มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 80 ประมุขเสี่ยวหมิง (1)
ภายในเปลวเพลิงที่คล้ายจะเผาไหม้ท้องฟ้ายามค่ำคืนมีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองมาที่ จิ๋งจิ่วเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นและจิตสังหาร
อารมณ์ทั้งสองรุนแรงจนเป็นอย่างมาก จนคล้ายจะกลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้จริง แผ่พุ่งออกมาจากในธงสุริยัน
คนที่อยากจะฆ่าจิ๋งจิ่วบนโลกนี้มีไม่มาก แต่จะต้องมีอย่างแน่นอน
แต่คนที่เคียดแค้นเขาเช่นนี้ มีจิตสังหารที่รุนแรงถึงเพียงนี้กลับมีอยู่ไม่มาก
จิ๋งจิ่วมองไปทางนั้นอย่างเงียบๆ สายตาค่อยๆ เฉียบคมขึ้นมา คล้ายกระบี่เล่มหนึ่ง
……
……
ในส่วนลึกของเขาเหลิ่งซานที่อยู่ห่างไกลคือที่ตั้งของสำนักเสวียนอิน
ในเวลากลางดึก ภายในหุบเขายังคงเต็มไปด้วยความรู้สึกแห้งแล้ง ไม่มีความรู้สึกชุ่มชื้นเลยแม้แต่นิดเดียว นี่เป็นเพราะอิทธิพลของปราณเพลิงที่อยู่ใต้ดิน แล้วก็มีความเกี่ยวข้องกับธงสุริยัน
การเปลี่ยนจากสำนักเป็นนิกายอาจจะทำให้สำนักฝ่ายธรรมะบุกมาโจมตี สำนักเสวียนอินย่อมต้องระมัดระวัง เปิดใช้งานข่ายพลังเตรียมเอาไว้พร้อม
ริมหอสูงแห่งหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในหน้าผามีคนผู้หนึ่งกำลังทอดตามองออกไป ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่ แผ่นหลังดูค่อนข้างอ้างว้าง
ภายในส่วนลึกของถ้ำมีตั่งอยู่ตัวหนึ่ง หลังจากซูชีเกอซึ่งเป็นเจ้าสำนักเสวียนอินคนก่อนเป็นอัมพาต เขาก็นอนอยู่ที่นี่มาโดยตลอด
เกาหยายืนอยู่ริมตั่ง จ้องมองดวงตาของซูชีเกอ พลางกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ต่อให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่เจ้าต้องการ เจ้าก็ไม่มีทางกลายเป็นประมุขนิกายได้!”
ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสรุ่นที่เจ็ดที่ยังมีชีวิตอยู่ของสำนักเสวียนอิน สภาวะของเขาสูงส่งเป็นอย่างมาก ในช่วงเวลาสองปีนี้ควบคุมอำนาจส่วนใหญ่ของสำนักเสวียนอินเอาไว้ แต่ตอนนี้บนใบหน้าเขากลับไม่ได้มีความรู้สึกเหมือนควบคุมทุกอย่างเอาไว้ได้อย่างในตอนแรก เพราะในตอนนี้เขาได้พบแล้วว่าที่แท้การควบคุมที่ว่าล้วนแต่เป็นสิ่งที่เขาคิดไปเอง
ซูชีเกอกล่าวอย่างเฉยชาว่า “กระทั่งลูกชายตัวเองข้ายังทิ้งไปแล้ว หรือเจ้าคิดว่าข้ายังจะสนใจตำแหน่งประมุขนิกายอะไรนี่อีก?”
เกาหยากล่าวเสียงเบาว่า “ทางที่ดีข้าว่าเจ้าภาวนาขอให้นิกายเฟิงเตาและสำนักคุนหลุนอย่าได้ลงมือจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นหากสำนักเกิดเรื่อง เจ้านั่นแหละที่จะเป็นตัวการที่ทำลายสำนัก!”
ซูชีเกอกล่าวว่า “ก่อนเฉาหยวนจะกลายเป็นอรหันต์ก็สังหารคนไปเป็นจำนวนมาก คุนหลุนนั้นอ่อนแอมาหลายปี มีธงสุริยันอยู่เช่นนี้ หรือแซ่เหอผู้นั้นยังกล้ามาสอดแนมอีก?”
เกาหยากล่าวเสียงดังว่า “แต่เจ้าอย่าลืมเสียล่ะ เบื้องหลังคุนหลุนยังมีเขาอวิ๋นเมิ่ง!”
