มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 79 ชายหนุ่มเลือดร้อนในเขาเหลิ่งซานกำลังมองดูเจ้าอยู่
- Home
- มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2
- ตอนที่ 79 ชายหนุ่มเลือดร้อนในเขาเหลิ่งซานกำลังมองดูเจ้าอยู่
เมื่อพันปีก่อน นิกายเสวี่ยหมัวคือเจ้าแห่งวิถีมาร ยิ่งใหญ่เกรียงไกร แม้นภายหลังจะถูกสำนักฝ่ายธรรมะอย่างสำนักจงโจวร่วมมือกันกำจัดไปแล้ว แต่อิทธิพลก็ยังสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
อาวุธวิเศษและวิชาลับของนิกายเสวี่ยหมัวจำนวนมากก็ตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน กลายเป็นอาวุธวิเศษประจำสำนักและวิชาลับของสำนักฝ่ายอธรรมจำนวนมาก
สำนักเหล่านี้เรียกตัวเองว่าเป็นผู้สืบทอดที่แท้จริงของนิกายเสวี่ยหมัว คล้ายกับว่าการทำแบบนี้ถึงจะทำให้ตัวเองมีสถานะที่สูงขึ้นในโลกที่มืดมิดได้
วิชาลับที่อยู่บนตานปีศาจกุ่ยมู่หมิงที่หลิ่วสือซุ่ยได้มาเมื่อในอดีตก็คือหนึ่งในวิชาลับของนิกายเสวี่ยหมัวที่หายสาบสูญไปบนโลก อีกทั้งยังเป็นวิชาปีศาจโลหิตที่อยู่ในระดับสูงสุดอีกด้วย
วิชาปีศาจโลหิตนี้สามารถปกปิดกลิ่นอายของตานปีศาจตัวอย่างสมบูรณ์แบบ ช่วยให้สภาวะของเขาก้าวหน้าขึ้นไปได้หลายเท่าในระยะเวลาสั้นๆ
สามารถจินตนาการได้เลยว่า หากเขาทรยศชิงซานจริงๆ ก็น่าจะมีสำนักวิถีมารจำนวนมากที่ยินดีต้อนรับเขาเป็นแน่
สำนักเสวียนอินเปลี่ยนไปเรียกตัวเองว่าเป็นนิกาย หรืออยากจะกลายเป็นนิกายเสวี่ยหมัวนิกายที่สอง?
จริงอยู่ที่เมื่อหลายร้อยปีก่อนสำนักเสวียนอินรุ่งโรจน์เป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าเป็นสำนักอันดับหนึ่งของฝ่ายอธรรม แต่ภายหลังพ่ายแพ้อย่างหมดรูปในการต่อสู้สำนักชิงซาน วิหารใหญ่ถูกทำลาย ปรมาจารย์รุ่นที่สามกลายเป็นผู้หลบหนีกระบี่ที่ไม่มีวันได้เห็นเดือนเห็นตะวัน ภายหลังสำนักก็อยู่อย่างเงียบๆ มาโดยตลอด เหตุใดจู่ๆ ถึงเปลี่ยนเป็นอวดดีเช่นนี้
หากบอกว่าคิดอยากจะฟื้นฟูสำนักขึ้นมาใหม่ นำพาสำนักวิถีมารที่เสื่อมอำนาจไปเป็นเวลาหลายปีกลับมาสร้างชื่อเสียงและบารมีอีกครั้ง หรือสำนักเสวียนอินไม่กลัวว่าจะถูกสำนักฝ่ายธรรมะบุกมาโจมตี?
ผู้คนที่อยู่ในเหลาสุราตื่นขึ้นมาจากความตกตะลึง พากันพูดคุยถึงเรื่องนี้
จะเรียกตัวเองว่าเป็นนิกายเสวียนอิน ประมุขนิกายคือใคร? ยังจะใช่ซูชีเกอหรือเปล่า?”
“ซูชีเกอนอนเป็นผักไปนานแล้ว”
“จะว่าไปแล้ว ตอนนั้นที่เจ้าสำนักซูธาตุไฟเข้าแทรกนี่มันช่างแปลกจริงๆ”
“แปลก? ใครๆ ก็รู้ว่านั่นมันเป็นหน่อมารที่โตขึ้นมาเป็นคน จากนั้นแก้แค้นให้แม่ แอบโจมตีจนสำเร็จ สุดท้ายทำให้พ่อตัวเองกลายเป็นคนพิการ”
“เงียบ! เรียกท่านผู้นั้นว่าหน่อมาร เจ้าไม่อยากมีชีวิตแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“เจ้านี่มันขี้ขลาดจริง ตอนนี้มันสมัยไหนแล้ว ยังจะกังวลเรื่องพวกนี้อีก?”
