มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 95 ใครบางคนออกมาแล้ว (1)
เวลาผ่านไปสามปี โลกยังคงเป็นเหมือนเดิม
ชิงซานยังคงเป็นเหมือนเมื่อก่อน หมอกเบาบางลอยล่อง ลำแสงกระบี่ปรากฏขึ้นมาบางครั้ง จิ๋งจิ่วที่ออกไปจากชิงซานเป็นเวลาหกปีถูกพูดถึงน้อยลงเรื่อยๆ คล้ายกับเมื่อครั้งที่อยู่ในที่ราบหิมะ กลับกลายเป็นเหตุการณ์ความวุ่นวายในทะเลตะวันตกเมื่อสามปีก่อนที่ถูกพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง เหล่าศิษย์ชิงซานต่างรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมากว่าผู้อาวุโสผู้นั้นคือใครกันแน่ แล้วเขาช่วยกั้วตงออกมาได้หรือเปล่า
ยอดเขาเสิ่นม่อเองก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มีเพียงม้าเพิ่มขึ้นมาตัวหนึ่ง ม้าตัวนั้นไม่จำเป็นต้องทำงานอะไร ทั้งวันเอาแต่กินหญ้าเดินไปเดินมาอยู่ในภูเขา มีเพียงเรื่องเดียวที่น่าหงุดหงิดก็คือมันมักจะถูกเหล่าวานรบนยอดเขามาก่อกวน จนกระทั่งทั้งสองฝ่ายเริ่มคุ้นเคยกัน เหตุการณ์เช่นนี้จึงดีขึ้นมาบ้าง
ในเช้าวันหนึ่งม้าตัวนี้เดินไปกินน้ำที่ริมธารจินเปี้ยน ลิงที่ซุกซนตัวหนึ่งได้ขี่อยู่บนหลังมัน เหวี่ยงกิ่งไม้ไปมา สงเสียงร้องที่มีเพียงแค่กู้ชิงที่ฟังเข้าใจ
หยวนฉวี่มุดออกมาจากในป่า ภายในมือมีก้อนหินสีดำที่แตกละเอียดอยู่สามสี่ก้อน มองดูภาพเบื้องหน้า หลังงุนงงอยู่ครู่ บนใบหน้าก็เผยให้เห็นสีหน้ายินดี
ลำแสงกระบี่ตกลงมา กู้ชิงปรากฏตัว มองดูหินสีดำที่แตกละเอียดในมือศิษย์น้องพลางครุ่นคิดถึงภาพเมื่อสามปีก่อน จากนั้นกล่าวอย่างหวาดกลัวเล็กน้อยว่า “อาจารย์อา…ยังฝึกกระบี่อยู่อีกหรือ?”
หยวนฉวี่กล่าวออกมาอย่างดีใจ “ใช่ ตอนนี้สภาวะของอาจารย์ร้ายกาจขึ้นกว่าเดิมแล้ว”
กู้ชิงคิดในใจ จริงอยู่ว่านี่เป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่เหตุใดต้องดีใจถึงขนาดนี้?
หยวนฉวี่ชี้ไปยังม้าที่อยู่ริมธารพลางกล่าวว่า “ศิษย์พี่ท่านมองไม่ออกหรือว่านี่มันหมายความว่าอะไร?”
