มหากาพย์ดาบเทวะ! - ตอนที่ 47
ตอนที่ 47 ตกตะลึง
เมื่อพวกเขาเห็นอักษร ‘สิบสอง’ ปรากฏบนหอคอย เฉาหัวและผู้อาวุโสคนอื่นยิ้มออกมาทันที เพราะมีบางคนสามารถเข้าไปถึงชั้นสิบสองได้แล้ว นั่นคือความแข็งแกร่งของคนผู้นี้ร้ายกาจอย่างยิ่ง ทั้งยังเหนือกว่าผู้ใช้พลังปราณล้ำลึกที่อยู่ขั้นเดียวกันอีก สำหรับผู้รับใช้แห่งดาบตั้งแต่ชั้นสิบขึ้นไปและสูงกว่านั้น พวกมันจะไม่ค่อยใช้วิชาดาบ แต่จะใช้สัญชาตญาณในการต่อสู้ระดับสูง ดังนั้นความจริงที่มีบางคนสามารถไปถึงชั้นสิบสองได้ มันพิสูจน์แล้วว่าคนผู้นั้นแข็งแกร่งเพียงใด
ชายหนุ่มชุดคลุมสีดำที่ถูกคัดออกมาจากหอคอยบ่นพึมพำ “มีบางคนสามารถเข้าสู่ชั้นสิบสองได้แล้ว เขาช่างร้ายกาจอะไรเช่นนี้! มันมักจะมีคนที่แข็งแกร่งกว่าปรากฏขึ้นมาเสมอ!”
ชายหนุ่มชุดคลุมสีเหลืองด้านข้างกล่าว “ใช่แล้ว ข้าขึ้นชื่อว่าเป็นอัจฉริยะในเมืองตนเอง แต่บัดนี้ทราบแล้วว่าความสามารถข้ายังคงธรรมดานัก ก่อนหน้านี้หากข้าไม่มีชุดเกราะขั้นสีดำ ข้าคงถูกจัดการตั้งแต่ชั้นหกแล้ว ทว่า คนผู้นี้ที่สามารถบรรลุถึงชั้นสิบสอง มันช่างเป็นความแข็งแกร่งที่น่ากลัวนัก”
“มันต้องเป็นเจียงหยวนแน่เลยใช่หรือไม่?” ชายหนุ่มชุดดำกล่าว “ข้าได้ยินว่าเขาเป็นอัจฉริยะชื่อเสียงที่โด่งดังในเมืองธารหิมะในรอบร้อยปี ด้วยความแข็งแกร่งของเขา ข่าวลือนี้คงเป็นความจริงแน่นอน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นชายหนุ่มชุดเหลืองคารวะชายหนุ่มชุดดำพร้อมกล่าว “น้องชาย มีผู้คนที่ใด ที่นั่นย่อมมีการแก่งแย่งแข่งขัน พวกเราเพิ่งมาถึงสำนักดาบราชัน และความแข็งแกร่งก็ไม่ได้โดดเด่นมากนัก หากพวกเราไม่หาใครสักคนไว้พึ่งพิง ในอนาคตพวกเราอาจถูกกลั่นแกล้งได้โดยง่าย ท่านคิดเห็นยังไงกับเจียงหยวน?”
ชายหนุ่มชุดดำขมวดคิ้วและเงียบไปชั่วขณะก่อนจะกล่าว “พี่ชาย เจ้ากล่าวเช่นนี้หมายความว่าเราควรขอความช่วยเหลือจากเจียงหยวนใช่หรือไม่?”
“ผูกไมตรีกับเขาต่างหาก!” ชายหนุ่มชุดเหลืองกล่าวอีกครั้ง “ข้าเชื่อว่ามีกลุ่มคนมากมายในสำนักดาบราชัน ดังนั้นเหตุใดพวกเราไม่ก่อตั้งกลุ่มของตนเองล่ะ? ยิ่งกว่านั้นมันเป็นเวลาอันดีในตอนนี้ ดูผู้ทดสอบหนุ่มสาวรอบ ๆ นี้สิ พวกเขากลายเป็นศิษย์นอกกันแล้ว ตอนนี้พวกเขากำลังสับสนว่าควรทำยังไงต่อไปในอนาคต หากพวกเราสร้างไมตรีกับใครสักคนตอนนี้ พวกเขาก็คงตั้งใจจะรับมันไว้อย่างแน่นอน!”
