มหากาพย์ดาบเทวะ! - ตอนที่ 92
ตอนที่ 92 ข้าจะตั้งตารอ!
หนึ่งวันให้หลัง การทดสอบสํานักในเริ่มขึ้นตามกําหนด แต่มันก็หาได้มีความสําคัญใดกับหยางเย่อีก หลังจากออกจากหอคอยล่องนภาในวันนั้น หยางเย่พาเสี่ยวเหยาไปยังยอดเขาผู้ใช้ยันต์ มีเพียงเปาเอ๋อและปู่ของนางที่อาศัยอยู่ที่นี่ ดังนั้นเปาเอ๋อจึงค่อนข้างเบื่อทีเดียว ตอนนี้เสี่ยวเหยาได้มาอยู่ด้วย นางจึงรู้สึกมีความสุขอย่างมาก นางรับเสี่ยวเหยาเป็นน้องสาวทันที ยิ่งกว่านั้นยังบอกว่า ใครก็ตามที่กลั่นแกล้งเสี่ยวเหยาก็เท่ากับกลั่นแกล้งนางด้วย
หยางเย่รู้สึกมีความสุขมากเมื่อเห็นพวกเขาอยู่ด้วยกันฉันพี่น้อง แต่หยางเย่รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยในเรื่องอื่น เพราะอาจารย์คนใหม่ของเขาบังคับให้อ่านแต่ตําราทันทีที่มาถึงยอดเขาผู้ใช้ยันต์ เขาแทบจะเป็นลมเมื่อเห็นบันทึกตําราเต็มห้องสมุด
แต่เพื่อจะสร้างความประทับใจที่ดีให้กับอาจารย์ของเขา หยางเย่เริ่มอ่านมันอย่างจริงจัง ในตอนแรกเขารู้สึกไม่พอใจ แต่หลังจากอ่านไปได้สักพักกลับกลายเป็นหมกหมุ่นอยู่กับพวกมัน เพราะตําราเหล่านี้นอกจากจะมีประสบการณ์ เคล็ดวิชาจากอาจารย์แล้ว มันยังมีเคล็ดวิชาลับล้ำค่าอยู่ด้วย
เคล็ดวิชาลับของอาจารย์ยันต์ สามารถจารึกลงของวิเศษทมิฬได้ในตอนแรกหยางเย่คิดว่าอาจารย์ยันต์สามารถจารึกลงไปเมื่อไหร่ก็ตามที่ต้องการ แต่มันแตกต่างจากที่เขาจินตนาการไว้เล็กน้อย เพราะมันเป็นเรื่องยากมากที่จะจารึกอักขระลงบนของวิเศษ
เหตุผลที่ต้องใช้อาจารย์จารึกอักขระนั้น เพราะเคล็ดวิชาลับต้องทําผ่านเส้นลมปราณ มีเส้นลมปราณในร่างกายมากเท่าไหร่กัน? ดังนั้นมันต้องลําบากแค่ไหนในการจารึกอักขระผ่านเส้นลมปราณ? โดยเฉพาะเคล็ดวิชาระดับขั้นสีดําขึ้นไป เส้นทางการไหลเวียนของพลังปราณจะยิ่งซับซ้อนขึ้นไปอีก ยิ่งกว่านั้น หลังจากจารึกเรียบร้อยแล้ว มันยังต้องผ่านการคัดกรองอีกนับครั้งไม่ถ้วนก่อนสําเร็จ เพราะหากเกิดข้อผิดพลาดเพียงแต่น้อยก็อาจถึงตายได้
กล่าวได้ว่าเคล็ดวิชาลับแห่งยันต์นั้นล้ำค่าอย่างยิ่ง เพียงแค่เคล็ดวิชาขั้นสีเหลืองธรรมดาก็สามารถขายได้กว่าหนึ่งล้านเหรียญทอง