กู้ชิงงุนงงเล็กน้อย ก่อนจะเข้าใจความหมายของเขา จึงยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “การเลื่อนตำแหน่ง[1]มันเป็นเรื่องที่น่ายินดีของคนธรรมดา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเจ้าและข้าเลย”
หยวนฉวี่กล่าวอย่างเหนื่อยใจ “นิมิตหมาย! ข้าคิดว่านี่เป็นนิมิตหมายที่ดี”
กู้ชิงรู้ว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร
เจ้าล่าเยวี่ยเตรียมจะเข้าร่วมงานเลี้ยงของสำนักจงโจว บอกว่าอยากจะไปดูๆ หน่อย
หากเพียงแค่ไปดูๆ ก็แล้วไป ถึงแม้จะไม่รู้ว่านางอยากจะไปดูไป๋เจ่าหรือว่าดูใคร แต่ไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่าเป้าหมายของนางจะต้องเป็นยันต์เซียนวัฒนะอย่างแน่นอน
งานเลี้ยงเปิดสำนักสามหมื่นปีของสำนักจงโจว เชื้อเชิญสำนักทั่วแผ่นดิน มียันต์เซียนวัฒนะเป็นของรางวัลในงานชุมนุม แต่มิใช่ผู้บำเพ็ญพรตทุกคนที่จะมีโอกาสนี้ กฎของสำนักจงโจวระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่าผู้บำเพ็ญพรตที่จะเข้าร่วมชุมนุมแสวงมรรคา ระยะเวลาในการบำเพ็ญพรตห้ามเกินหกสิบปี ขณะเดียวกันสภาวะก็ไม่อาจต่ำกว่าขั้นจินตานบริบูรณ์
สภาวะขั้นจินตานบริบูรณ์ของสำนักจงโจวก็เท่ากับขั้นคเนจรระดับต้นของสำนักชิงซาน
งานชุมนุมแสวงมรรคานี้สามารถมองเป็นงานชุมนุมเหมยฮุ่ยระดับสูงได้ ผู้ชนะสุดท้ายในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยครั้งที่แล้วล้วนแต่ได้สิทธิ์การเข้าร่วมเป็นกรณีพิเศษ
กู้ชิงจำไม่ได้ว่าผู้ชนะในการประลองวิถีพรตของงานชุมนุมเหมยฮุ่ยเมื่อปีที่แล้วคือใคร แต่เขาจำได้ชัดเจนว่าผู้ชนะในการประลองวิถีหมากล้อมคือเชวี่ยเหนียงแห่งสำนักจิ้งจง
เหอจานไม่เล่นหมากล้อมอีก ถงเหยียนและจิ๋งจิ่วไม่ปรากฏตัว เชวี่ยเหนียงแห่งสำนักจิ้งจงจึงกลายเป็นที่หนึ่งของวิถีหมากล้อมอย่างไรข้อโต้แย้ง
มหาบัณฑิตกัวแห่งเมืองเขาเกอถึงขนาดคิดว่าตอนนี้นางนั้นอยู่ในระดับเดี่ยวกับถงเหยียนตอนที่เข้าร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยเมื่อครั้งอดีต
ตามกฎของสำนักจงโจว แต่ละสำนักสามารถเลือกผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวที่มีคุณสมบัติเข้ากับเงื่อนไขมาเข้าร่วมงานชุมนุมแสวงมรรคาได้หนึ่งคน
เงื่อนไขการคัดเลือกที่เข้มงวดเช่นนี้ สำนักเล็กๆ หลายสำนักกระทั่งคนเดียวก็เลือกออกมาไม่ได้ด้วยซ้ำ แม้แต่สำนักใหญ่ๆอย่างสำนักคุนหลุนหรือต้าเจ๋อก็เลือกออกมาได้แค่คนหรือสองคนเท่านั้น
แต่ศิษย์ของสำนักชิงซานที่เข้าเงื่อนไขกลับมีอยู่ไม่น้อย
จากตรงนี้จะเห็นได้ว่าไม่เสียทีที่สำนักชิงซานเป็นผู้นำแห่งโลกบำเพ็ญพรตฝ่ายธรรมะ รากฐานหยั่งลึก ไม่ใช่สิ่งที่สำนักอื่นจะเทียบได้
ศิษย์ที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าร่วมงานชุมนุมแสวงมรรคาได้มีจำนวนมาก แต่คนที่จะเข้าร่วมได้กลับมีแค่คนเดียว การแย่งชิงย่อมเป็นไปอย่างดุเดือด
ในตอนแรกสุด สายตาจำนวนมากต่างมองไปยังยอดเขาเหลี่ยงว่าง
ศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่างอย่างกั้งหนานซาน โหยวซือลั่ว กู้หานต่างก็อยู่ในขั้นคเนจรแล้ว
ภายหลังยอดเขาเสินม่อส่งจดหมายแจ้งยอดเขาต่างๆ ว่าเจ้าล่าเยวี่ยเตรียมจะเข้าร่วมงานชุมนุมด้วย สายตาเหล่านั้นพลันมองมาที่นางทันที
ในฐานะที่เป็นเจ้าแห่งยอดเขาเสินม่อ การที่เจ้าล่าเยวี่ยจะมาแย่งชิงกับลูกศิษย์ยอมต้องทำให้เกิดเสียงคัดค้านขึ้นมาบ้าง
ผู้อาวุโสของแต่ละยอดเขาคิดในใจ มีใครบ้างไม่อยากได้ยันต์เซียน เจ้าไปได้ หรือพวกข้าจะไปไม่ได้?