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ถึงแม้จะอยู่ในเหลาสุราที่อบอวลไปด้วยกลิ่นสุราและกลิ่นเนื้อภายในเมืองจวี้เย่ซึ่งอยู่ในเขตของนิกายเฟิงเตาก็ไม่มีใครกล้าที่จะกล่าวเรียกซูจึเย่ว่าเป็นหน่อมาร เพราะหากคนของสำนักเสวียนอินได้ยินเข้า คนผู้นั้นจะต้องถูกลอบทำร้ายอย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้ซูจึเย่ได้ถูกขับออกจากสำนักเสวียนอิน ไปยังซีไห่ เปลี่ยนจากอธรรมเป็นธรรมะ ผู้คนในเมืองจวี้เย่ไหนเลยจะยังหวาดกลัวเขาอีก?
“ไม่รู้ว่าหากนายน้อยซูที่อยู่ที่ซีไห่รู้เรื่องนี้เข้าจะมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง ประมุขนิกายคนใหม่ดูแล้วจะต้องเป็นคนที่ร่ำลือผู้นั้นอย่างแน่นอน ช่างเป็นจิ้งจอกที่ลี้ลับจริงๆ…”
มีคนกล่าวทอดถอนใจออกมา
จิ๋งจิ่วที่อยู่บนเหลาสุราฟังเรื่องเหล่านี้ นิ่งเงียบไม่กล่าวคืออะไร
หากกั้วตงคือคนที่เขาคาดเดาผู้นั้น นั่นต่างหากถึงจะเป็นความลี้ลับอย่างแท้จริง
น้ำแกงใสในหม้อไฟเดือดจนใกล้จะเหือดแห้ง
ต้นหอมลอยติดอยู่ตรงขอบหม้อ ค่อนข้างเปื่อยยุ่ย ตรงขอบมีรอยไหม้เล็กน้อย ดูแล้วคล้ายปืนใหญ่พลังวิญญาณที่ถูกกองทัพเสินเว่ยยิงจนพังเสียหาย
จิ๋งจิ่วมองดูภาพที่อยู่ตรงหน้า รู้แล้วว่ากั้วตงคิดจะทำอะไร
ถงเหยียน ซูจึเย่ อี้โจว สำนักฌานเป่าทง เปลี่ยนจากอธรรมมาเป็นธรรมะ คำเหล่านี้เป็นเหมือนหยดน้ำหยดเล็กๆ ที่ลอยขึ้นมาตรงหน้าเขา ก่อนจะกลายเป็นหมอกกลุ่มหนึ่ง
เส้นทางเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นเลือนลางอยู่ภายในหมอก
—-ที่แท้พวกเจ้าอยากจะฆ่าเจี้ยนซีไหล
จิ๋งจิ่วส่ายศีรษะ มอง กู้ชิงพลางกล่าวว่า “ช่วงนี้เผยไป๋ฟ่าอยู่ที่ไหน?”
กู้ชิงงุนงงเล็กน้อย กล่าวว่า “หลังโจมตีลานเมฆเสร็จสิ้น ท่านเผยก็เก็บตัวบำเพ็ญเพียรอย่างเงียบๆ อยู่ที่เขาว่านโซ่วขอรับ”
สำนักชิงซานและสำนักอู๋เอินเหมินมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาช้านาน เขาย่อมต้องทราบข้อมูลเหล่านี้ เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆ อาจารย์ถึงสนใจเรื่องนี้
จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่ เขายังคงส่ายศีรษะ
ส่ายศีรษะมิใช่ทอดถอนใจ มิใช่เห็นใจ มิใช่เย้ยหยัน หากแต่เป็นการปฏิเสธ
เจี้ยนซีไหลฆ่าไม่ตาย
ต่อให้มีเผยไป๋ฟ่า ก็ยังฆ่าไม่ตาย
……
……
นอกเมืองจวี้เย่ กระบี่เหล็กแหวกอากาศบินขึ้นไป
กู้ชิงนั่งอยู่ด้านหลัง กอดแมวขาวเอาไว้แน่น กล่าวถามว่า “อาจารย์ พวกเราจะไปสำนักเสวียนอินหรือขอรับ?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ไม่ พวกเราจะไปทะเลตะวันตก”
