มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 88 หมู่บ้านในภูเขา กระดูกขาวและทะเล (2)
หลังลมทะเลพัดผ่านป่าก็เบาลงกว่าเดิม ถนนดินโคลนที่แห้งไม่ได้กลายเป็นเศษฝุ่นฟุ้งกระจาย แต่ยังคงสัญจรได้อย่างยากลำบาก
จิ๋งจิ่วลากกั้วตงเดินไปข้างหน้า มองเห็นบ้านเรือนที่ผุพังเสียหายอยู่ริมทาง ตาข่ายจับปลาที่เปื่อยยุ่ย แล้วก็มีเศษกระดูกของสัตว์เลี้ยงที่ถูกกัดกิน แต่ว่ามองไม่เห็นคน แสงดาวที่ดูเย็นยะเยือกส่องสว่างสิ่งเหล่านี้ ทำให้เกิดความรู้สึกเสื่อมโทรมและน่ากลัว
เห็นได้ชัด ที่นี่ไม่มีใครอยู่อาศัยมาเป็นเวลานานแล้ว ดูแล้วน่าจะมีปีศาจที่ร้ายกาจอยู่ในละแวกนี้
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ จิ๋งจิ่วมิได้รู้สึกกังวล ในทางกลับกัน เขากลับรู้สึกว่าในที่สุดก็เจอเป้าหมายแล้ว
ตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่สามารถขี่กระบี่ได้ แต่ปีศาจธรรมดาจะทำร้ายเขาได้อย่างไร
เขาออกมาจากถนนดิน เดินตามร่องรอยเหล่านั้นเข้าไปในภูเขาที่อยู่ไม่ไกล เดินไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ก็พบถ้ำแห่งหนึ่งที่อยู่ในพงเถาวัลย์และก้อนหิน
ภายในถ้ำกว้างขวาง อีกทั้งยังแห้งสนิท ในส่วนลึกมีกองกระดูกกองใหญ่กองหนึ่ง พอจะมองออกว่าส่วนใหญ่เป็นกระดูกปลาและกระดูกปลาวาฬ
บนผนังถ้ำมีรอยที่เหมือนถูกไม้กวาดเหล็กขีดข่วนอยู่ชัดเจน
นี่เป็นปีศาจที่มีขนแข็งและถนัดลงไปในทะเล ไม่รู้ว่าเป็นปีศาจหมีหรือปีศาจอะไร
จิ๋งจิ่วเอากั้วตงวางไว้บนกองกระดูก ใช้กระบี่เหล็กแทนไม้เท้าค่อยๆ เดินกลับมายังปากถ้ำ มองไปทางด้านล่างภูเขา
ตอนนี้เป็นเวลากลางดึก แสงดาวส่องสว่าง ด้วยสายตาอันเฉียบคมของเขาทำให้สามารถมองเห็นสถานที่ที่อยู่ไกลออกไป
ห่างออกไปหลายลี้ ปีศาจที่ตัวใหญ่เหมือนภูเขาตัวหนึ่งกำลังมุ่งหน้าไปริมทะเล ในตอนที่กำลังจะลงไปในทะเล มันเหลียวหน้ากลับมามองดูถ้ำ
เห็นได้ชัดว่าปีศาจตัวนั้นไม่อยากจากไป แต่เป็นเพราะความหวาดกลัวทำให้มันต้องจากไป
เมื่อเห็นปีศาจตัวนั้นหายลงไปในทะเล จิ๋งจิ่วรู้สึกค่อนข้างเสียดาย เดิมเขาคิดว่าหากระดับของปีศาจตัวนี้สูงพอ ก็จะสามารถเอาตานปีศาจของมันมาให้กั้วตงกินได้
เมื่อคืนตอนอยู่บนหาดทรายกั้วตงได้กินยาของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยไปแล้ว แต่สำหรับอาการบาดเจ็บของนางในเวลานี้ วัตถุดิบที่ใช้ปรุงยาที่มีความสดใหม่มักจะได้ผลที่ดีกว่า
คิดไม่ถึงว่าปีศาจตัวนี้จะหวาดระแวงและรับรู้ได้ไวถึงเพียงนี้ ไม่ทันไรก็หนีไปเสียแล้ว
จิ๋งจิ่วไม่ค่อยเข้าใจ คิดในใจว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บสาหัส ยิ่งไปกว่านั้นไอพลังก็ไม่ได้แผ่ออกไปแม้แต่นิดเดียว ทำไมปีศาจตัวนี้ถึงยังตกใจจนหนีไปได้?