หลังจากที่ทราบว่าเคล็ดวิชาล้ำค่าเพียงใด หยางเย่จึงได้เริ่มศึกษาให้หนักยิ่งขึ้น และเป็นเช่นนั้นมาสามวันที่หยางเย่นั่งศึกษาอยู่ในหอสมุดส่วนตัวของหลินชาน
ในวันที่สี่หยางเย่ได้ออกมาจากหอสมุดเนื่องจากการมาของซูชิงฉือ
ยอดเขาผู้ใช้ยันต์เป็นหนึ่งในเจ็ดยอดเขาของสํานักดาบราชัน ดังนั้นจึงไม่ใช่สถานที่ที่เล็กแคบ ยิ่งกว่านั้นยอดเขายังถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก มีพฤกษพรรณนานาชนิดที่หายากเติบโตที่นี่ มันราวกับสรวงสวรรค์ที่งดงาม แต่ก็รกร้างเกินไปในเวลาเดียวกัน โชคดีที่การมาอยู่ของหยางเย่และน้องสาวได้เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้ยอดเขารกร้างนี้
มีอยู่สองสิ่งปลูกสร้างที่ยอดเขาผู้ใช้ยันต์ หนึ่งคือหอคอยยันต์ และที่พักของหลินชาน แต่หลินชานโดยปกติไม่ค่อยอยู่ที่นั่น อีกหนึ่งสิ่งปลูกสร้างคือที่พักที่หรูหราใหญ่โต แต่ก็มีเพียงแค่เปาเอ๋อเท่านั้นที่อาศัยอยู่ ไม่สิ ตอนนี้มีหยางเย่และเสี่ยวเหยาอาศัยอยู่ที่นั่นด้วย
ในห้องของหยางเย่ ซูชิงถือกําลังมองไปที่หยางเย่พร้อมกล่าวบางอย่าง ”มันจะไม่มีหนทางเลยงั้นหรือ?”
หยางเย่เข้าใจดีว่าซูชิงฉือหมายความว่ายังไง เขารีบส่ายหัวพร้อมเอ่ย ” ชิงฉือ นี่คือสิ่งข้าได้รับ หากพวกเขาไม่ทอดทิ้งข้า เช่นนั้นข้าก็ไม่ทอดทิ้งพวกเขาเช่นกัน แต่เดิมขายกให้สํานักดาบราชันเป็นเหมือนบ้าน และให้เกียรติอย่างมาก ข้ายังรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นศิษย์ของสํานักดาบราชัน แต่ดูสิ่งที่ข้าได้รับจากสํานักดาบราชันสิ มันหาได้ผิดไม่ที่พวกเขาจะทําเพื่อสํานัก แต่ข้าเองก็ไม่ต้องการถูกทอดทิ้งอีกในอนาคต ดังนั้นท่านไม่จําเป็นต้องมาเกลี้ยกล่อมข้า!”
ซูชิงฉือเงียบไปชั่วขณะ นางเข้าใจว่าหยางเยรู้สึกเช่นไร เพราะไม่มีผู้ใดรู้สึกดีเมื่อถูกทอดทิ้ง แต่นางก็ไม่ได้หวังให้หยางเย่ออกจากสํานักเช่นนี้ เมื่อหยางเย่มีเจตจํานงแห่งดาบ และมันสามารถพัฒนาได้อย่างดีหากอยู่ในสํานักดาบราชัน เพราะสํานักดาบราชันคือสํานักที่ผู้คนใช้ฝึกฝนวิชาดาบ
“ใช่สิ!” หยางเย่กล่าวขึ้นอย่างฉับพลัน “เปาเอ๋อบอกข้าว่ามีบางคนแจ้งมาว่าข้าอยู่ในอันตราย เป็นท่านงั้นหรือ?”
