มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 91 ไม่อาจว่างได้ (1)
นอกหน้าต่างคือปลายวสันต์ เหมาะแก่การนอนหลับอย่างมีความสุข
ในตอนที่กั้วตงตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็เป็นเวลาหลายวันหลังจากนั้น
นางมองดูตรงข้าม พบว่าจิ๋งจิ่วยังนั่งอยู่ตรงนั้น คล้ายไม่ได้ขยับแม้แต่น้อย เพียงแต่ถ้วยชาใบนั้นไม่อยู่แล้ว
จิ๋งจิ่วดึงสายตากลับมาจากด้านนอกหน้าต่าง มองดูนางคล้ายคิดอยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา
นางกล่าวว่า “เจ้ารู้สึกว่าข้าเป็นบ้าใช่หรือเปล่า? สภาวะต่ำต้อยเพียงนี้กลับคิดไปฆ่าซีไหล”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “มันก็ไม่ฉลาดจริงๆ”
กั้วตงกล่าวว่า “ถงเหยียนเองก็พูดเช่นนี้ เขาแอบเตือนข้าหลายครั้งแล้วตอนที่อยู่ที่สวนผักของสำนักฌานเป่าทง”
จิ๋งจิ่วคิดในใจ แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่จะฟังคำแนะนำของคนอื่นอยู่แล้ว
“ข้ามีหลานคนหนึ่งชื่อเหอจาน โง่มาก ต่อไปถ้ามีโอกาสก็ช่วยข้าดูแลเขาด้วย”
กั้วตงไม่รอเขาตอบ กล่าวต่อว่า “ข้าไปทะเลตะวันตกเป็นเพราะว่าข้าคิดว่ามีความเป็นไปได้ ขอเพียงมีโอกาส ข้าก็คิดอยากจะลองดู”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “สิ่งสำคัญเบื้องต้นของความเสี่ยงใดๆ ก็น่าจะเป็นการที่ไม่สามารถหาทางเลือกอื่นแล้วได้”
กั้วตงกล่าวว่า “เวลาข้าเหลือไม่มาก เช่นนั้นมันก็เท่ากับว่าข้าไม่มีทางเลือกอื่น”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ข้าเคยบอกแล้วว่าเจ้าไม่ตายหรอก”
กั้วตงกล่าวว่า “ครั้งนี้ต่อให้ข้ารอดไปได้ เวลาก็เหลือไม่มากเช่นกัน”
จิ๋งจิ่วเข้าใจความหมายของนาง เหลียวหน้ามองดูทิวทัศน์นอกหน้าต่าง
เวลานี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ ทิวทัศน์ไม่งดงามเหมือนหลายวันก่อน แล้วก็ไม่งดงามเท่าใบไม้สีแดงในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง
หนอนไหมพ่นใย กระทั่งตายถึงจะหยุดลง แต่นั่นไม่ใช่การตายจริงๆ หลังจากนั้นมันจะกลายเป็นผีเสื้อกลางคืนที่สวยงาม กางปีกโบยบินออกไป
เพียงแต่ผีเสื้อกลางคืนมีชีวิตอยู่ไม่นาน
จิ๋งจิ่วคิดคำนวณอย่างชัดเจน กั้วตงใช้วิธีนี้แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็ไม่มีทางยาวนาน
หากไม่ใช้วิธีนี้ ด้วยสภาวะของนางอย่างน้อยก็ยังอยู่ไปได้อีกสองร้อยกว่าปี แต่นางก็จะไม่มีหวังที่จะบรรลุขึ้นไปเหนือขั้นทะลวงสวรรค์ และมองเห็นทิวทัศน์ของที่อื่น
ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้นางใช้วิธีนี้ ความหวังที่จะบรรลุเป็นเซียนก็ยังน้อยมาก ความเป็นไปได้เพิ่มขึ้นมาเพียงเล็กน้อย เรียกได้ว่าสามารถมองข้ามไม่ต้องไปนับมันก็ได้
ใช้ชีวิตอันล้ำค่ามาแลกกับความเป็นไปได้เพียงน้อยนิด นี่เรียกได้ว่าเป็นการพนันที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก
หากคนอื่นรู้ว่ากั้วตงตัดสินใจอย่างไร พวกเขาอาจจะถามว่าแบบนี้มันคุ้มแล้วหรือ?