ชายหนุ่มชุดดำกวาดสายตามองไปรอบด้าน ‘กล่าวไม่ผิดถึงแม้พวกเขาที่ออกมาจากหอคอยจะผ่านการทดสอบแล้ว แต่ใบหน้ากลับไม่แสดงถึงความสุขเลย มันกลับเป็นความกังวลอย่างเห็นได้ชัดที่ปรากฏออกมา’
ชายหนุ่มชุดดำคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะประกบมือคารวะชายชุดเหลือง “ข้าเฉินหลิว ส่วนท่านมีนามว่าอะไรพี่ชาย?”
“ข้าหวงเหริน!”
“พี่หวง โปรดดูแลข้าด้วยเมื่อพวกเราเข้าสู่สำนักนอก!”
“หามิได้ หามิได้ น้องเฉินแม้ระดับจะต่ำกว่าข้า แต่หากเทียบความแข็งแกร่งกันแล้ว ท่านอาจจะเหนือกว่าข้าด้วยซ้ำ”
“พี่หวง ท่านต้องล้อเล่นเป็นแน่ ตั้งแต่พี่หวงสามารถเข้าสู่ชั้นหกได้ มันก็พิสูจน์ชัดเจนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการบ่มเพาะพลังหรือการต่อสู้ พี่หวงนั้นเหนือกว่าข้าทุกอย่าง!”
“เอาละน้องเฉิน หยุดบทสนทนาของเราไว้ก่อน ดูนั่นสิมีอีกสองคนออกมาแล้ว รีบไปทำความรู้จักพวกเขากันเถอะ มิเช่นนั้นหากช้าเกินไป อาจเป็นพวกเขาที่จะก่อตั้งกลุ่มของตนเอง”
“ได้เลย…”
ในขอบเขตภาพมายาชั้นสิบสอง หยางเย่กำลังถือดาบไว้ในมือพร้อมโจมตีผู้รับใช้แห่งดาบอย่างต่อเนื่อง หลังจากหยางเย่โจมตีอย่างคลุ้มคลั่ง ผู้รับใช้แห่งดาบกลับกลายเป็นผู้เสียเปรียบแทน มันทำได้เพียงป้องกันตนเองเท่านั้น หยางเย่ไม่ปล่อยให้มันมีโอกาสโต้กลับแต่อย่างใด เขาเหวี่ยงดาบในมือพร้อมเพิ่มความเร็วและความรุนแรงขึ้นอีก
เคล้ง!
ท้ายที่สุดหยางเย่สามารถปัดดาบในมือผู้รับใช้แห่งดาบได้ เขาพบจุดอ่อนในการป้องกันของมัน ดังนั้นจึงสะบัดดาบในมือผู้รับใช้แห่งดาบออกไป ไม่นานมือขวาของเขาสั่นก่อนจะแทงตรงไปยังร่างของผู้รับใช้แห่งดาบ จนมันสลายไปในที่สุด
ขณะที่มองร่างของผู้รับใช้แห่งดาบที่หายไป หยางเย่กล่าวเสียงต่ำ “ด้วยผู้รับใช้แห่งดาบที่เราพบเจอ วิชาดาบพื้นฐานตอนนี้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ หากความรวดเร็วและความแข็งแกร่งสามารถเพิ่มขึ้นได้อีกเล็กน้อย เช่นนั้นวิชาดาบพื้นฐานของเราต้องร้ายกาจมากกว่านี้แน่!”