ผลสุดท้ายพวกเขาหันกลับมามองดูตัวเอง พบว่าคนที่มีคุณสมบัติตรงกับเงื่อนไขนั้นไม่มีสักคน…
ในเวลานี้หลายๆ คนถึงได้คิดขึ้นมาได้ว่าอายุของเจ้าล่าเยวี่ยนั้นน้อยกว่าพวกกั้วหนานซานมากนัก
……
……
เจ้าล่าเยวี่ยเดินออกมาจากในถ้ำ รับเอาหินสีดำที่แตกเป็นเสี่ยงมาจากหยวนฉวี่ มองดูอย่างตั้งใจอยู่ครู่ใหญ่ คิ้วขมวดขึ้นมาเล็กน้อย คล้ายไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่
กู้ชิงเดินเข้ามาคารวะ หยิบเอาภาพออกมาสองภาพ
เจ้าล่าเยวี่ยโยนหินแตกสีดำที่อยู่ในมือทิ้งไปด้านล่างหน้าผา ก่อนจะรับเอารูปภาพมาดู
“นี่คือภาพของตระกูลหลี่ที่ถูกขโมยไปภาพนั้นขอรับ” กู้ชิงกล่าวแนะนำ “ภาพนี้มีการบันทึกเอาไว้ในหนังสือหลายเล่ม มีชื่อเสียงอย่างมาก กระทั่งถูกตระกูลหลี่เก็บซ่อนเอาไว้ เพื่อนของเขาผู้นั้นจับตาดูภาพนี้เอาไว้ตั้งแต่แรก ก็เลยไม่ได้เล่นลูกไม้อะไรกับภาพนี้ในตอนที่ขายทรัพย์สมบัติภายในบ้าน”
เนื้อหาภายในภาพนี้คือดวงดาวในท้องฟ้ายามค่ำคืนและภูเขาเก่า ริมผามีหมอกเบาบาง ภายในหมอกมีหญิงสาวที่ยืนถือร่มอยู่คนหนึ่ง
หญิงสาวผู้นั้นคิ้วและดวงตาเป็นเส้น ดูคล้ายอ่อนโยน แต่สายตากลับเฉยชา อารมณ์ทั้งสองอย่างผสมอยู่ด้วยกัน ทำให้คนดูเกิดความประทับใจอย่างมาก
วิธีวาดที่จิตรกรผู้นั้นใช้มีความซับซ้อน สีสันที่ใช้วาดท้องฟ้ายามค่ำคืนและภูเขามีความองอาจเปิดเผย แต่ลายเส้นของดวงดาวและหญิงสาวกลับมีความละเอียดละออเป็นอย่างมาก
ผู้ที่ชมวาดภาพเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งขึ้นมา อารมณ์ของจิตรกรในเวลานั้นคล้ายกำลังสับสนเหมือนอย่างวิธีการวาดของเขา
“คนผู้นั้นระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก อยู่เงียบๆ ไม่ยอมลงมือ เฝ้ารอคอยอยู่ที่ทางใต้ กว่าจะหาตัวมาได้ค่อนข้างใช้เวลาขอรับ” กู้ชิงกล่าวต่อ
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูภาพวาดอย่างเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไร
ภาพนี้ย่อมต้องดีอย่างมาก ไม่อย่างนั้นไม่มีทางที่จะมีชื่อเสียงขนาดนี้
นางเกิดในตระกูลสูงศักดิ์ ย่อมต้องมองออก
แต่นางรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ —– หญิงสาวที่อยู่ในภาพวาดคล้ายว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน ปัญหาอยู่ที่ว่าถึงแม้จะเก็บรักษาเอาไว้ดีมาก แต่ขอบของมันก็ยังมีคราบสีเหลืองและเปื่อยยุ่ย ยุคสมัยยาวนานเป็นอย่างมาก ดูแล้วหญิงสาวที่อยู่ในภาพวาดน่าจะเป็นคนเมื่อหลายร้อยปีก่อนหรืออาจจะเป็นพันปีก่อน แล้วนางจะไปเคยเห็นคนผู้นี้ได้ที่ไหนกัน?
