มรรคาสู่สวรรค์ ภาคที่ 2 - ตอนที่ 99 การพบกันที่กระอักกระอ่วนและตื่นเต้น (1)
บนภูเขาที่สำนักหลายๆ สำนักตั้งอยู่มักจะมีหมอกปกคลุมตลอดทั้งปี
ข่ายพลังแอบซ่อนอยู่ในนั้น
ชิงซานเป็นเช่นนี้
เขาอวิ๋นเมิ่งก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
ยอดเขาของที่นี่ไม่ได้สูงชันและดูยิ่งใหญ่เหมือนอย่างชิงซาน แต่กลับงดงามเป็นอย่างมาก เนินเขาค่อยๆ ทอดตัวกลายเป็นหุบเขา
ดังนั้นก็เหมือนกับยอดเขาทั้งเก้าของชิงซาน สำนักจงโจวถูกแบ่งออกเป็นสิบสองหุบเขา
เมฆสีขาวไหลเอื่อยอยู่ในหุบเขา ไม่สลายหายไปไหน ดูงดงามแต่ก็ดูพิศวง ช่างคล้ายกับความฝัน แล้วก็คล้ายกับดินแดนแห่งเซียนที่ผู้บำเพ็ญพรตใฝ่ฝันถึง
สำนักจงโจวตั้งสำนักขึ้นมาสามหมื่นปีย่อมต้องเป็นเรื่องใหญ่ในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต นอกจากสำนักชิงซานและสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยแล้ว ในแผ่นดินเฉาเทียนก็ไม่มีสำนักไหนที่จะมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานเช่นนี้อีก
งานใหญ่เช่นนี้ย่อมต้องน่าเฉลิมฉลอง ถึงได้มีงานชุมนุมแสวงมรรคาครั้งนี้ขึ้นมา ยันต์เซียนปรากฏขึ้นบนโลกอีกครั้ง
สำนักกระบี่ซีไห่ที่ไม่มีรากฐานอะไรก็ยังรู้จักที่จะใช้วาฬบินบินลงไปในทะเลเพื่อทำให้กลายเป็นสายฝน สายรุ้งปรากฏขึ้นริมขอบฟ้า เขาอวิ๋นเมิ่งย่อมไม่มีการประดับประดาด้วยแสงไฟเหมือนอย่างโลกมนุษย์
ช่วงเวลายามเย็น หมู่ดาวยังไม่ปรากฏกาย ท้องฟ้าที่อยู่ตรงข้ามกับพระอาทิตย์ยามเย็นมีฉากแสงขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมา
ภายในฉากแสงมีก้อนเมฆ มีทิวทัศน์ที่งดงาม ดูคล้ายความฝันเป็นยิ่งนัก
ภายในเขาอวิ๋นเมิ่งเองก็มีการประดับประดาตกแต่งเช่นกัน อย่างเช่นดอกโบตั๋นนับหมื่นภายในหุบเขาหานสือเบ่งบานออกมาพร้อมกันในคืนเดียว แย่งชิงสีสันในฟ้าดินไปจนหมด
เรือกระบี่และเรือเมฆจำนวนนับไม่ถ้วนลงจอดในส่วนลึกของภูเขาอย่างต่อเนื่อง พาผู้บำเพ็ญพรตจากที่ต่างๆ ในแผ่นดินเฉาเทียนมาส่งที่นี่ แล้วก็มีผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักและสำนักเล็กๆ จำนวนมากที่ไม่มีพาหนะวิเศษขนาดใหญ่ จึงได้แต่ต้องขี่กระบี่หรือไม่ก็อาวุธวิเศษมา จากนั้นบินลงตรงด้านนอกข่ายพลังอวิ๋นเมิ่งชั้นที่สอง แล้วค่อยเดินขึ้นไปบนเขา
สำนักจงโจวได้จัดศิษย์ให้ไปประจำอยู่ตามประตูต่างๆ เพื่อคอยดูแลผู้บำเพ็ญพรตเหล่านี้
มีประตูบานหนึ่งในภูเขาที่มีอายุยาวนาน จึงไม่ค่อยมีใครรู้จัก ผ่านไปเป็นเวลานานก็ยังไม่มีผู้บำเพ็ญพรตเดินผ่าน
ศิษย์ผู้ดูแลผู้นั้นรู้สึกเบื่อหน่ายจนเกือบจะง่วงนอน ทันใดนั้นพลันพบว่ามีคนมา จึงได้สติตื่นขึ้นมาทันที
“สหายธรรมผู้นี้ โปรดลงชื่อก่อน”
คนผู้นั้นสวมหมวกลี่เม่า มองไม่เห็นใบหน้า สวมชุดสีขาวที่ดูธรรมดา เขาหยิบพู่กันขึ้นมาตามที่ศิษย์คนนั้นบอก จากนั้นเขียนชื่อตัวเองลงไปในสมุดรายชื่อ
ศิษย์ผู้นั้นมองกลับหัว พบว่าตนเองอ่านตัวหนังสือสองตัวนั้นไม่ออก เพียงแต่รู้สึกว่าชื่อของสหายธรรมผู้นี้ช่างเรียบง่ายนัก มีขีดเพียงไม่กี่ขีด
“สหายท่านนี้เชิญเดินไปทางนี้ ถือป้ายหยกอันนี้ไว้ ข่ายพลังจะตอบสนอง ไม่ขัดขวางท่าน”
คนผู้นั้นรับเอาป้ายหยกมา เดินเข้าไปในภูเขา
ศิษย์ผู้นั้นหมุนสมุดรายชื่อกลับมาดู เมื่อเห็นชื่อนั้นก็งุนงงเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดว่าเหตุใดถึงรู้สึกคุ้นเคยเช่นนี้ คล้ายเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
จากนั้นครู่หนึ่ง เขาพลันคิดขึ้นมาได้ จึงอ้าปากค้าง
“อาาา จิ๋งจิ่วแห่งชิงซาน!”
