไปข้างบนไม่ได้ ในใจครุ่นคิดว่าช่างเป็นคนประหลาดจริงๆ
จิ๋งจิ่วและกู้ชิงไม่ได้เหม่อลอยมองดูหม้อไฟ หากแต่กำลังครุ่นคิด ขณะเดียวกันก็กำลังฟังพวกแขกที่อยู่ในเหลาสุราคุยกัน
เมืองจวี้เย่ตั้งอยู่ทางเหนือของแผ่นดิน อากาศหนาวเย็น อยู่ค่อนข้างใกล้กับเขาเหลิ่งซานและที่ราบหิมะ ค่อนข้างอันตราย
ภายในเมืองไม่ค่อยมีชาวบ้านธรรมดาเท่าไหร่ แต่พ่อค้า ผู้ฝึกยุทธและผู้บำเพ็ญพรตกลับมีจำนวนไม่น้อย
ข่าวสารของที่นี่มีความซับซ้อน ย่อมไม่อาจเทียบกับเจวี่ยนเหลียนเหรินได้ แต่บางครั้งก็จะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ปรากฏออกมาบ้าง
……
……
เรื่องคุกสะกดมารผ่านมาได้สิบกว่าวัน ในที่สุดข่าวก็แพร่กระจายมาถึงเมืองจวี้เย่ ผู้คนภายในเหลาสุราย่อมต้องพูดคุยกันถึงเรื่องนี้
“มังกรชางหลงตัวนั้นเกรงว่าคงยาวร้อยกว่าลี้ได้ ลอยพาดขวางอยู่บนท้องฟ้าเหนือเมืองเจ้าเกอ คล้ายกับย้ายเอาเขาคุนหลุนมาอย่างไรอย่างนั้น คุณชายของตระกูลข้ามองดูภาพนั้นอยู่ด้านนอกเมือง เกือบจะเป็นลมสลบไปแหนะ! เถ้าแก่สี่รีบส่งจดหมายมาบอกข้า สุดท้ายชางหลงกับจักรพรรดิแห่งหมิงสู้กันไปสามร้อยกระบวนท่า ไม่มีใครยอมใคร จึงได้แต่ต้องตายพร้อมกัน จักรพรรดิแห่งหมิงถูกเพลิงสวรรค์เผาผลาญจนตาย ชางหลงตกลงมาด้านล่าง ในตอนนั้นได้ยินเพียงเสียงดังกัมปนาท บ้านเรือนครึ่งเมืองเจาเกอถูกทับจนพังพินาศ พื้นดินแตกออกเป็นเสี่ยงๆ รอยแตกที่ลึกที่สุดนั้นลึกหลายร้อยจ้าง แม่น้ำใต้ดินไหลทะลักออกมา ตอนนี้กลายเป็นแม่น้ำสายใหญ่สายหนึ่ง! ถ้าเจ้าไม่เชื่อ วันหน้าลองไปดูที่เมืองเจาเกอก็ได้”
“เหลวไหลจริงๆ! ต่อให้ชางหลงเป็นสัตว์เทพของเขาอวิ๋นเมิ่ง ก็ไม่มีทางที่มันจะยาวขนาดนี้ได้ ไม่อย่างนั้นเวลาปกติมันจะไปอยู่ที่ไหนของเมืองเจาเกอ?”
“ก่อนหน้านี้ข้าก็บอกเจ้าแล้วไง! ปกติชางหลงจะซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน! มันก็คือคุกสะกดมารที่ร่ำลือกัน! นักโทษเหล่านั้นล้วนแต่อยู่ในท้องของมัน!”
ในตอนที่คำพูดประโยคนี้กล่าวออกมา ภายในเหลาสุราก็มีเสียงอุทานตกใจดังขึ้นมา แปรเปลี่ยนเป็นคึกคักขึ้นมาทันที
มีคนแค่นหัวเราะขึ้นมา กล่าวว่า “สมน้ำหน้า! สำนักจงโจวคุยโวว่าตนเองเป็นสำนักฝ่ายธรรมะ แต่กลับปล่อยให้ชางหลงกินคน นี่มันสัตว์เทพอะไรกัน! เลวเสียยิ่งกว่าปีศาจซะอีก!”
“ถุย! คำพูดของจักรพรรดิแห่งหมิงและมารชั่วพวกนั้นเชื่อได้ที่ไหนกัน? เทพมังกรสร้างคุณงามความดีให้แก่มนุษย์ เจ้ากล้าลบหลู่มัน ช่างน่าโมโหจริงๆ พวกเจ้าไม่ได้ตายดีแน่!”