จิ๋งจิ่วไม่มีทางพูดเช่นนี้ เพราะหากเปลี่ยนเป็นเขา เขาก็คงตัดสินใจเช่นนี้เหมือนกัน
นี่คือทางเลือกของชะตาชีวิตของผู้บำเพ็ญพรต เขาคิดว่าควรจะเรียกมันว่าความหมายของการมีอยู่ของผู้บำเพ็ญพรตมากกว่า
“ดังนั้นข้าจึงค่อนข้างร้อนใจ”
เมื่อกล่าวจบประโยคนี้ กั้วตงก็หลับไปอีกครั้ง
ถูกต้อง นางร้อนใจ
นางร้อนใจที่จะหาผู้สืบทอดของตนเอง ดังนั้นนางจึงได้เอาสุราเลิศรสออกมาตรงริมทะเลสาบแห่งนั้น อีกทั้งยังเข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยครั้งหลังด้วยตัวเอง
นางร้อนใจที่จะชดเชยความรู้สึกเสียใจเมื่อในอดีต ดังนั้นจึงไปยังเมืองไป๋เฉิงบ่อยครั้ง พูดคำพูดที่ความจริงแล้วไม่มีความหมายอะไรในวัดแห่งนั้น
ที่นางไปทะเลตะวันตก ก็เพราะเหตุนี้
จิ๋งจิ่วเดินมาตรงหน้านาง นั่งยองๆ ลงไปมองดูใบหน้าของนาง นิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่
เขาเตรียมจะจากไปแล้ว
ในตอนที่อยู่ในเมืองเจาเกอ หนังเขาได้ยินไป๋เจ่ากล่าวคำพูดเหล่านั้นจบ เขาก็คิดอยากจะเจอนางเสียหน่อย
ตอนนี้ได้เจอแล้ว เช่นนั้นก็พอแล้ว
ขอเพียงนางกลับไปยังสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย เขาก็จะกลับไปชิงซาน เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว เขาก็จะมาหานางใหม่และทำการรักษาอาการบาดเจ็บให้นาง
ตอนนี้ดูแล้ว นางคงไม่ยอมกลับไปยังสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย หากแต่ยินดีที่จะรั้งอยู่บนโลกปุถุชน
เหมือนกับเมื่อหลายปีก่อน
นางเดินทางจากสำนักฌานเป่าทงไปยังเมืองไป๋เฉิง เดินทางจากเมืองเจาเกอไปยังทะเลตะวันตก เหมือนสายลมลอยล่องไปบนโลกมนุษย์
นิสัยนางคล้ายไฟ เป็นคนที่ไม่อาจอยู่นิ่งได้ เดิมก็ไม่ชอบที่จะอยู่ในที่ใดที่หนึ่งเป็นเวลานาน
เมื่อหลายร้อยปีก่อน นางเคยพูดคุยกับเขามากมาย เล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง ในนั้นก็มีเรื่องนี้อยู่ด้วย
เขาไม่เคยสนใจว่านางเคยพูดอะไร ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร
แต่ตอนนี้คำพูดเหล่านั้นกลับปรากฏขึ้นมาในหัวสมองของเขาทั้งหมด ชัดเจนเป็นอย่างมาก
ความจำของผู้บำเพ็ญพรตนั้นดีมาก แต่ความจริงแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องดีอะไร
จิ๋งจิ่วตัดสินใจที่จะอยู่ต่อ
หลังออกมาจากคุกสะกดมาร เขาก็อยู่ในเมืองเจาเกอแค่ไม่กี่วัน จากนั้นพากู้ชิงไปยังทะเลตะวันตก เผชิญสายฝนและลมพายุ จากนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส
เขายังไม่เชี่ยวชาญวิชากระบี่เซียนแห่งยมโลกทั้งหมดอย่างแท้จริง สภาวะใหม่ยังไม่คงตัว จำเป็นต้องใช้เวลาในการรับรู้ จากนั้นทำความเข้าใจ
เมื่อทำความเข้าใจจบแล้วก็ไม่ใช่จบสิ้นเช่นกัน หากแต่เป็นการเริ่มต้นอย่างแท้จริง
เมื่อเข้าไปในคุกสะกดมารและเรียนรู้วิชาบัญชาเพลิงวิญญาณกับจักรพรรดิแห่งหมิงแล้ว เขาก็ได้เหยียบไปบนเส้นทางแห่งการบำเพ็ญเพียรที่แตกต่างจากคนรุ่นก่อนอย่างสิ้นเชิง
