มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 92 ไม่อาจว่างได้ (2)
ผู้ฝึกกระบี่ที่แข็งแกร่ง สามารถสังหารคนที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบลี้หรือว่าไกลกว่านั้นได้
แต่ถ้าจะทำเรื่องที่น่าตกตะลึงเช่นนี้ อันดับแรกคือจำเป็นต้องระบุตำแหน่งของเป้าหมายให้ได้เสียก่อน
หากสามารถมองเห็นอีกฝ่ายได้ เช่นนั้นก็ยิ่งดี
ในตอนที่เจ้าล่าเยวี่ยสังหารลั่วไหวหนานในเมืองกุ้ยหวา นางก็ทำเช่นนี้
ในหลายๆ ครั้ง ผู้ฝึกกระบี่ไม่สามารถมองเห็นได้ว่าเป้าหมายของตัวเองอยู่ที่ไหน
ครั้งนั้นที่เผยไป๋ฟ่าสามารถสังหารซีหวังซุนที่อยู่ห่างออกไปเป็นพันลี้ได้ทั้งๆ ที่ตนเองอยู่ในเขาว่านโซ่ว นั่นเป็นเพราะในมือของซีหวังซุนถือกระบี่พรหมจรรย์อยู่
และฮ่องเต้ก็ได้ทำการประทับดวงจิตเอาไว้บนกระบี่พรหมจรรย์แต่แรกแล้ว
ที่เจ้าล่าเยวี่ยให้กู้ชิงเอาหินสีดำไปยังหน้าผาริมธารจินเปี้ยน ก็เพราะอยากจะฝึกวิธีสังหารแบบนี้
ผาขาดริมธารจินเปี้ยนอยู่ห่างจากยอดเขาไปสิบเจ็ดลี้ เป็นระยะสังหารที่ไกลที่สุดของสภาวะคเนจรระดับต้น หยวนฉวี่ถึงได้รู้สึกนับถือนางเป็นอย่างมาก
ไม่รู้ว่ากู้ชิงวางหินสีดำก้อนนั้นเอาไว้เรียบร้อยหรือเปล่า
เจ้าล่าเยวี่ยพลันลืมตาขึ้นมา
สีขาวดำตัดกันชัดเจน
กระบี่มิคำนึงแหวกอากาศพุ่งขึ้นไป
บนยอดเขามีเสียงหวีดของกระบี่ดังขึ้นมา
บนท้องฟ้าที่อยู่สูงขึ้นไปหลายร้อยจ้างมีไอสีขาวปรากฏขึ้นมาเป็นสาย จากนั้นมีเสียงระเบิดเสียงหนึ่งดังสนั่นขึ้นมา
กระบี่มิคำนึงหายไป
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง
อีกฟากหนึ่งคล้ายมีความเคลื่อนไหว
สายลมแผ่วเบาพัดชายเสื้อ เจตน์กระบี่ยังคงมิจางหาย
หยวนฉวี่รับรู้ได้ถึงจิตสังหารที่แฝงอยู่ในกระบี่นี้ ใบหน้าขาวซีด
ไม่รู้ว่ากู้ชิงที่อยู่ริมธารจินเปี้ยนจะรู้สึกอย่างไรบ้าง
……
……
นอกจากชิงซานแล้ว ย่อมต้องมีคนอื่นที่ถามหาเบาะแสของจิ๋งจิ่วจากเจวี่ยนเหลียนเหริน
เจวี่ยนเหลียนเหรินไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรมากนัก อย่างเช่นรถเข็นคันนั้นและสถานที่สุดท้ายที่จิ๋งจิ่วปรากฏตัว แต่พวกเขากลับไม่ลืมที่จะพูดเรื่องกระบี่เหล็กที่อยู่ด้านหลังของจิ๋งจิ่ว
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นข้อมูลที่พวกเขาจงใจเลือกมาแล้ว
ทุกคนต่างรู้ว่าหลายปีนี้ที่จิ๋งจิ่วหายตัวไป ก็เพื่อเตรียมบรรลุสภาวะ คนที่รู้ว่าเขาเดินทางไปเมืองเจาเกอนั้นมีน้อยมาก แล้วก็ยิ่งไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยไปยังทะเลตะวันตก
กระบี่เหล็กยังอยู่…อย่างนั้นก็แสดงให้เห็นว่าสภาวะของเขายังหยุดนิ่ง เรียกได้ว่ากระทั่งขั้นมิประจักษ์ก็ยังไม่บริบูรณ์เลยด้วยซ้ำ
นี่ทำให้เหล่าผู้บำเพ็ญพรตหลายๆ คนต่างรู้สึกทอดถอนใจ
หรืออัจฉริยะผู้หนึ่งจะหยุดอยู่เพียงเท่านี้ จากนั้นถูกวันเวลาอันยาวนานกลืนกินจนกลายเป็นชื่อที่ผู้คนเอ่ยถึงขึ้นมาเป็นครั้งคราว?