ซูชีเกอหลับตาลงเล็กน้อยกล่าวว่า “คุกสะกดมารเกิดเรื่อง ความสนใจของชิงซานและจงโจวล้วนอยู่ที่เมืองเจาเกอ พวกนั้นไม่มีทางมานั่งสนใจพวกเราหรอก”
การเปลี่ยนจากสำนักเป็นนิกายคือความคิดของเขา เขาเคยอธิบายเหตุผลออกมาหลายครั้งแล้ว — สำนักเสวียนอินควรจะฉวยโอกาสนี้ ฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ เรียกยอดฝีมือของพรรคมารและยอดฝีมือไร้สำนักมาเข้าร่วมเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง แต่ในระหว่างนี้จะทำอย่างเอิกเกริกไม่ได้ แล้วก็ห้ามไปหาเรื่องสำนักใหญ่ทางฝ่ายธรรมะเหล่านั้นด้วย
หลักเหตุผลพูดมาแล้วล้วนแต่มีเหตุผล แต่ในทางปฏิบัติจริงมักจะเป็นไปไม่ได้
สีหน้าเกาหยาดูแย่อย่างมาก ขณะกำลังจะพูดแย้งต่อ เขาพลันรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงหมุนตัวมองไปทางด้านนอกหุบเขา กล่าวว่า “มีคนแอบมองอยู่!”
ทันทีที่พูดจบ ภายในหุบเขาพลันมีลมพัดขึ้นมา
ลมนี้แห้งเป็นอย่างมาก คล้ายกับเปลวเพลิงที่ไร้รูปร่าง ลามเลียทุกสิ่งอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นเกาหยาหรือว่าซูชีเกอที่นอนอยู่บนตั่งก็ล้วนแต่รู้สึกหายใจได้ไม่ค่อยสะดวก
ลำแสงที่เจิดจ้าปกคลุมทั่วทั้งหุบเขาเอาไว้ แต่แผ่นหลังของคนที่ยืนอยู่ริมหอผู้นั้นกลับไม่ถูกกลืนกิน ยิ่งไปกว่านั้นยังดูดำมืดยิ่งขึ้น
ธงสุริยันพุ่งขึ้นมาจากปราณเพลิงใต้ดิน ลุกโชนโหมกระหน่ำ กลายเป็นเปลวเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วน กลืนกินสังหารควันสีดำสายหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบลี้
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้เกาหยาตกตะลึง ยากจะควบคุมตัวเองได้
เขามองเห็นอย่างชัดเจน ควันสีดำสายนั้นคือผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักชื่อดังผู้หนึ่งบนเขาเหลิ่งซาน
แม้นสภาวะของผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักผู้นั้นจะไม่เท่าตน แต่ก็แตกต่างกันไม่มาก ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าธงสุริยันก็ยังไม่อาจต้านทานได้ ตายลงไปอย่างเงียบๆ เช่นนี้!
เกาหยาและซูชีเกอสบตากัน ต่างฝ่ายต่างมองเห็นความรู้สึกไม่สบายใจในดวงตาของอีกฝ่าย มิได้โต้เถียงกันอีก
คนหนึ่งคือเจ้าสำนักรุ่นก่อน อีกคนหนึ่งคือผู้อาวุโสรุ่นที่เจ็ด พวกเขาย่อมต้องรู้จักธงสุริยันเป็นอย่างดี แต่วันนี้กลับเกิดความรู้สึกแปลกหน้าเป็นอย่างมาก
ธงสุริยันเมื่ออยู่ในมือพวกเขาก็เป็นได้เพียงฐานของข่ายพลังประจำสำนัก ใช้ป้องกันการโจมตีจากโลกภายนอก ไหนเลยจะมีอนุภาพที่น่ากลัวอย่างเช่นตอนนี้ได้
เหตุผลนั้นชัดเจน เป็นเพราะวิชาลับโบราณที่ใช้ควบคุมธงสุริยันของสำนักเสวียนอินได้หายสาบสูญไปนานแล้ว…
ถึงแม้ซูชีเกอจะเป็นเจ้าสำนัก แต่ก็ไม่สามารถทำให้ธงสุริยันยอมรับได้
กระทั่งคนผู้นั้นมายังสำนักเสวียนอิน นำเอาวิชาลับกลับมา
เกาหยาและซูชีเกอมองดูแผ่นหลังของคนที่ยืนอยู่ริมหอสูงเท่านั้น สายตาค่อนข้างสับสน
เมื่อตอนแรกสุดที่พบว่าคนผู้นั้นสามารถใช้วิชามารเสวียนอินที่เก่าแก่ที่สุดได้ เกาหยาทั้งประหลาดใจและรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง คิดอยากจะใช้เขากำจัดซูจึเย่ จากนั้นค่อยใช้เขาเป็นหุ่นเชิด
ซูชีเกอเองก็มีความคิดที่เหมือนกัน
แต่พวกเขาต่างก็ล้มเหลว
คนผู้นั้นมีความเด็ดเดี่ยวที่เกินอายุ เย็นชาไร้ความรู้สึก คล้ายเป็นคนที่เกิดมาเพื่ออยู่ในวิถีอธรรม
สุดท้ายเขาก็ไม่ได้มองความคิดของซูชีเกอและเกาหยาอยู่ในสายตา หากแต่ยึดเอาสำนักเสวียนอินทั้งสำนักมาอยู่ในกำมือ
“ทางด้านนั้นมีกระบี่ของสำนักชิงซาน”
คนผู้นั้นกล่าวอย่างไร้ความรู้สึก
เกาหยารีบกล่าวขึ้นมาว่า “เจ้าสำนักโปรดระวังด้วย!”