เมื่อคำพูดไม่ไปในทางเดียวกัน อีกทั้งยังมีสุราเป็นตัวกระตุ้น คนที่มีความเห็นไม่ตรงกันก็เริ่มถกเถียงกันขึ้นมาอย่างรุนแรง สุดท้ายก็กลายเป็นการต่อสู้ที่วุ่นวาย
ภายในเหลาสุราตกอยู่ในความวุ่นวายทันที ลมหมัดและถ้วยชามปลิวว่อน เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ไม่มีใครใช้อาวุธ แล้วก็ไม่มีใครใช้พลังออกมาด้วย
พวกพ่อค้านอกพื้นที่ที่สนับสนุนสำนักจงโจวเหล่านั้นเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ถูกไล่ออกไปจากเหลาสุรา เพราะคนที่สะใจกับการที่สำนักจงโจวต้องเสียหายนั้นมีจำนวนเยอะกว่าพวกเขามาก
เมืองจวี้เย่อยู่ในเขตแดนของนิกายเฟิงเตา ในอดีตที่นิกายเฟิงเตาสามารถปักหลักยืนอยู่บนดินแดนทางเหนือได้ ก็เป็นเพราะพวกเขาสะกดสำนักคุนหลุนเอาไว้ แล้วผู้คนที่นี่จะไปชื่นชอบที่พึ่งพิงของสำนักคุนหลุนได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ยังอยู่ใกล้เขาเหลิ่งซานเป็นอย่างมาก ผู้บำเพ็ญพรตจำนวนมากภายในเมืองและเหล่าพ่อค้าล้วนแต่มีความสัมพันธ์กับพรรคมารและผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักเหล่านั้น แล้วพวกเขาจะยืนอยู่ข้างสำนักจงโจวที่เป็นสำนักฝ่ายธรรมะได้อย่างไร?
หลังเหล่าพ่อค้าต่างถิ่นที่สนับสนุนสำนักจงโจวถูกไล่ออกไปแล้ว เหลาสุราก็กลับคืนสู่ความสงบอย่างรวดเร็ว หม้อทองแดงที่พลิกคว่ำถูกตั้งขึ้นไปใหม่ เนื้อแพะสดๆ ที่ถูกแล่ออกมาใหม่ถูกยกออกมาพร้อมไอร้อน เสียงตวัดตะเกียบเข้ามาแทนที่เสียงด่า
บนถนนด้านนอกเหลาสุราพลันมีเสียงฝีเท้าม้าดังแน่นขนัด ภายในท้องฟ้ายามค่ำคืนมีเสียงแหวกอากาศ จากนั้นก็เป็นเสียงอุทานตกใจ
“เกิดเรื่องแล้ว! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
ชายผู้หนึ่งพุ่งจากบนถนนเข้ามาในเหลาสุรา ก่อนจะตะโกนบอกทุกคนที่อยู่ในเหลาสุรา ทั่วทั้งศีรษะเต็มไปด้วยเหงื่อ
แขกที่รู้จักเขายื่นสุราข้าวให้เขาชามหนึ่ง พลางกล่าวถามว่า “มีเรื่องอะไร?”
ชายผู้นั้นดื่มสุราข้าวรวดเดียวจนหมด ก่อนพูดหอบๆ ว่า “หลังจากนี้สามวัน สำนักเสวียนอินจะเปลี่ยนจากสำนักไปเป็นนิกายแล้ว!”
เดิมทุกคนไม่ได้สนใจอะไรชายผู้นี้นัก ทุกคนยังคงกินดื่ม พลางชี้ไปยังชายผู้นั้น หัวเราะพร้อมกล่าวอะไรบางอย่าง
หลังได้ยินประโยคนี้ เสียงกินดื่มภายในเหลาสุราพลันหายไป กลายเป็นความเงียบสงัด
สำนักเสวียนอินจะเปลี่ยนจากสำนักไปเป็นนิกาย?
สำหรับที่อื่นๆ ในแผ่นดินเฉาเทียนแล้ว การเปลี่ยนจากสำนักไปเป็นนิกายนั้นเป็นแค่การเปลี่ยนชื่อเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรสำคัญ
แต่สำหรับชาวเมืองจวี้เย่ที่รู้เรื่องประวัติศาสตร์ของเขาเหลิ่งซานและมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับพรรคมารและผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักแล้ว นี่ย่อมต้องเป็นเรื่องใหญ่
มิใช่พรรคมารทุกพรรคจะมีสิทธิ์เปลี่ยนไปเรียกว่านิกายได้ พูดอีกอย่างก็คือคำว่านิกายนี้ห้ามใช้สะเปะสะปะ
ในอดีตนิกายเฟิงเตานั้นเป็นสำนักเล็กๆ ระดับล่าง หากมิเป็นเพราะเฉาหยวนปรากฏตัวขึ้นมา เกรงว่าคงจะต้องเกิดเรื่องใหญ่เพราะชื่อสำนักของพวกเขาแน่
เพราะในอดีตแผ่นดินเฉาเทียนเคยมีนิกายหนึ่งชื่อว่านิกายเสวี่ยหมัว
…………………………………………………………..