……
……
ใบไม้ผลิไป ฤดูร้อนมาเยือน
เมืองต้าหยวนเป็นเมืองสำหรับพักผ่อนในฤดูร้อนที่มีชื่อเสียงที่สุดบนแผ่นดินเฉาเทียน แต่มันก็ยังร้อนอบอ้าวอยู่เล็กน้อย
ภายในห้องภาวนา กั้วตงตื่นขึ้นมาเป็นครั้งที่เก้า
ไหมฟ้าบนร่างกายของนางเปลี่ยนเป็นสีขาวจนหมดแล้ว เมื่อสัมผัสถูกลมที่พัดเข้ามาจากด้านนอกหน้าต่างทรงกลม มันก็ปริแตกออกเหมือนขี้เถ้าอย่างไรอย่างนั้น ก่อนจะสลายหายไปจนหมด
จิ๋งจิ่วถามว่า “อยู่ตัวแล้ว?”
กั้วตงส่งเสียงอืม รับรู้ได้ถึงลมร้อนที่พัดมาจากนอกหน้าต่างกระทบลงบนใบหน้า รู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่
ผู้บำเพ็ญพรตไม่หวาดกลัวความหนาวและความร้อน แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่ชอบโลกที่เย็นสบาย โดยเฉพาะคนอย่างนาง
จิ๋งจิ่วสังเกตเห็นสีหน้าและความเหนื่อยล้าที่อยู่ระหว่างคิ้วของนาง จึงครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นลุกขึ้นเดินเข้าไปอุ้มนางขึ้นมา
กั้วตงมองเขา ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร
จิ๋งจิ่วไม่ได้อธิบาย อุ้มนางออกมาจากห้องภาวนา วางลงบนรถเข็น
เสียงล้อรถที่บดไปบนพื้นหินดังขึ้นมา
หลายวันหลังจากนั้นก็มีเสียงล้อรถเข็นดังขึ้นตลอด
จิ๋งจิ่วเข็นรถเข็นไปมาที่ริมทะเลสาบ ไล่ตามสายลมอยู่ในร่มเงาไม้
ตอนนี้นางไม่ได้นอนหลับเป็นเวลายาวนานอีก สามารถพูดคุยกับเขาได้ แต่การพูดคุยก็ไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่เขาคิดเอาไว้ ส่วนใหญ่จะเป็นความเงียบ
ในช่วงเวลาฟ้าครึ้ม เขาจะเข็นนางออกไปอาบแดด แต่ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ ก็จะได้ยินเสียงหงุดหงิดของนางดังขึ้นมา
ผ่านไปหลายวัน ฤดูร้อนผ่านไปได้พักหนึ่ง สำนักชีตั้งอยู่ในหุบเขาลึก ลมค่อนข้างน้อย ไอน้ำจากในทะเลสาประเหยขึ้นมา ยิ่งทำให้รู้สึกร้อนอบอ้าว
อารมณ์ของกั้วตงยิ่งแย่ลง ต่อว่าไม่หยุด
จิ๋งจิ่วรู้ว่านางแค่รู้สึกอยู่ว่างไม่ได้ อยากจะออกไปเดินข้างนอก จึงไปถามแม่ชีชราผู้นั้นว่าละแวกนี้มีทิวทัศน์ให้ดูหรือไม่