ในอดีตหยางเย่รู้สึกว่าวิชาดาบพื้นฐานนั้นไม่ได้อ่อนแอเลย บัดนี้หลังจากสู้กับผู้รับใช้แห่งดาบแล้ว มันยังพัฒนาได้แข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนมาก
วิชาดาบพื้นฐานขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักสองอย่าง ความเร็วและความแรง! เมื่อเข้าใกล้ศัตรูได้และสามารถใช้สองสิ่งนี้ ผู้นั้นจะกลายเป็นฝันร้ายของคู่ต่อสู้แน่นอน
หยางเย่ยังไม่เข้าสู่ชั้นต่อไป เขายืนนิ่งพร้อมดวงตาปิดสนิท ดูเหมือนกำลังทบทวนฉากการต่อสู้ก่อนนี้ระหว่างตนเองกับผู้รับใช้แห่งดาบ
ตั้งแต่ชั้นที่สิบ เมื่อเอาชนะได้เขาจะวิจารณ์การต่อสู้ของตนเองทุกครั้ง
ผ่านไปชั่วครู่ก่อนที่เขาเปิดตาออกพร้อมกล่าว “เราเผยจุดอ่อนถึงสามครั้ง หากผู้รับใช้แห่งดาบแข็งแกร่งกว่านี้ เราคงบาดเจ็บหนักไปแล้ว ยิ่งกว่านั้นยังพลาดไม่เห็นจุดด้อยอีกสามอย่างของพวกมันเช่นกัน ดูเหมือนความสามารถเรายังไม่เพียงพอ!”
ทันทีที่กล่าวจบหยางเย่สูดหายใจลึกก่อนจะเดินขึ้นไปยังชั้นสิบสาม
มีเพียงผู้รับใช้แห่งดาบตัวเดียวในชั้นนี้ แต่ท่าทีหยางเย่กลับดูค่อนข้างกดดัน เพราะผู้รับใช้แห่งดาบตัวนี้แข็งแกร่งกว่าตัวที่ชั้นสิบถึงสามเท่า!
ยังโชคดีที่มันไม่นำผู้รับใช้แห่งดาบจากชั้นสิบสองมาเป็นพื้นฐาน มิเช่นนั้นมันคงยาก ที่จะต่อกรกับผู้รับใช้แห่งดาบที่มีความแข็งเพิ่มขึ้นถึงสามเท่าจากชั้นสิบสอง
ไม่มีคำพิเศษหรือกระบวนท่าใด เขาใช้การแทงอย่างแรงไปยังผู้รับใช้แห่งดาบ บัดนี้การต่อสู้ก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
ณ ชั้นที่สิบของหอคอย การต่อสู้ของเจียงหยวนดูจะเข้มข้นกว่าของหยางเย่ เจียงหยวนไม่เข้าสู้แบบประชิดกับผู้รับใช้แห่งดาบ เขาสู้โดยการใช้ปราณดาบปะทะกับปราณดาบ ทำให้ปราณดาบพุ่งออกมาเป็นแนวตั้งและแนวนอนไปรอบด้าน
ชิ้ง!
ในช่วงเวลาแห่งความประมาท ปราณดาบกระแทกเข้าอกเจียงหยวน แต่เขายังไม่ถูกส่งออกมาจากหอคอย เพราะยังสวมชุดเกราะขั้นสีดำอยู่ใต้เสื้อคลุม แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นมันก็ทำให้เจียงหยวนถึงกับเหงื่อแตก
‘บัดซบ! พลังปราณของผู้รับใช้แห่งดาบมันมีขีดจำกัดบ้างหรือไม่? ถึงขนาดนี้แล้วยังปล่อยปราณดาบได้อีก!’ เจียงหยวนสบถในใจขณะต่อสู้กับผู้รับใช้แห่งดาบ
เขาต่อสู้กับผู้รับใช้แห่งดาบมานาน แต่ยังไม่สามารถทำสิ่งใดได้ เพราะผู้รับใช้แห่งดาบไม่เพียงแค่มีปราณดาบที่แกร่งกว่า สัญชาตญาณในการต่อสู้ก็ยังร้ายกาจกว่าทุกอย่าง ในอดีตเขาถูกปฏิบัติราวกับ ‘บรรพบุรุษ’ ที่บ้านตนเอง และถึงแม้จะเคยต่อสู้ แต่ก็ไม่เคยต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับคนหรือว่าสัตว์อสูรมาก่อน ดังนั้นเมื่อเข้าปะทะกับผู้รับใช้แห่งดาบที่ไม่เกรงกลัวความตายแล้ว จุดด้อยของเขาจึงถูกเปิดเผยออกมามากมาย