เขาหมุนตัวมองไปยังทางขึ้นเขา ไหนเลยยังจะมีเงาของอีกฝ่ายอีก เขารีบหยิบวัตถุวิเศษขึ้นมาแจ้งอาจารย์ที่อยู่ในภูเขา
……
……
ในหุบเขาทั้งสิบสองของเขาอวิ๋นเมิ่ง หุบเขาอิ๋งเซียนมีลักษณะพื้นที่ที่ราบเรียบที่สุด เรือกระบี่และเรือเมฆของสำนักต่างๆ ที่มาร่วมงานต่างจอดอยู่ที่นี่
จากในหุบเขาขึ้นไปยังที่พักเซียนที่อยู่บนบยอดเขามีเส้นทางอยู่หลายเส้น ริมทางเต็มไปด้วยสนโบราณพันปี ดูเขียวขจีเป็นยิ่งนัก
ที่นี่ไม่สะดวกที่จะขี่กระบี่หรืออาวุธวิเศษ มิเช่นนั้นทั่วทั้งยอดเขาคงจะเต็มไปด้วยลำแสงกระบี่และลำแสงอาวุธเศษ บินกันวุ่นวาย
เหล่าผู้บำเพ็ญพรตเดินอยู่ในภูเขา หยุดพักอยู่ในศาลา ประเดี๋ยวก็กล่าวทักทายกันเป็นระยะ
ในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตมีงานใหญ่เช่นนี้ไม่มากนัก หลายคนกว่าจะได้เห็นงานแบบนี้ก็ต้องรอเป็นเวลานานหลายปี พวกเขาจึงไม่มีทางพลาดโอกาสแบบนี้แน่นอน
มีผู้บำเพ็ญพรตกลุ่มหนึ่งที่ดูสะดุดตามากที่สุด พวกเขาสวมชุดสีเขียว เดินขึ้นไปยังยอดเขาอย่างเงียบๆ
การที่ทำให้ผู้อาวุโสระดับเยวี่ยเชียนเหมินต้องมาต้อนรับด้วยตัวเองได้ พวกเขาย่อมต้องมาจากชิงซานอย่างแน่นอน
ผ่านไปหลายร้อยปี เหล่าผู้ฝึกกระบี่ของสำนักชิงซานมาปรากฏตัวที่เขาอวิ๋นเมิ่งอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นยังมากันมากขนาดนี้ ย่อมต้องทำให้เกิดการถกเถียงพูดคุยเป็นอย่างมากแน่นอน
มีผู้บำเพ็ญพรตคนหนึ่งถามสหายที่อยู่ข้างกายว่าครั้งนี้ใครเป็นผู้นำคณะของชิงซาน ในตอนที่รู้ว่าสองเจ้าแห่งยอดเขาอย่างฟางจิ่งเทียนและหนานว่างต่างก็มากันทั้งคู่ เขาก็ยิ่งรู้สึกตกใจมากกว่าเดิม
“ครั้งนี้ชิงซานให้เกียรติจงโจวเป็นอย่างมากเลยนะเนี่ย”
สหายผู้นั้นส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “ไม่ใช่เพียงเท่านี้ ได้ยินว่าในตอนที่งานชุมนุมเริ่มขึ้น เจ้าสำนักหลิ่วฉือจะมาเยือนด้วยตนเองอีกด้วย”
ผู้บำเพ็ญพรตผู้นั้นรู้สึกไม่เข้าใจ กล่าวถามว่า “เพราะเหตุใด?”