แม่ชีชราบอกว่าตรงจุดที่ธารสองสายตัดกันที่พวกเขามองเห็นไหมตอนที่มานั้นมีทะเลสาบอยู่แถวหนึ่ง ทิวทัศน์งดงามเป็นอย่างมาก แล้วก็ค่อนข้างเย็นสบายด้วย
เมืองต้าหยวนเป็นเมืองสำหรับพักผ่อนในฤดูร้อนที่มีชื่อเสียงอย่างมากบนแผ่นดินเฉาเทียน จิ๋งจิ่วคิดในใจว่าหากเป็นสถานที่งดงามเช่นนั้นจริงๆ เกรงว่าคงจะเต็มไปด้วยผู้คนแล้ว จึงรู้สึกว่าไม่ค่อยสะดวก
แม่ชีชราบอกว่าไม่เป็นไร ในเมืองต้าหยวนคนที่รู้จักทะเลสาบแห่งนั้นมีอยู่ไม่มาก โดยเฉพาะเป็นช่วงเวลาเช้าตรู่ พาแม่นางออกไปเดินเล่นนับเป็นความคิดที่ดียิ่งนัก
รุ่งเช้าวันที่สอง จิ๋งจิ่วเข็นรถเข็นออกมาจากสำนักชี แม่ชีชรายืนส่งอยู่ด้านหลัง บนใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าปลอบโยน
ตรงจุดที่ทางธารสายตัดกัน ความจริงแล้วไม่มีทะเลสาบ หากแต่เป็นแค่บึงน้ำแห่งหนึ่ง
ภายในบึงมีใบบัวนั้นขนัด บดบังผิวน้ำจนมิด ลมโชยอ่อนๆ ดอกบัวสีชมพูดูอ่อนโยนภายใต้แสงอาทิตย์ยามเช้า งดงามยิ่งนัก
จิ๋งจิ่วคิดถึงบึงน้ำที่อยู่ในคุกสะกดมารขึ้นมา รู้สึกว่าน่าสนใจ
รถเข็นหยุดอยู่ริมน้ำตรงจุดที่มีใบบัวเยอะที่สุด
แสงแดดค่อยๆ แรงขึ้น
ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไร
ในบึงพลันมีเสียงน้ำดังขึ้นมา ใบบัวปั่นป่วน มีคนคนหนึ่งปรากฏขึ้นมา
คนผู้นั้นโบกสองมือมาทางริมฝั่ง ตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำ น้ำในบึงไหลเข้าไปในปากเขาไม่หยุด ส่งเสียงตะโกนไม่ออก ได้แต่ส่งเสียงอู้อี้ๆ
จิ๋งจิ่วและกั้วตงมองดูเขาอย่างเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไร แล้วก็ไม่มีทีท่าว่าจะยื่นมือเข้าไปช่วย
ในสายตาของคนผู้นั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกสิ้นหวังและเหลวไหล
หากในเวลานี้เขายังคิดทัน เขาคงจะคิดว่าพวกเจ้าอยู่ใกล้ขนาดนี้ ทำไมถึงไม่ช่วยข้า?
ต่อให้ไม่ช่วยข้า ทำไมพวกเจ้าถึงจะมองดูข้าตายไปอย่างเงียบๆแบบนี้?