ซูชีเกอเองก็แทบจะพูดขึ้นมาในเวลาเดียวกัน “ขอเจ้าสำนักโปรดไตร่ตรองด้วย!”
ตอนนี้ธงสุริยันอานุภาพร้ายกาจขึ้นกว่าเดิม สำนักเสวียนอินกำลังทรงอำนาจ หากเป็นศิษย์ของสำนักฝ่ายธรรมะสำนักอื่น บอกฆ่าก็คงฆ่าไปแล้ว แต่นั่นมันกระบี่ของสำนักชิงซานนะ….
สำนักเสวียนมีความแค้นฝังลึกที่ไม่อาจคลี่คลายได้กับสำนักชิงซาน แล้วก็มีความหวาดกลัวอย่างมากด้วย หากต้องเปิดศึกกับสำนักชิงซานจริงๆ หรือสำนักเสวียนอินจะต้องย้ายสำนักอีกครั้งหนึ่ง?
คนผู้นั้นเดินไปด้านหน้าหอสูงสองก้าว ร่างกายสั่นเทิ้มเล็กน้อย บนกำปั้นที่ห้อยอยู่ข้างตัวทั้งสองข้างมีควันสีดำหมุนวน ดูคล้ายกำลังตื่นเต้น
เขามีขาที่กะเผลกข้างหนึ่ง
ในดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชังและจิตสังหาร
ไม่มีใครมองเห็นภาพที่อยู่ห่างออกไปพันลี้ แต่เขาสามารถมองเห็นจิ๋งจิ่วที่อยู่บนกระบี่เหล็ก นี่เป็นเพราะความช่วยเหลือจากธงสุริยัน
หลังได้รับการยอมรับจากธงสุริยัน ตัวเขาที่เดิมใกล้จะฝึกวิชามารได้สำเร็จ สภาวะก็ก้าวหน้าขึ้นอย่างก้าวกระโดดอีกครั้ง
พูดอีกอย่างก็คือ ตอนนี้เขาแข็งแกร่งมาก
ดังนั้นเขาจึงมีอารมณ์ชั่ววูบอย่างรุนแรงที่คิดอยากจะออกไปฆ่าจิ๋งจิ่ว
เขาค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลง มือทั้งสองข้างหยุดสั่นลง ควันสีดำที่วนอยู่รอบมือก็ค่อยๆ สลายไป
ที่เขาล้มเลิกความคิดเป็นเพราะว่าอยู่ห่างเกินไป เขาไม่มั่นใจว่าธงสุริยันจะสามารถสังหารอีกฝ่ายได้
“สักวันหนึ่ง ข้าจะฆ่าเจ้ากับเจ้าล่าเยวี่ยให้ได้…”
เขามีชื่อว่าหวังเสี่ยวหมิง
หลังเขาเกิดมาไม่นาน หมู่บ้านเล็กๆที่เขาใช้ชีวิตอยู่ก็ถูกดินโคลนและก้อนหินที่เกิดจากการต่อสู้ของผู้บำเพ็ญพรตสองคนถล่มลงมากลืนกิน
ซือเฟิงเฉินที่เป็นเจ้าหน้าที่กรมชิงเทียนช่วยชีวิตเขาไว้ เลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่
ตอนที่ยังเป็นเด็กหนุ่ม เขาทำงานอยู่ในห้องเอกสารของกรมชิงเทียน มีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งชื่อชีสือเอ้อ
ในเวลานั้นเรื่องที่เขาชอบทำมากที่สุดในทุกๆ วันก็คือไปทำกับข้าวและเลี้ยงไก่ที่บ้านพ่อบุญธรรม
สิบสองปีก่อน ซือเฟิงเฉินจ้างนักฆ่าของปู้เหล่าหลินให้ไปสังหารเจ้าล่าเยวี่ย หลังแผนการล้มเหลวก็ได้ฆ่าตัวตายต่อหน้าจิ๋งจิ่ว
คนแรกที่เห็นภาพเหตุการณ์อันน่าสลดก็คือเขา
เขาเอาวิชาที่พ่อบุญธรรมทิ้งไว้ให้หนีออกมาจากเมืองเจาเกอ ก่อนจะเดินทางผ่านวัดเก่าและป่าเขาอย่างยากลำบาก
เขาเจอเหตุการณ์ประหลาดที่ใต้น้ำตกและในถ้ำติดต่อกัน แล้วก็ได้เรียนวิชาลับที่เก่าแก่และดั้งเดิมที่สุดของสำนักเสวียนอิน
……………………………..