มหากาพย์ดาบเทวะ! - ตอนที่ 74
ตอนที่ 74 ใต้สวรรค์ บนปฐพี
ขณะที่ใช้ความนึกคิดควบคุมดาบตรงหน้า หยางเย่ได้โจมตีกลับไปอีกครั้ง แต่ทันใดนั้นเสียงของเฟิงอวี่ได้ดังก้องในหัวของเขา “เย่เอ๋อ ลูกยังไม่ใช่คู่ต่อสู้นาง แม่จะใช้วิชาลับตรึงนางไว้ ลูกพาเสี่ยวเหยาหนีไปยังสำนักดาบราชัน แม่ทราบดีว่าลูกไม่เกรงกลัวความตาย และก็ทราบด้วยว่าลูกไม่ต้องการเห็นแม่ถูกจับไปทรมาน แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาจะมาทำตามใจตนเอง หากยังมีชีวิตก็ย่อมมีความหวัง เมื่อลูกยังมีชีวิตอยู่ แม่เองก็ยังมีความหวังเช่นกัน!”
ขณะที่หยางเย่กำลังจะกล่าวบางอย่าง ริมฝีปากแดงสวยของเฟิงอวี่ได้เริ่มขยับพร้อมส่งเสียงไปในหัวของเขาอีกครั้ง “หากลูกยังปฏิเสธ เช่นนั้นแม่จะปลิดชีวิตตนเองตรงนี้เสีย”
ดวงตาหยางเย่เปลี่ยนเป็นแดงก่ำพร้อมแสดงท่าทีแห่งความปวดร้าว มันรู้สึกราวกับถูกมีดทิ่มแทงหัวใจ เขามองไปยังเสี่ยวเหยาที่จับมือมารดาไว้แน่น เสี่ยวเหยายังเด็กเกินไป ถึงแม้จะไม่ต้องการจากมารดา แต่ใบหน้านางกลับซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว
เฟิงอวี่ไม่อาจทนเห็นหยางเย่เจ็บปวดได้ แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น นางทราบนิสัยลูกตนเองดี หากไม่บังคับให้ทำเช่นนั้น เขาก็ไม่ยอมหนีไปถึงแม้จะต้องถูกสังหาร
เฟิงอี้ขมวดคิ้วเมื่อสังเกตว่าเฟิงอวี่ใช้การส่งเสียงผ่านจิต “พวกเจ้าจะตามไปแต่โดยดี หรือจะให้ข้าต้องลงมือ?”
“เย่เอ๋อ แม่ยังไม่ถูกตัดสินประหารทันทีที่กลับไป ดังนั้นเมื่อลูกแข็งแกร่งกว่านี้ในอนาคต ลูกก็สามารถมาช่วยแม่ได้ที่ราชวังบุปผา แต่ถ้าถูกจับไปตอนนี้ทั้งหมด แม่ก็ไม่มีความหวังใดอีก เช่นนั้นแล้วลูกต้องมีชีวิตรอดเข้าใจหรือไม่?” ขณะที่หยางเย่ยังคงดื้อด้านอยู่ เฟิงอวี่จึงได้กล่าวอีกครั้งเพื่อให้หยางเย่เข้าใจ
หยางเย่กำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือ ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวไปมา ตอนนี้หยางเย่รู้สึกเกลียดชังอย่างมาก เขาเกลียดชังตนเองที่ไม่สามารถปกป้องทุกคนได้ ถ้าเขามีความแข็งแกร่งมากพอ แม้มารดาจะละเมิดกฎราชวังบุปผามันก็ไม่สำคัญ!
เมื่อเฟิงอี้เห็นว่าเฟิงอวี่ยังคงใช้การสื่อสารผ่านจิต นางจึงได้เอ่ยคำ “จับตัวพวกเขา!”