ไม่ว่าจะเป็นบรรพชนรุ่นก่อนๆ ของสำนักชิงซาน หรือว่าอัจฉริยะแห่งการฝึกกระบี่ของที่ต่างๆ อย่างสำนักอู๋เอินเหมินหรือเกาะหมอกก็ล้วนแต่ไม่เคยเดินบนเส้นทางนี้ ในประวัติศาสตร์ของแผ่นดินเฉาเทียนหรือว่าพรรคมารบางส่วนก็เคยทดลองใช้วิธีที่คล้ายๆ กันนี้ อย่างเช่นหน่อมารกุมดวงจิต แต่นั่นก็เป็นแค่ความคล้ายคลึงทางรูปแบบเท่านั้น โดยเนื้อแท้แล้วยังคงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หากเขาสามารถเดินไปบนเส้นทางเส้นใหม่นี้ได้ สำนักชิงซานก็จะบุกเบิกฟ้าดินแห่งใหม่ขึ้นมา สามารถมองว่าเป็นการตั้งพรรคใหม่ขึ้นมาเลยก็ว่าได้
เรื่องที่ใหญ่ขนาดนี้ ย่อมจำเป็นต้องใช้เวลาในการครุ่นคิดและเตรียมการ
สำนักแม่ชีแห่งนี้ทิวทัศน์งดงาม ทะเลสาบเงียบสงบ ไม่มีคนรบกวน เหมาะจะเป็นที่ใช้สำหรับครุ่นคิดพอดี
อย่างนั้น ก็อยู่ที่นี่สักพักแล้วกัน
จิ๋งจิ่วคิดเช่นนี้
……
……
วสันต์กำลังจากลา คิมหันต์กำลังมาเยือน ยอดเขาชิงซานที่ตั้งอยู่ทางใต้ยิ่งรับรู้ได้อย่างชัดเจน
เมื่อมีข่ายพลังตัดขาดจากโลกภายนอก อากาศจึงไม่ได้ร้อนจนยากจะทนรับได้ แต่สีสันของป่าที่ดูเข้มขึ้นอย่างชัดเจนยังคงทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไหร่
เจ้าล่าเยวี่ยยืนอยู่ริมผา มองดูยอดเขาต่างๆ ที่สีสันเข้มจนรู้สึกน่าเบื่อ คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย รู้สึกไม่ค่อยชอบ
บนยอดเขามีเสียงร้องของวานรดังขึ้นมา เสียงของมันฟังดูมีความสุข คนที่กลับมาจะต้องเป็นกู้ชิงอย่างแน่นอน
เขายืนอยู่ด้านหลังเจ้าล่าเยวี่ย ก้มหน้าพลางกล่าว “เหอจานหนีไปแล้วขอรับ”
สภาวะของเหอจานเดิมก็ไม่ธรรมดา แต่ไหนแต่ไรมาได้รับการขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะอันดับสองของเหล่าผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาว ในตอนที่เขาตัดสินใจหนีไป กู้ชิงก็ไม่สามารถรั้งเอาไว้ได้จริงๆ
หยวนฉวี่ยืนอยู่ด้านข้าง รู้สึกแปลกๆ คิดในใจว่าเหตุใดครั้งนี้ศิษย์พี่กลับไม่คุกเข่าลงเหมือนอย่างครั้งนั้น หากแต่แค่ก้มหน้า?
“ข้าสืบได้อะไรบางอย่างจากในเจวี่ยนเหลียนเหริน หรือพูดอีกอย่างก็คือพวกเขาจงใจให้ข้ารู้ขอรับ”
กู้ชิงเงยหน้าขึ้นมา สีหน้าดูค่อนข้างแปลก ก่อนจะบอกเล่าข้อมูลที่รู้มาออกมาอย่างละเอียด
ข้อมูลที่เจวี่ยนเหลียนเหรินให้มามีความละเอียดอย่างมาก กระทั่งรายละเอียดเรื่องที่จิ๋งจิ่วใช้ใบไม้ทองคำใบหนึ่งแลกกับรถเข็นคันหนึ่งก็ไม่พลาด
เจ้าล่าเยวี่ยฟังอย่างเงียบๆ กล่าวว่า “ยังมีชีวิตอยู่ก็ดี”
กู้ชิงโล่งใจ
เจ้าล่าเยวี่ยคิดในใจ ดูแล้วกั้วตงก็คงจะมีชีวิตอยู่เหมือนกัน เพียงแต่อาการบาดเจ็บค่อนข้างสาหัส จากนั้นกล่าวว่า “เจ้าเอาไปวางไว้ตรงผาขาดริมธารจินเปียน”
กู้ชิงงุนงง เขารับเอาก้อนหินสีดำที่นางส่งมาให้พลางมองไปทางหยวนฉวี่
หยวนฉวี่ส่ายศีรษะ บอกว่าตนเองก็ไม่รู้ว่านี่มันหมายความว่ากระไร
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “ข้าจะใช้ฝึกกระบี่”
กู้ชิงขี่กระบี่ออกไป
เจ้าล่าเยวี่ยนั่งขัดสมาธิ หลับตาเริ่มปรับลมปราณ
กระบี่มิคำนึงลอยนิ่งๆ อยู่เหนือศีรษะของนาง สั่นไหวเบาๆ พร้อมจะบินออกไปทุกเมื่อ
ยอดเขาถูกแสงสีแดงอันงดงามปกคลุม
หยวนฉวี่เข้าใจแล้วว่าอาจารย์คิดจะทำอะไร จึงเกิดความรู้สึกนับถือขึ้นมาอย่างมาก
………………………………………………………………….