หากอยากจะเดินทางจากที่ราบหิมะไปยังทะเลตะวันตก เส้นทางที่ใกล้ที่สุดและสะดวกที่สุดก็คือจากเมืองจวี้เย่ทะลุผ่านเขาเหลิ่งซานจนไปถึงริมทะเล จากนั้นค่อยเดินทางเลียบชายฝั่งลงไปทางใต้
ถ้าเป้าหมายของเขามิใช่เมืองไห่โจวที่อยู่ในเขตของทะเลตะวันตก หากแต่เป็นหมู่เกาะที่สำนักกระบี่ซีไห่ตั้งอยู่ เช่นนั้นก็ต้องเดินทางต่อเข้าไปในส่วนลึกของทะเล
กระบี่เหล็กสีดำคล้ายหายตัวไปในความมืด ไม่มีลำแสงกระบี่ใดๆ มุ่งไปข้างหน้าหน้าอย่างไร้ซุ่มเสียง แต่ยังคงทำให้คนบางกลุ่มรู้ตัว
เจตน์ดาบหลายสิบสายทยอยปรากฏขึ้นในความมืด คล้ายโซ่เส้นหนึ่ง มุ่งหน้าจากเมืองจวี้เย่ไปทางทุ่งกว้างรกร้าง
หลังนิกายเฟิงเตารู้ข่าวสำนักเสวียนอินจะตั้งนิกายขึ้นมา พวกเขาก็ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ถึงขนาดส่งยอดฝีมือออกมามากมายขนาดนี้
สำนักธรรมะสำนักอื่นต่อให้ทราบข่าวนี้ ก็ไม่มีทางเดินทางมาถึงที่นี่ในระยะเวลาสั้นๆ ได้
ไม่ใช่ทุกคนที่จะบินได้เหมือนอย่างจิ๋งจิ่ว ลมพายุที่พัดด้วยความเร็วสูงนั้นสามารถพัดจนคนตายได้เลย
แสงดาวสลัวลงเล็กน้อย แสงดาบส่องประกายราวหิมะ ยอดฝีมือของนิกายเฟิงเตาที่รูปร่างซูบผอมผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นในท้องฟ้ายามค่ำคืน กล่าวถามเสียงคร่ำเคร่งว่า “ผู้ที่มาคือใคร?”
จิ๋งจิ่วหลับตา ไม่ได้สนใจ
การควบคุมกระบี่ด้วยความเร็วเช่นนี้ ต่อให้เป็นเขาก็จำเป็นต้องรวบรวมสมาธิ
กู้ชิงลุกขึ้นยืน หยิบเอาป้ายกระบี่ออกมา กล่าวว่า “ศิษย์ชิงซานขอผ่านทาง”
เมื่อรับรู้ได้ถึงเจตน์กระบี่ชิงซานที่อยู่บนป้ายกระบี่ ยอดฝีมือของนิกายเฟิงเตาผู้นั้นรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็เปิดทาง
เพียงแค่พริบตา กระบี่เหล็กก็พุ่งออกไปไกลหลายลี้ แซงหน้าเจตน์ดาบเหล่านั้น ก่อนจะหายลับไปในท้องฟ้าอันมืดมิด
กู้ชิงยังไม่ทันได้แม้แต่จะกล่าวขอบคุณ ได้แต่นั่งกลับไปบนกระบี่
กระบี่เหล็กค่อยๆ บินลึกเข้าไปในทุ่งกว้าง สภาพภูมิประเทศเริ่มเป็นเนินสูงต่ำ หมู่เขาที่สูงชันด้านหน้าปรากฏขึ้นใต้แสงดาว นั่นคือเขาเหลิ่งซานที่เล่าลือกัน
เขาเหลิ่งซานมีพื้นที่กว้างใหญ่ มีพรรคมารและยอดฝีมือไร้สำนักที่จิตใจโหดเหี้ยมอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
ความจริงแล้วหากมิเป็นเพราะสำนักฝ่ายอธรรมเสื่อมถอย ภายในเกิดการแก่งแย่งชิงดีกันไม่หยุด ไม่สามารถสามัคคีกันได้ นิกายเฟิงเตาก็ไม่แน่ว่าจะรักษาเมืองจวี้เย่เอาไว้ได้
โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เทพดาบไปอยู่ที่เมืองไป๋เฉิงเช่นนี้
บางครั้งจะสามารถมองเห็นควันสีดำและเงามืดที่ชั่วร้ายอยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืน ดูอวดดีเป็นยิ่งนัก แตกต่างจากสถานที่อื่นๆ บนแผ่นดินเฉาเทียนอย่างสิ้นเชิง