ร่างของสตรีทั้งสี่ด้านหลังเฟิงอี้เริ่มเคลื่อนไหว พวกนางได้พุ่งไปยังครอบครัวของหยางเย่
ท่าทีเฟิงอวี่เปลี่ยนไปทันทีที่เห็น นางยกเสี่ยวเหยาขึ้นพร้อมส่งให้หยางเย่ “พาเสี่ยวเหยาหนีไป แม่จะรอความช่วยเหลือจากลูก!”
เมื่อกล่าวจบ ประกายแห่งโหดเหี้ยมได้ระเบิดออกมาจากร่างเฟิงอวี่ จากนั้นผลึกดอกไม้จำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นรอบตัวนาง
เมื่อดอกไม้ทั้งหลายปรากฏขึ้นราวกับผลึกน้ำแข็ง เสียงเสียดอากาศที่น่าสะพรึงดังขึ้นรอบด้าน
มันเป็นเสียงอากาศถูกตัดออกจากกัน!
ใบหน้าเฟิงอี้ถอดสีทันทีที่เห็นดอกไม้เหล่านั้น นางกล่าวออกมาอย่างขัดใจ “ร้อยบุปผาสวรรค์! เฟิงอวี่ เจ้ากล้าดียังไงมาใช้วิชาลับต้องห้าม! บ้าไปแล้วงั้นหรือ?”
ขณะที่กล่าว เฟิงอี้และสตรีที่เหลือรีบใช้วิชาตัวเบาหนี
เฟิงอวี่ไม่สนใจสิ่งใดแล้ว นางหันไปตะโกนบอกหยางเย่ “รีบไป! เร็วเข้า! ลูกต้องการให้แม่ปลิดชีพตนเองต่อหน้าลูกจริงใช่หรือไม่?”
หยางเย่รีบคำนับมารดาสามครั้ง จากนั้นได้อุ้มเสี่ยวเหยาที่เต็มไปด้วยเสียงร้องสะอื้นพุ่งไปยังประตูเมือง “ท่านแม่ รอข้าก่อนนะ! ท่านต้องรอข้านะ…”
เฟิงอวี่เผยรอยยิ้มบนหน้าซีดเผือดเมื่อได้ยินคำหยางเย่ จากนั้นนางโคจรพลังปราณภายในร่างกายเพื่อควบคุมผลึกดอกไม้ พวกมันได้พุ่งตรงไปยังเฟิงอี้และองครักษ์บุปผา ตอนนี้ทั้งหมดที่ทำได้คือตรึงเฟิงอี้ และซื้อเวลาให้หยางเย่สามารถหลบหนีได้ทัน!
วิชาลับต้องห้ามที่เฟิงอวี่ใช้น่าสะพรึงเกินไป และความปั่นป่วนของพลังรอบด้านนั้นร้ายกาจมาก มันทำให้ผู้ใช้พลังปราณภายในเมืองทักษิณภิรมณ์ต่างพากันตกตะลึงเมื่อสัมผัส แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าออกมาดูการต่อสู้นี้ ยิ่งกว่านั้นแม้แต่ยามรักษาการณ์ของเมืองก็ไม่กล้าออกมาเช่นกัน เพราะความวุ่นวายจากการต่อสู้ของผู้ใช้พลังปราณขั้นจิตวิญญาณ ไม่ใช่สิ่งที่ธรรมดา ดังนั้นหากพวกเขาออกมาชมการต่อสู้ ลูกหลงจากยอดฝีมือเหล่านี้สามารถทำให้พวกเขาตายได้!
หลังผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง ทุกอย่างเริ่มสงบลง เฟิงอวี่นั่งลงอย่างช้า ๆ ด้วยผมที่ยุ่งกระเชิง ใบหน้านางซีดอย่างมากจนแทบไม่เห็นโลหิตใต้ผิวหนัง ยิ่งกว่านั้นยังมีเลือดซึมออกมาตรงมุมปาก
“การใช้วิชาลับต้องห้ามมันทำให้เจ้าได้รับผลกระทบที่หนักพอควร ไม่เพียงแค่ขั้นพลังปราณจะลดลง ในอนาคตเจ้าจะไม่สามารถบรรลุขั้นปราณพลังระดับสูงได้ มันคุ้มงั้นหรือ?” เฟิงอี้มองไปที่เฟิงอวี่ที่นั่งลงอย่างอ่อนแรง
รอยยิ้มแปลกประหลาดเผยขึ้นตรงมุมปากเฟิงอวี่ “เจ้าไม่ทราบหรอกว่าคุ้มหรือไม่หากไม่มีลูก”
เฟิงอี้กล่าวอย่างเย็นเยือก “ข้าไม่เคยคิดจะมีลูกในช่วงชีวิตนี้ แต่เจ้ากลับกล้าทรยศราชวังเพียงเพื่อผู้ชายคนเดียว ตอนนี้เจ้ายังกล้าใช่วิชาลลับต้องห้ามเพื่อเด็กสองคน ยิ่งกว่านั้นเจ้าจะต้องทุกข์ทนกับความเจ็บปวดชั่วนิรันดร์กับวายุหยินใต้ผาสิ้นรักเพื่อสามคนนี้ มันคุ้มจริงหรือ?”
เฟิงอวี่ไม่กล่าวสิ่งใด นางแค่มองไปในทางที่หยางเย่จากไป นางต้องการจะบอกเฟิงอี้ว่ามีหลายสิ่งในโลกนี้ที่คุ้มค่าพอจะเสีย แต่ก็หาได้เอ่ยคำไม่ เพราะทราบดีว่าคนอย่างเฟิงอี้ที่เติบโตในราชวังบุปผาคงไม่เข้าใจมัน ตอนนี้นางหวังเพียงแค่ให้หยางเย่สามารถกลับไปยังสำนักดาบราชันอย่างปลอดภัย!
ดูเหมือนเฟิงอี้จะทราบว่าเฟิงอวี่คิดสิ่งใดอยู่ จากนั้นนางมองยังทิศทางที่หยางเย่จากไปพร้อมกล่าว “กล่าวจากใจจริง ความแข็งแกร่งและความสามารถของเขานับว่าไม่เลวเลย มันไม่ได้ด้อยไปกว่าอัจฉริยะบางคนในรุ่นนี้ที่ราชวังบุปผา หากเขาสามารถเติบโตไปได้ ความสำเร็จของเขาในอนาคตจะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน แต่โชคร้าย ข้าคงไม่ปล่อยให้มันเป็นไปได้ ดังนั้นข้าตัดสินใจจะไล่ตามเขาไป!”
เฟิงอวี่ไม่กล่าวอันใด นางทำได้เพียงมองไปยังทิศทางที่หยางเย่จากไป ‘ต่อจากนี้มันขึ้นอยู่กับโชคของเขาแล้ว’
เฟิงอี้กล่าว “จับนางแล้วรีบไปยังที่พักผู้ว่าการของเมืองพร้อมกับอธิบายทุกสิ่ง บอกเขาว่ามันเป็นเรื่องภายในของราชวังบุปผา ข้าจะไล่ตามเด็กทั้งสองไป พวกเจ้าไม่ต้องรอข้า จงรีบกลับไปยังราชวังบุปผาทันทีที่เสร็จเรื่อง!”
หลังจากกล่าวจบ ร่างของเฟิงอี้หายไปยังทิศทางของหยางเย่ ในเวลาเพียงไม่นาน นางได้ปรากฏตัวในระยะทางร้อยกว่าเมตร
……
ด้านนอกเมืองทักษิณภิรมณ์ หยางเย่อุ้มเสี่ยวเหยาไว้ในมือขณะนั่งอยู่บนหลังหมาป่าสีเทา พวกเขากำลังวิ่งหนีภายใต้แสงจันทร์ เขาเร่งความเร็วของหมาป่าสีเทาจนถึงขีดสุด
ท่าทีหยางเย่เปลี่ยนเป็นมืดดำ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยสีแดงก่ำ เวลานี้เขาเต็มไปด้วยความชิงชังอย่างมาก นอกจากจะชิงชังราชวังบุปผา หยางเย่ยังชิงชังตนเองที่ไร้ความสามารถ เพราะหากเขาแข็งแกร่งพอ เช่นนั้นมารดาคงไม่ต้องใช้วิชาลับต้องห้าม หากแข็งแกร่งพอ เขาคงสามารถปกป้องทั้งมารดาและน้องสาวไว้ได้ หากแข็งแกร่งพอ…
ถูกต้อง หากเขาแข็งแกร่งพอ ทุกอย่างคงเป็นไปอย่างที่คิดไว้ แต่หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เขาเป็นแค่ผู้ใช้พลังปราณขั้นปราณมนุษย์! และยังไม่มีความแข็งแกร่งพอจะต้านทานพวกองครักษ์บุปผา!