นางครุ่นคิดก่อนกล่าวว่า “ส่งกลับไปแล้วกัน”
นี่คือเรื่องที่จิ๋งจิ่วมอบหมายเอาไว้ กู้ชิงย่อมต้องจัดการให้ดี
จากนั้นนางรับเอาภาพที่สองมา นี่เป็นภาพเหมือนภาพหนึ่ง น่าจะเพิ่งวาดเสร็จได้ไม่นาน
หลังผ่านมาหลายปี ในที่สุดเจวี่ยนเหลียนเหรินก็วาดภาพเหมือนของเจ้าสำนักคนใหม่ ไม่สิ ควรจะเรียกว่าประมุขนิกายคนใหม่ของนิกายเสวียนอินเสร็จเรียบร้อย
ประมุขคนนี้เรียกตัวเองว่าหมิงหวัง อายุประมาณสามสิบ เมื่อประมาณสิบปีก่อนจู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาที่เขาเหลิ่งซาน พลังแข็งแกร่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
ที่สำคัญที่สุดก็คือว่ากันว่าเขาได้รับการยอมรับจากธงสุริยันแล้ว
การที่สามารถแสดงอานุภาพของธงสุริยันออกมาได้อย่างเต็มที่ นั่นแทบจะเป็นพลังการต่อสู้ที่เทียบเท่าได้กับสภาวะขั้นทะลวงสวรรค์
หยวนฉวี่นั่งฟังคำพูดของกู้ชิงอยู่ข้างๆ เกิดความรู้สึกพ่ายแพ้ขึ้นมาอย่างรุนแรง อดรู้สึกสับสนไม่ได้
พรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรของเขากับกู้ชิงล้วนแต่ไม่เลว ยิ่งไปกว่านั้นยังได้อาจารย์ที่ดี สภาวะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว อีกไม่นานกู้ชิงก็จะบรรลุไปยังขั้นคเนจร เขาเองก็ด้อยกว่าไม่เท่าไร แต่เมื่อเทียบกับประมุขนิกายคนใหม่ผู้นั้น…เวลาในการบำเพ็ญของคนผู้นั้นต่างกับตนไม่มาก แต่เขากลับแข็งแกร่งขนาดนี้ นี่มันไม่ยุติธรรมเลย
“อานุภาพของวิธีมารส่วนใหญ่มาจากวัตถุภายนอก คล้ายกับตัวข้าในตอนนี้หากไม่สะกดกระบี่มิคำนึงเอาไว้ ข้าก็สามารถสู้กับขั้นแหวกทะเลได้ แต่มันจะมีความหมายอะไร?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวว่า “ด้วยอายุและการบำเพ็ญเพียรของคนผู้นี้ หากคิดอยากจะทำให้ธงสุริยันยอมรับได้ เขาจะต้องจ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อยอย่างแน่นอน ยากที่จะก้าวเข้าสู่วิถีที่ถูกต้องได้อีก นั่นมิใช่สิ่งที่ข้าและเจ้าต้องการ”
หยวนฉวี่คล้ายกำลังครุ่นคิดอะไร จู่ๆ พลันคิดถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา กล่าวว่า “คนผู้นี้เรียกตัวเองว่าหมิงหวัง หรือเขาจะมีความเกี่ยวข้องกับราชองครักษ์หมิงที่อยู่ในวังหลวง?”
กู้ชิงส่ายศีรษะ กล่าวว่า “เมื่อหลายวันก่อนตระกูลหมิงได้ทำการตรวจสอบตระกูลตัวเองแล้ว พบว่าในตระกูลไม่มีคนแบบนี้อยู่”
เจ้าล่าเยวี่ยมองดูใบหน้าของมารหนุ่มที่อยู่ในภาพเหมือนนั้น ในใจครุ่นคิดว่าทำไมคนผู้นี้ก็เหมือนว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อนเช่นกัน
……………………………………………………………
[1]การเลื่อนตำแหน่ง ภายในเรื่องมีภาพลิงกำลังขี่ม้า ซึ่งตรงกับสำนวนจีน 马上封侯 ซึ่งหมายถึงความก้าวหน้า การเลื่อนตำแหน่ง ได้เป็นขุนนางใหญ่