ยิ่งเข้าไปในส่วนลึกของเขาเหลิ่งซาน สถานการณ์เช่นนี้ก็ยิ่งพบเห็นได้บ่อยๆ
ข่ายพลังของสำนักพรรคมารเชื่อมต่อกับเส้นปราณแผ่นดิน ยากที่จะถูกทำลายได้ สิ่งที่ยุ่งวุ่นวายมากที่สุดก็คือในส่วนลึกของเส้นปราณแผ่นดินเหล่านั้นมักจะมีรอยแตกที่เชื่อมกับหุบเหวลึกที่จะทะลุไปยังดินแดนหมิง บางครั้งถึงขนาดมีมารเผ่าหมิงปรากฏตัวขึ้น ดังนั้นนอกจากยอดฝีมือขั้นแหวกทะเลแล้ว ผู้บำเพ็ญพรตฝ่ายธรรมะจึงไม่ค่อยมายังเขาเหลิ่งซานตัวคนเดียว เพื่อหลีกเลียงไม่เจอกับอันตราย
กระบี่เหล็กบินอยู่รอบนอกเขาเหลิ่งซาน น่าจะไม่เกิดเรื่องขึ้น
กู้ชิงเพิ่งจะมายังเขาเหลิ่งซานที่่เล่าลือกันเป็นครั้งแรก จึงรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย แต่ที่มากกว่านั้นก็คือความรู้สึกอยากรู้อยากเห็น เพื่อจะได้มองเห็นเงาดำที่อยู่ห่างออกไปได้ชัดเจนขึ้น เขาถึงขนาดยื่นศีรษะออกไปครึ่งหนึ่งโดยไม่สนใจความหนาวเย็น
แมวขาวที่อยู่ในอ้อมอกเขารู้สึกไม่พอใจ ในใจครุ่นคิดว่าเจ้าจะดูก็ดูไปสิ ทำไมต้องกอดข้าเอาไว้แน่นขนาดนี้ด้วย คิดว่าข้าเป็นเตาผิงอย่างนั้นหรือ?
ทันใดนั้น ในสายตาของกู้ชิงพลันมีความตกใจปรากฏขึ้นมา
ในหมู่เขาที่อยู่ไกลออกไปพลันมีเปลวเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา เผาไหม้ควันสีดำนั้นจนสลายหายไป!
ไม่ว่าควันสีดำนั้นจะเป็นยอดฝีมือของพรรคมารพรรคไหนหรือว่าเป็นผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนัก ก็ล้วนแต่ต้องตายอย่างแน่นอน
เพลิงเหล่านั้นมันคืออะไรกันแน่ เหตุใดถึงได้ร้ายกาจเพียงนี้ แม้นจะอยู่ห่างเป็นพันลี้ แต่ก็ยังรับรู้ได้ถึงพลังอันน่ากลัวของมัน
ในท้องฟ้าอันมืดมิดเช่นนี้ เปลวไฟเหล่านั้นเป็นเหมือนพระอาทิตย์ที่สว่างเจิดจ้า
“ธงสุริยัน”
จิ๋งจิ่วลืมตา มองไปทางด้านนั้น
กู้ชิงถึงได้รู้ว่านั่นคือสำนักเสวียนอิน
ในฐานะที่เป็นพรรคมารที่เคยรุ่งโรจน์อยู่ช่วงหนึ่ง ถึงแม้สำนักเสวียนอินจะเสื่อมถอยไปแล้ว แต่รากฐานยังคงหยั่งลึก ธงสุริยันคือสิ่งยืนยัน
อาวุธมารที่ชั่วร้ายที่ร่ำลือกันว่าใช้เด็กผู้ชายหลายพันคนเผาบูชายัญถึงจะหลอมขึ้นมาได้ ต่อให้เป็นยอดคนขั้นทะลวงสวรรค์ก็ยากที่จะเอาชนะได้
จิ๋งจิ่วมองดูสำนักเสวียนอินที่อยู่ไกลออกไป ตื่นตัวขึ้นมาเล็กน้อย
ความตื่นตัวของเขามิใช่เป็นเพราะธงสุริยัน
หลายปีก่อนเขาเคยสู้กับธงสุริยันมาแล้ว ถึงแม้คนที่ลงมืออย่างแท้จริงจะเป็นศิษย์พี่ก็ตาม
ความตื่นตัวของเขามาจากจิตสังหารสายหนึ่ง
ตรงสำนักเสวียนอิน มีคนกำลังจ้องมองเขาอยู่
คนผู้นั้นอยากฆ่าเขาเป็นอย่างมาก
……………………………………………………………