แต่ยังโชคดีแม้จะมีสัญชาตญาณการต่อสู้ที่ด้อยกว่า มันก็ไม่ทำให้เขาแพ้ เพราะผู้รับใช้แห่งดาบก็คือผู้รับใช้แห่งดาบ มันอาจจะมีความแข็งแกร่งในการต่อสู้ แต่กลับไม่มีสติปัญญาดั่งเช่นมนุษย์
เวลานี้พวกมันทั้งคู่ถูกต้อนจนมุม
ในอีกด้านหนึ่ง สตรีชุดเขียวตกอยู่สถานการณ์เดียวกับเจียงหยวน ผู้รับใช้แห่งดาบขั้นปราณมนุษย์ระดับเก้ามีพลังที่ร้ายกาจเกินไป แต่สตรีชุดเขียวก็ไม่ได้ท้อถอย ทั้งยังมีพลังเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในการต่อสู้ นางต้องเผชิญกับเหตุการณ์ยากลำบากมาตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นความยากลำบากจึงถือเป็นเรื่องปกติสำหรับนาง!
“ใครบางคนเข้าสู่ชั้นสิบสี่แล้ว!” ด้านนอกหอคอย ชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ในเทียบอันดับสำนักนอกตกตะลึงพร้อมชี้ไปยังตัวอักษร
ศิษย์นอกคนอื่นก็หันไปมองเช่นกัน พวกเขาทั้งหมดชะงักเมื่อเห็นตัวอักษร ‘สิบสี่’ ปรากฏบนหอคอย
ชั้นที่สิบสี่ มันหมายความว่าความแข็งแกร่งของคนผู้นี้ไม่มีใครเอาชนะได้ เพราะระดับเก้าขั้นปราณมนุษย์ที่ชั้นสิบสี่นี้มันชวนสะพรึงอย่างยิ่ง และทันทีที่เข้าสู่ชั้นนี้ คนผู้นั้นก็อยู่ในสถิติเดียวกันกับชายหนุ่มไฝดำกับชายหนุ่มหน้ากลมแล้ว พวกเขาอยู่ในอันดับสองและสามของเทียบอันดับสำนักนอกในตอนนี้
“ชินเฟิง ชายหนุ่มนามว่าเจียงหยวนผู้นี้นับว่าไม่ธรรมดา เขาสามารถเข้าสู่ชั้นสิบสี่ได้แล้ว” ชายหนุ่มหน้ากลมมองไปยังชายหนุ่มไฝดำขณะกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เวลานั้นทั้งสองเขาไปยังชั้นที่สิบสี่ พวกเขาทราบดีถึงความยากลำบากในชั้นนี้ ดังนั้นชายหนุ่มนามว่าเจียงหยวนจึงน่าสนใจต่อทั้งสองอย่างมาก
“ค่อยคุยกันต่อหลังจากเขาไปถึงชั้นสิบห้า!” ชายหนุ่มไฝดำแสดงท่าทีสงบขณะกล่าวอย่างเย็นชา
“ชั้นสิบห้า เขาเข้าไปยังชั้นที่สิบห้าแล้ว!” ทันทีที่ชายหนุ่มไฝดำกล่าวจบ ชายหนุ่มด้านข้างชี้ไปยังตัวอักษรบนหอคอยและตะโกนอย่างตื่นเต้น
ชายหนุ่มไฝดำเริ่มเผยท่าทีบางอย่าง
“ชั้นสิบห้า มันคือชั้นสิบห้าจริงด้วย ฮ่าฮ่า!” เมื่อเห็นตัวอักษรขนาดใหญ่บนหอคอยเปลี่ยนเป็นตัวเลข ‘สิบห้า’ ผู้อาวุโสเฉาหัวสูญเสียความสงบและหัวเราะลั่นออกมา ไม่ใช่เพียงเฉาหัว แม้กระทั่งผู้อาวุโสเชียนและผู้อาวุโสเฟิงอวี่เองก็เผยรอยยิ้มเช่นกัน
เข้าสู่ชั้นที่สิบห้าแล้วอย่างไร? มันคือสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าหากบุคคลผู้นี้ไม่ถูกขับไล่ยามเข้าร่วมสำนักสักสองปี เช่นนั้นเขาย่อมได้กลายเป็นตัวแทนสำนักสู่เทียบอันดับสวรรค์!