หยางเย่สับสนเล็กน้อยว่าเหตุใดพวกเขาถึงได้ปรากฏตัวที่หอคอยล่องนภาในวันนั้น เขาจึงถามไถ่เปาเอ๋อเมื่อมาถึง เขาทราบว่ามีใครบางคนแจ้งข่าวให้เปาเอ๋อทราบ ดังนั้นคนแรกที่หยางเย่นึกถึงคือซูชิงฉือ
ซูชิงฉือพยักหน้าพร้อมกล่าว “เมื่อข้าทราบว่าคนของราชวังบุปผามาที่สํานักดาบราชัน ข้าทราบทันทีว่าพวกนางมาเพื่อเอาเรื่องเจ้า ดังนั้นข้าจึงแจ้งให้เปาเอ๋อทราบเพื่อให้นางช่วยพูดในนามของเจ้า แต่ข้าไม่คาดคิดว่านางจะพาปู่มาด้วย และไม่เคยคิดว่าอาจารย์ลุงอวี่หลินจะกระทําการตัดสินใจในทันทีหลังจากส่งข้าออกไป”
ความรู้สึกอุ่นบังเกิดในหัวใจหยางเย่เมื่อได้ยิน ” ขอบคุณนะ!”
เขาครุ่นคิดบางอย่างจึงเอ่ยถามอีกครั้ง แล้วคนของราชวังบุปผาล่ะ? เมื่อสํานักดาบราชันไม่ส่งตัวข้าให้ไป พวกนางคงไม่ปล่อยเรื่องนี้ไว้หรอกใช่หรือไม่!?”
ซูชิงฉือกล่าว “พวกเขาจะทําสิ่งใดได้หากไม่ยอมให้เรื่องสงบ? เจ้าคือศิษย์ของอาจารย์หลินชานแล้ว ทั้งยังเป็นคนของสมาคมผู้ใช้ยันต์ ถึงแม้พวกนางจะเป็นองครักษ์บุปผา พวกนางก็ไม่กล้ามีปัญหากับอาจารย์หลิน อย่าว่าแต่ตัวตนของอาจารย์หลินในฐานะอาจารย์ยันต์ แค่ความแข็งแกร่งขั้นปราณจุติก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้อื่นจะมาหาเรื่องได้แล้ว”
“เป็นเช่นนั้นเอง!” หยางเย่พยักหน้า ในที่สุดเขาก็เข้าใจความหมายของคําว่าต้นไม้ใหญ่สามารถให้ที่พักพิงได้
“เจ้ามีเจตจํานงแห่งดาบ ดังนั้นเจ้าสามารถพัฒนามันได้อย่างดีเมื่ออยู่สํานักดาบราชัน ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้น ข้ารับประการว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก ตกลงหรือไม่?”
ซูชิงฉือยังไม่ยอมแพ้ หยางเย่เป็นอัจฉริยะที่นางจับตามองก่อนที่เขาจะมีเจตจํานงแห่งดาบและตอนนี้เขามีเจตจํานงแห่งดาบแล้ว กล่าวได้ว่าเขาเป็นยอดอัจฉริยะในหมู่รุ่นเดียวกันทั้งหมด นางไม่ต้องการให้หยางเย่หันไปอยู่กับมหาอํานาจอื่น
เมื่อเขาได้ยินซูชิงฉือพยายามจะเกลี้ยกล่อมให้กลับไปยังสํานักดาบราชันอีกครั้ง หยางเย่ไม่ทราบว่าควรจะร้องไห้หรือดีใจ “ชิงฉือ สํานักดาบราชันเป็นสํานักที่ยิ่งใหญ่ ถึงแม้จะไม่มีข้า มันก็ยังคงเป็นสํานักที่ยิ่งใหญ่ เจ้าไม่จําเป็นต้องเช่นนี้!”
ซูชิงฉือถอนหายใจในใจก่อนจะหันหลังเดินไปทางประตู บางสิ่งนางก็ไม่สามารถแก้ไขได้ไม่ว่าจะพยายามเพียงใด
“ชิงฉือ!” หยางเย่หยุดซูชิงฉือไว้
ซูชิงฉือหยุดชะงัก จากนั้นนางหันไปมองหยางเย่
หยางเย่เดินเข้ามาหานางพร้อมกล่าว “ถึงแม้ข้าจะไม่ใช่ศิษย์สํานักดาบราชันแล้ว ข้าก็จะลงแข่งขันเทียบอันดับสวรรค์!”