เขานึกไม่ถึงว่าตัวเองอยู่ในคุกสะกดมารมาเป็นเวลาสามปี อีกทั้งการต่อสู้กับชางหลงทำให้มีกลิ่นปนเปื้อนอยู่บนตัวเขามากมาย นี่เพิ่งผ่านมาได้ไม่กี่วัน กลิ่นย่อมต้องยังหลงเหลืออยู่ไม่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้นบางครั้งเขายังอุ้มหลิวอาต้าไว้ด้วย
นี่เท่ากับว่ากลิ่นของชางหลงแห่งจงโจวและกลิ่นของไป๋กุ่ยแห่งชิงซานล้วนแต่อยู่บนตัวเขาในเวลานี้
ไม่ว่าจะเป็นปีศาจที่ร้ายกาจแค่ไหน เมื่อได้กลิ่นที่ลอยมาตามลมย่อมต้องตกใจกลัวจนแทบสิ้นสติ แล้วจะไม่ให้พวกมันหนีไปได้อย่างไร?
……
……
แสงดาวส่องเข้ามาจากด้านนอกถ้ำ ส่องสว่างภาพที่อยู่ในถ้ำ
ในกองกระดูกสีขาวมีรังไหมอยู่รังหนึ่ง ในรังไหมมีคนอยู่คนหนึ่ง
ใบหน้าของกั้วตงปรากฏออกมาด้านนอก
นางกำลังหลับสนิท ดูไร้เดียงสาราวทารก
ภาพนี้ช่างน่าสนใจยิ่งนัก
จิ๋งจิ่วคิดว่าหากเหอจานอยู่ที่นี่ก็คงจะดี จะได้วาดภาพนี้ออกมา
เขานั่งลงตรงหน้ากองกระดูกสีขาว ขัดสมาธิแล้วเริ่มปรับลมหายใจ
ตื่นเช้าวันที่สองกั้วตงลืมตาตื่นขึ้นมา
นางไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกวางอยู่ในกองกระดูกสีขาว แล้วก็ไม่ได้รู้สึกไม่ชิน
ก็เหมือนกับที่นางได้เคยพูดไว้ตอนที่อยู่บนหาดทรายวันนั้น นางฆ่าคนมาเยอะมาก เห็นกระดูกมาเยอะมาก
นางรู้ว่าจิ๋งจิ่วตื่นอยู่ตลอด
“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?”
จิ๋งจิ่วลืมตา กล่าวว่า “ข้ากำลังคิดว่าควรจะเอาเจ้าส่งกลับไปที่สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยหรือว่าเมืองไป๋เฉิง”
ที่นี่อยู่ใกล้เมืองไป๋เฉิงมากกว่าสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยเล็กน้อย แต่มันก็ยังไกลอย่างมากอยู่
ด้วยอาการบาดเจ็บของพวกเขาในเวลานี้ ไม่มีทางที่พวกเขาจะเดินไปได้เลย แล้วก็ไม่มีวิธีที่จะแจ้งสำนักด้วย หากจะส่งข่าวผ่านทางคนอื่น ก็เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย
กั้วตงกล่าวว่า “จากที่นี่ไปทางตะวันออกเฉียงใต้สี่ร้อยลี้มีเมืองต้าหยวนอยู่ นอกเมืองมีสำนักชีอยู่แห่งหนึ่ง พวกเราไปที่นั่น”
ที่นี่คือทางเหนือของแผ่นดินเฉาเทียน ไม่ได้อยู่ในเขตอิทธิพลของสำนักชิงซาน แต่สำนักแม่ชีกลับมีอยู่ทุกจังหวัดทุกมณฑล
จิ๋งจิ่วครุ่นคิด รู้สึกว่าไม่เลว กล่าวว่า “ประเดี๋ยวข้าจัดการเอง เวลานี้เจ้าควรจะนอนไปก่อน”
รังไหมฟ้าเป็นวิธีการบำเพ็ญเพียรหรือว่าวิธีการรักษาวิธีหนึ่งที่คล้ายกับการจำศีล
กั้วตงย่อมต้องเข้าใจ จึงกล่าวว่า “ถ้ามีอะไรก็เรียกข้า”
จิ๋งจิ่วใช้กระบี่เหล็กพยุงร่างกายเดินออกมานั่งอยู่ด้านนอกถ้ำ
ดวงดาวดวงสุดท้ายที่อยู่ห่างไกลกำลังเร้นกาย ขอบฟ้าที่อยู่บนทะเลเป็นสีแดง
เมฆจำนวนนับไม่ถ้วนลอยมาจากทางทะเล
เมื่อเจอกับเทือกเขาที่ทอดตัวยาวไปทางทิศเหนือ ก้อนเมฆเหล่านั้นค่อยๆ ยกตัวสูงขึ้น เมฆบางส่วนในที่สุดก็ข้ามเทือกเขาไปได้สำเร็จ กลายเป็นริ้วเมฆเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วน
พวกมันจะกลายเป็นฝนในฤดูใบไม้ผลิ มอบความชุ่มชื้นให้แก่พื้นดินและชีวิตที่อยู่ทางด้านนั้น