ศิษย์ที่มากศักยภาพเช่นนี้จะไต่เต้าขึ้นสู่เทียบอันดับสวรรค์ได้เพียงใด? นี่จึงเป็นตัวแทนศิษย์สำนักดาบราชันในภายหน้า! ดังนั้นแล้ว ด้วยพบเห็นศิษย์ที่จะได้ก้าวเป็นตัวแทนอนาคตของสำนักดาบราชัน จะไม่ให้พวกเขาตื่นเต้นยินดีได้อย่างไร?
หลังจากตกตะลึงกันอยู่ชั่วครู่ เฉาหัวนึกบางอย่างได้ก่อนจะหันไปถามเฟิงอวี่ “ศิษย์พี่เฟิง เหลือกี่คนที่อยู่ในหอคอยงั้นหรือ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฟิงอวี่กล่าว “หากข้าไม่พลาด มีเหลืออยู่สี่คนในหอคอย ทั้งสี่คนคือ เจียงหยวน ชิงเสวีย ฟานเหวิน และหยาง…”
เมื่อกล่าวถึงชื่อนี้ เฟิงอวี่หันไปมองผู้อาวุโสเชียนพร้อมกล่าว “หยางเย่? ศิษย์ใช้แรงงาน หยางเย่งั้นหรือ?”
เมื่อได้ยินเฟิงอวี่ เฉาหัวมองไปยังผู้อาวุโสเชียนเช่นกัน เขาประทับใจในตัวหยางเย่เล็กน้อย และตอนนี้ยังประหลาดใจเมื่อได้ยินชื่อหยางเย่ที่ยังอยู่ในหอคอย
ผู้อาวุโสเชียนลูบเคราพร้อมเผยรอยยิ้มกว้าง “เป็นเขาแน่นอน! ข้าสังเกตดูมาตลอด เขายังไม่ออกมาและยังอยู่ข้างใน!”
เฟิงอวี่และเฉาหัวประหลาดใจเมื่อได้ยิน เวลานี้ชั้นที่ต่ำสุดในหอคอยคือชั้นสิบ ดังนั้นก็หมายถึงหยางเย่ได้เข้าสู่ชั้นสิบแล้ว
พรสวรรค์และความแข็งแกร่งของผู้ที่เข้าสู่ชั้นสิบได้นั้นยอดเยี่ยมมาก แต่ที่พวกเขาสับสนคือ เหตุใดหยางเย่ไม่สามารถเป็นผู้ใช้พลังปราณล้ำลึกได้ในปีที่ผ่านมา
เวลานี้มีอีกหนึ่งร่างถูกส่งออกมาจากหอคอย ผู้อาวุโสเชียนรีบมองไปทันที เขาถอนหายใจโล่งอกออกมาเมื่อสังเกตว่าเป็นฟานเหวินไม่ใช่หยางเย่ เพราะหยางเย่เข้าสู่ชั้นสิบแล้ว นั่นหมายความว่า ไม่ใช่เรื่องยากที่หยางเย่จะเป็นหนึ่งในสิบอันดับที่แข็งแกร่งที่สุดตอนนี้ แต่ผู้อาวุโสเชียนยังคงหวังให้หยางเย่ไปได้ไกลอีกสักหน่อย
“ชั้นสิบหก! สิบหก…” ใครบางคนตะโกนขึ้นมา
ในไม่ช้าทุกคนนอกหอคอยรวมถึงกลุ่มของศิษย์เทียบอันดับสำนักนอกต้องตกตะลึง