ในฐานะที่เป็นสองผู้นำแห่งโลกบำเพ็ญพรต แต่ไหนแต่ไรมาความสัมพันธ์ของสำนักชิงซานและสำนักจงโจวมีความแปลกพิกลเล็กน้อย หรือพูดอีกอย่างคือกระอักกระอ่วน
ในตอนที่นักพรตจิ่งหยางบรรลุกลายเป็นเซียน สำนักจงโจวก็มิได้ส่งคนมา นี่คือสิ่งยืนยัน
ในการประลองวิถีพรตของงานชุมนุมเหมยฮุ่ยเมื่อหลายปีก่อน ไป๋เจ่าซึ่งเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของเจ้าสำนักจงโจวถูกจิ๋งจิ่วที่เป็นศิษย์ของชิงซานช่วยชีวิตเอาไว้ ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายดีขึ้นเล็กน้อย
แต่เนื่องเพราะความขัดแย้งเรื่องตำแหน่งผู้สืบทอดราชบัลลังก์ในเมืองเจาเกอในหลายปีนี้ ความสัมพันธ์ของทั้งสองจึงกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง เหตุใดจู่ๆ สำนักชิงซานถึงได้ให้เกียรติสำนักจงโจวขนาดนี้?
……
……
เมื่อเห็นศิษย์ชิงซานมาเยือนเขาอวิ๋นเมิ่ง ศิษย์ของสำนักใหญ่ๆ ที่ทราบถึงสถานการณ์คร่าวๆ ในแผ่นดินต่างเกิดความรู้สึกทอดถอนใจต่างๆ ขึ้นมามากมาย แต่สำหรับผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักและศิษย์สำนักเล็กๆ แล้ว ความรู้สึกของพวกเขาในเวลานี้กลับเรียบง่ายกว่ามาก พวกเขารู้สึกตื่นเต้นและดีใจ —- บุคคลเหล่านั้นล้วนแต่เป็นคนที่ถูกเล่าลือ พวกเขาเพียงแค่เคยได้ยินคนพูดถึง ใครจะไปคิดบ้างว่าชีวิตนี้จะมีโอกาสได้มาเห็นคนเหล่านี้ด้วยตาตัวเอง
“อาจารย์เซียนที่ดูสุขุมผู้นั้นก็คือกั้วหนานซาน ศิษย์อันดับหนึ่งของชิงซาน!”
มีคนกล่าวขึ้นมาอย่างตื่นเต้น “ในอดีตเขาเคยสังหารปีศาจที่แม่น้ำจั๋วไปติดกันเจ็ดตัว ถูกจิตรกรผู้หนึ่งวาดเป็นภาพลงไปบนผ้า ภายหลังถูกเรือนเป่าซู่นำออกประมูลได้หินผลึกมาลังหนึ่ง”
“กู้หานคือคนไหน? อาจารย์เซียนเจี่ยนหรูอวิ๋นมาหรือเปล่า?”
“อาจารย์เซียนที่ใบหน้ายิ้มแย้ม มองดูเป็นมิตรผู้นั้นจะต้องเป็นกู้ชิงแห่งยอดเขาเสินม่ออย่างแน่นอน เหมือนอย่างที่เล่าลือกันจริงๆ ด้วย ทำให้คนเกิดความรู้สึกอบอุ่นน่าเข้าหา”
“อาจารย์เซียนกู้ชิงและอาจารย์เซียนกู้หานเป็นพี่น้องกัน ตระกูลกู้ช่างร้ายกาจจริงๆ มิน่าหลายปีมานี้ถึงแผ่อิทธิพลเข้าไปในเมืองเจาเกอได้”
เสียงพูดคุยภายในหุบเขาดังขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานเหล่าผู้บำเพ็ญพรตก็ทราบถึงสถานะและประวัติความเป็นมาของศิษย์ชิงซานเหล่านี้อย่างชัดเจน
สายตาจำนวนมากเริ่มมองไปยังที่ที่หนึ่งในกลุ่มศิษย์ชิงซาน
ผู้บำเพ็ญพรตส่วนมากจะมีใบหน้างดงาม ร่างกายสูงใหญ่ แต่คนผู้นั้นกลับค่อนข้างเตี้ย คล้ายกับคนธรรมดา
ใบหน้าของคนผู้นั้นก็ธรรมดาอย่างมาก ธรรมดาถึงขนาดที่ว่าไม่ว่าจะมองเขามานานเท่าไร ขอเพียงละสายตาออกจากเขาเพียงเล็กน้อยก็จะลืมใบหน้าของเขาไป
การที่ธรรมดาถึงขนาดนี้ เช่นนั้นย่อมต้องไม่ธรรมดา
ได้ยินว่ากระทั่งในข้อมูลของเจวี่ยนเหลียนเหรินก็ยังไม่มีคำบรรยายที่ชัดเจนต่อใบหน้าของเขา
ราศีของคนผู้นั้นเองก็ธรรมดาอย่างมาก หนังตาตกลงมา ดูไม่มีชีวิตชีวา แล้วก็คล้ายคนยังนอนไม่ตื่น
ปัญหาอยู่ที่ว่าไม่มีใครที่รู้สึกว่าเขาเป็นคนถ่อมตนเรียบง่าย แต่กลับจะรู้สึกว่าเขาไม่ได้คิดที่จะเงยหน้าขึ้นมามองเจ้าเลย หยิ่งยโสเป็นที่สุด
“นี่คือจัวหรูซุ่ย?”