“ข้าจะต้องเก่งขึ้น ข้าจะไม่ให้ผู้ใดที่อยู่ใต้สวรรค์บนปฐพีนี้มาเปลี่ยนโชคชะตาได้อีกแล้ว ข้าไม่ต้องการให้กฎเกณฑ์ใดบนโลกนี้มาตัดสินคนที่ข้ารักได้อีก!” หยางเย่กำหมัดแน่นพร้อมอย่างหนักแน่นบนหลังหมาป่าสีเทา
นับจากนี้เป็นต้นไป เป้าหมายในชีวิตหยางเย่ได้เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ในอดีตเขาต้องการแค่ครอบครัวอยู่สุขสบาย แต่ด้วยเหตุการณ์คืนนี้ ทำให้หยางเย่เข้าใจว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้มันไม่ง่ายที่จะทำได้ หากเขาต้องการสำเร็จเป้าหมายนี้ หยางเย่ต้องทะลวงกฎของราชวังบุปผาเสีย มิเช่นนั้นเป้าหมายนี้คงเป็นได้แค่เรื่องขบขันสำหรับเขา
บนหลังของหมาป่าสีเทา เสี่ยวเหยาขยับเข้าไปแนบชิดในอ้อมกอดหยางเย่ นางกล่าวอย่างเศร้าโศก “พี่ใหญ่ ท่านแม่จะเป็นอะไรหรือไม่คะ?”
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคืนนี้มันทำให้นางตกตะลึงอย่างมาก ครั้งแรกคือมารดาของนางที่อยู่ด้วยกันมานับสิบปีเป็นยอดฝีมือในตำนาน จากนั้นยังมียอดฝีมือจากราชวังบุปผาบุกมาจับมารดาต่อ เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้นางกลัวและตื่นตระหนกโดยแท้จริง
ในมุมมองของนาง มารดาไม่เคยโกรธหรือโมโหมาก่อน ทั้งยังเป็นคนที่จิตใจดีและสุภาพต่อทุกคน ยิ่งกว่านั้นยังไม่เคยละเมิดกฎเกณฑ์ใด ดังนั้นนางจึงสงสัยว่าเหตุใดพวกเขาถึงต้องการมาจับตัวนาง?
จากนี้ไป เมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชังได้ฝังลึกลงไปในจิตใจของเด็กสาวไร้เดียงสา
เมื่อได้ยินเสี่ยวเหยาถาม หยางเย่กอดนางไว้แน่นพร้อมกล่าว “อย่ากังวล ท่านแม่จะไม่เป็นอะไร ท่านแม่บอกกับพี่ใหญ่ว่าจะไม่เป็นอะไร และบอกจะรอให้พี่ใหญ่แข็งแกร่งขึ้นจนสามารถไปช่วยออกมาได้”
“จริงหรือคะ?” เสี่ยวเหยาถาม
“พี่ใหญ่ของเจ้าไม่โกหกอยู่แล้ว!” ทันใดนั้นเสียงของเฟิงอี้ปรากฏขึ้นในหูของหยางเย่และเสี่ยวเหยา
หยางเย่ตกตะลึงทันทีที่ได้ยินเสียงนั้นก่อนเงยหน้าขึ้นมอง เวลานี้เฟิงอี้ได้ปรากฏอยู่ด้านบนของเขา