ผ่านไปไม่นาน คนผู้นั้นหมดแรง จมลงไปยังใต้น้ำ สองมือที่ยื่นขึ้นมาตบไปบนใบบัวอย่างไร้เรี่ยวแรงสองสามที
จิ๋งจิ่วและกั้วตงยังคงไม่ขยับ
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ของจริง”
กั้วตงรู้สึกแปลกใจ กล่าวว่า “ข้าก็ไม่เคยสงสัยมาก่อนว่านี่จะเป็นของปลอม”
จิ๋งจิ่วนิ่งเงียบไปครู่ กล่าวว่า “ข้านึกว่าเจ้าอยากจะดูสถานการณ์ให้มั่นใจก่อนค่อยตัดสินใจ”
กั้วตงมองเขาพลางกล่าว “ตอนนี้ค่าทำอะไรไม่ได้ ถ้าจะช่วยก็ต้องเป็นเจ้าลงไปช่วย”
……
……
คนผู้นั้นนอนอยู่บนพื้น หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงเบาๆ สำลักน้ำออกมาเป็นระยะ ดูคล้ายปลาทองที่กำลังจะตาย
คนผู้นั้นอายุยังน้อย ดูจากเสื้อผ้าแล้วน่าจะเป็นคุณชายของตระกูลที่มีเงิน ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงมาอยู่ที่บึงน้ำที่ห่างไกลผู้คนในเวลาเช้าแบบนี้ ทั้งยังเกือบจะจมน้ำตาย
ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดคุณชายผู้นั้นก็มีแรงขึ้นมา เขาลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก โค้งตัวคารวะจิ๋งจิ่ว กล่าวขอบคุณที่ช่วยชีวิต
จากนั้นเขาหมุนตัวไปทางกั้วตงที่นั่งอยู่ในรถเข็น คิดอยากจะกล่าวขอบคุณ แต่ร่างกายกลับนิ่งแข็งไป
หญิงสาวที่อยู่ในรถเข็นดูเหมือนค่อนข้างอ่อนแอ แต่สีหน้ากลับดูสงบนิ่ง คล้ายมองเห็นความตายจนชาชิน
ดวงตาของคุณชายเป็นประกายขึ้นมา คล้ายกับดวงดาวอย่างไรอย่างนั้น
ในที่สุดเขาก็หาแสงสว่างสายนั้นของตัวเองพบ
กั้วตงไม่ชอบสายตาอันเร่าร้อนเช่นนี้ ก็ว่า “ไปกันเถอะ”
จิ๋งจิ่วเข็นรถเข็นออกไป
คุณชายมองดูพวกเขาจากไปอย่างงุนงง ครู่หนึ่งถึงจะได้สติขึ้นมา ก่อนจะรีบตามไปแล้วกล่าวขอบคุณ พร้อมถามว่าพวกเขาเป็นใครมาจากไหน
จิ๋งจิ่วไม่ได้สนใจเขา
กั้วตงไม่ได้มองเขา
คุณชายคิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง เขารู้สึกว่าท่าทีของตัวเองนั้นรีบร้อนไปจริงๆ จึงพูดอย่างติดๆ ขัดๆ ว่า “ทั้งสองท่าน ทั้งสองท่านเป็น…”
จิ๋งจิ่วไม่คิดจะตอบคำถามนี้
ความจริงแล้ว เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกับนางควรจะถือว่ามีความสัมพันธ์แบบไหนกัน
ในช่วงเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา พวกเขาเคยสู้กันมาหลายครั้ง แต่การชนะแพ้กลับไม่สำคัญ
ต่างมุ่งสู่มรรคา แต่กลับเดินไปบนเส้นทางที่แต่งต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ไม่ใช่ศัตรู แต่สาบานว่าจะไม่พบกันอีก
นี่มันคือความสัมพันธ์แบบไหนกัน?
เจ้าล่าเยวี่ยเคยฟังเรื่องราวในอดีตของนักพรตจิ่งหยางและเหลียนซานเยวี่ย นางก็เคยมีการวิเคราะห์ของตัวเองอยู่
ความสัมพันธ์แบบนี้มีความซับซ้อน
ดังนั้นในตอนที่นางเจอกับสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย ถึงได้มีทีท่าระมัดระวังเช่นนั้น
ตอนนี้ดูแล้ว การวิเคราะห์ของ13มีความแม่นยำเป็นอย่างมาก
รถเข็นพลันหยุดลง
เพราะมือของกั้วตงห้อยตกลงมาทั้งสองข้าง
“พวกเราเป็นพี่น้องกัน”
นางกล่าวเสียงราบเรียบ
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ คุณชายผู้นั้นยินดีเป็นอย่างมาก รู้สึกว่ากระทั่งฟ้าดินก็คล้ายจะเมามาย
จิ๋งจิ่วพริ้มตาลงเล็กน้อย ขนตาไม่ขยับ
คล้ายดอกบัวที่อยู่ในน้ำ
ลมพลันพัดขึ้นมา