ภายในหุบเขาอิ๋งเซียนมีเสียงอุทานขึ้นมาเบาๆ
ผู้คนมองดูผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มผู้นั้น ในสายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกประหลาดใจ
ทั่วทั้งแผ่นดินเฉาเทียนต่างรู้ว่าจัวหรูซุ่ยเป็นศิษย์คนสุดท้ายของเจ้าสำนักชิงซาน
ที่น่ามหัศจรรย์ก็คือเขาเริ่มเก็บตัวทันทีที่เข้าเป็นศิษย์ในสำนักของชิงซาน
ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ไม่ว่าในชิงซานจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็อยู่แต่ในยอดเขาเทียนกวง ไม่ก้าวออกจากถ้ำแม้แต่ก้าวเดียวเป็นเวลายี่สิบปี
หลายวันก่อน จู่ๆ เขาก็ออกมา
ได้ยินว่าวันนั้นในชิงซานมีสายรุ้งปรากฏขึ้นมา
จากนั้น
เจ้าล่าเยวี่ยก็พ่ายแพ้ภายใต้กระบี่ของเขา
……
……
“นั่นมันเจ้าล่าเยวี่ยเลยนะ…คิดไม่ออกจริงๆ ว่าเขาทำได้อย่างไร”
“อย่าลืมสิว่าเขาก็เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดเช่นเดียวกัน”
ทุกคนมองดูจัวหรูซุ่ยที่อยู่ในกลุ่มคน พลางพูดคุยกันไม่หยุด
หากบอกว่าความเจิดจรัสของชิงซานเมื่อหลายปีก่อนอยู่ที่ยอดเขาเสินม่อและยอดเขาเหลี่ยงว่าง ตอนนี้เมื่อจัวหรูซุ่ยออกมาจากการเก็บตัว สายตาของคนทั้งโลกล้วนแต่จับจ้องมาที่เขา
เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาเคารพและอิจฉาที่มองมา กั้วหนานซานยิ้มเล็กน้อย
เขาไม่ได้มีอคติอะไรกับยอดเขาเสินม่อ แต่การที่ศิษย์น้องออกมาจากการเก็บตัวก่อนกำหนดนั้นช่วยเขาแบ่งเบาความกดดันไปได้ไม่น้อย
หลังจากนั้น เขารู้สึกมีอะไรแปลกๆ เพราะสายตาที่เดิมมองมายังศิษย์น้องเหล่านั้นล้วนแต่มองไปยังที่อื่นแล้ว….
เขามองตามสายตาเหล่านั้น พบว่าทุกคนต่างกำลังมองไปยังทางขึ้นเขาที่อยู่ด้านล่างหน้าผาเส้นหนึ่ง
ทางขึ้นเขาเส้นนั้นเก่าเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ใช้งานมาเป็นเวลานาน เมื่อดูป้ายสัญลักษณ์ นั่นน่าจะเป็นทางที่ตรงไปยังประตูสำนัก
มีแต่ผู้บำเพ็ญพรตไร้สำนักและผู้บำเพ็ญพรตจากสำนักเล็กๆ ที่ไม่มีเรือบินถึงมาจะมาจากทางนั้น แต่เหตุใดถึงดึงดูดความสนใจของคนจำนวนมากขนาดนี้ไปได้?
มีคนผู้หนึ่งเดินอยู่บนทางขึ้นเขา สวมหมวกลี่เม่า มองไม่เห็นใบหน้า เสื้อผ้าขาวพลิ้วไหว ให้ความรู้สึกล่องลอยคล้ายเซียน ราวกับอีกประเดี๋ยวจะลอยเข้ามาตามสายลม