ตรงนั้นจะมีสายธารและแม่น้ำ จากนั้นไหลลงสู่ทะเล
วนเวียนไปเช่นนี้
จิ๋งจิ่วทอดถอนใจ
กรรมก็เป็นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นจากที่ใด แต่ความจริงแล้วล้วนแต่มีเหตุของกันและกัน
เขาค่อยๆหลับตาลง
ในตอนที่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็เป็นเวลาสิบกว่าวันหลังจากนั้น
เขาใช้จิตจำแนกตรวจดูภายในร่างกาย พบว่าอาการบาดเจ็บดีขึ้น แต่ยังไม่สามารถเคลื่อนไหวรุนแรงได้
อย่างเช่นการขี่กระบี่ อย่างเช่นการถือกระบี่ไปฆ่าคน อย่างเช่นกระโดดไปยังหน้าผาที่มีหมอกหนาทึบปกคลุมที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยจ้าง แต่สามารถทำเรื่องง่ายๆ บางเรื่องได้แล้ว
กระบี่เหล็กบินออกห่างจากตัวเขา ลอยกลับมาในถ้ำ เคลื่อนไหวไปบนพื้นและบนผนังถ้ำอย่างรวดเร็ว ส่งเสียงเสียดสีเบาๆ
ปลายกระบี่ที่ดูเหมือนทื่อ สลักลวดลายเล็กๆ และซับซ้อนจำนวนนับไม่ถ้วน
เมื่อทำเรื่องเหล่านี้เสร็จ เขาก็ลุกขึ้นเดินกลับเข้ามาในถ้ำ มาตรงหน้ากองกระดูก พบว่าใบหน้าของกั้วตงดีขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ดูมีเลือดฝาด
อาการบาดเจ็บของนางคงที่ ถึงแม้จะไม่สามารถรักษาได้ แต่อย่างน้อยในตอนนี้ก็ยังไม่ตาย
จิ๋งจิ่วมองดูใบหน้าที่ดูธรรมดานั้น ก่อนจะนิ่งเงียบไปครู่
เขาเคยคิดว่าเหตุใดตอนนี้นางถึงยังเดาไม่ออกว่าตนเองเป็นใคร แต่เมื่อมาคิดดูแล้ว ตอนที่อยู่ในงานชุมนุมเหมยฮุ่ย ตนเองก็จำอีกฝ่ายไม่ได้เช่นกัน จึงรู้สึกโล่งใจขึ้น
ในด้านนี้ เขากับนางต่างก็ค่อนข้างโง่เขลา
จิ๋งจิ่วปลุกนางขึ้นมา เอากระบี่เหล็กเก็บเข้าไปในร่างกาย
กั้วตงมองดูภาพนี้ คิดถึงข่าวลือนั้นขึ้นมา จึงกล่าวว่า “ว่ากันว่าการบำเพ็ญเพียรของเจ้าเจอปัญหา สภาวะหยุดนิ่ง ตอนนี้ดูเหมือนจะมีความก้าวหน้าสินะ?”
จิ๋งจิ่วไม่ได้ตอบคำถามของนาง เขากล่าวว่า “ข้าจะไปทำธุระหน่อย”
กั้วตงกล่าวว่า “ที่ไหน?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ทางนั้นเหมือนจะมีหมู่บ้าน ไม่ไกล”
……
……
การข้ามเขาถือเป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับจิ๋งจิ่วในตอนนี้ โชคดีที่มีกระบี่เหล็กคอยช่วยเหลือ ยิ่งไปกว่านั้นเพียงแค่ข้ามยอดเขามาลูกหนึ่งก็มองเห็นหมู่บ้านนั้นแล้ว
เขาเคยใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านของตระกูลหลิ่วมาหนึ่งปี จึงรู้ว่าควรจะพูดคุยกับคนอย่างไร
เขาหยิบเอาหมวกลี่เม่าที่แขวนอยู่ด้านนอกบ้านหลังหนึ่งมาสวมใส่ จากนั้นเดินไปยังใต้ต้นฮว๋ายที่อยู่ตรงปากทางเข้าหมู่บ้าน แล้วใช้ใบไม้ทองคำแผ่นหนึ่งซื้อข้อมูลที่ตัวเองอยากจะรู้
ที่นี่คือที่ไหน เมืองที่อยู่ใกล้ที่สุดห่างออกไปเท่าไหร่ บ้านไหนมีรถ?
จากนั้นเขาพบว่าตนเองเจอปัญหาหนึ่ง
ในหมู่บ้านมีอยู่บ้านเดียวที่มีรถ นั่นคือบ้านของขุนนางชราที่เกษียณราชการมาจากในอำเภอ
ซึ่งก็คือเรือนหลังใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลแห่งนั้น ว่ากันว่ามีรถอยู่หลายคัน
ขุนนางชราที่เกษียณราชการมาผู้นั้นไม่มีทางให้ใครยืมรถ อีกทั้งอารมณ์ก็ไม่ดีอย่างมากด้วย
………………………………………………..