” ทําไมกัน?” ซูชิงฉืองุนงง
หยางเย่กล่าวอย่างจริงจัง ”สํานักดาบราชันทอดทิ้งข้า แต่ท่านไม่ใช่ หากไม่ใช่เพราะท่าน ข้าคงถูกราชวังบุปผาจับตัวไปแล้วในวันนั้นที่เมืองทักษิณภิรมณ์ ในความคิดข้า ท่านก็คือท่าน และสํานักดาบราชันก็คือสํานักดาบราชัน ข้าเข้าร่วมเทียบอันดับสวรรค์เพื่อเจ้าไม่ใช่เพื่อสํานักดาบราชัน”
ซูชิงฉือเงียบไปชั่วครู่ “หากเจ้าต้องการจะช่วยข้าจริง เช่นนั้นก็กลับไปสํานักดาบราชันกับข้าตกลงหรือไม่?”
หยางเย่ส่ายหัวพร้อมกล่าว ” ท่านมีสิ่งที่ท่านต้องทํา ข้าเองก็มีเช่นกัน ยิ่งกว่านั้นไม่จําเป็นต้องรู้สึกผิดเพื่อสํานักดาบราชัน ถ้าสํานักดาบราชันอยากจะแข็งแกร่งขึ้น มันก็สามารถเกิดได้จากการฝึกฝนอยากหนักของทุกคน ไม่ใช่เพียงเพราะข้าคนเดียว”
ประกายแห่งความขมขึ้นปรากฏผ่านใบหน้าที่บอบบางของนาง “เหตุใดข้าถึงจะไม่เข้าใจหลักการนั้นล่ะ? แต่ข้าเองก็ต้องทํางานอย่างหนัก เจ้าเคยบอกว่าสถานะของข้าในสํานักดาบราชันหาได้ต่ำต้อยไม่ สถานะข้าก็ไม่ได้ต่ำต้อยจริง เพราะข้าคือลูกสาวของเจ้าสํานักดาบราชัน”
หยางเย่ตกตะลึง แต่เดิมเขาคิดว่าซูชิงถือเป็นลูกสาวของผู้อาวุโสที่มีอํานาจของสํานัก แต่ไม่เคยคาดคิดว่าจะเป็นลูกสาวเจ้าสํานัก เพราะสถานะนี้ หาได้ใช่สถานะที่ด้อยไปกว่าองค์หญิงในจักรวรรดิต้าฉิน!
ซูชิงฉือมองไปที่ดวงตาของหยางเย่พร้อมกล่าว ”เจ้าบอกว่าข้าควรให้โอกาสเจ้า หากเจ้าสามารถไปถึงอันดับหนึ่งในห้าบนเทียบอันดับสวรรค์ได้ แต่เจ้าทราบหรือไม่ว่าหากต้องการอยู่กับข้า มันก็ไม่จําเป็นต้องอยู่ในเทียบอันดับสวรรค์ เช่นนั้นเจ้าไม่จําเป็นต้องเข้าร่วมมันอีก!”
หยางเย่หัวเราะดังก้องทําให้ปราณเจตจํานงแห่งดาบปรากฏออกมา ”ชิงฉือ ท่านคิดว่าข้าจะยอมแพ้โดยง่ายงั้นหรือ? ท่านผิดแล้ว ข้ายอมรับว่าตกใจเมื่อทราบสถานะของท่าน แล้วยังไงล่ะ? ข้าหยางเย่ จะรู้สึกกลัวหรือรู้สึกด้อยข้าเพราะสถานะของท่านหรือไม่? ไม่! สถานะของท่านทําได้เพียงให้ข้าฝึกฝนให้หนักยิ่งขึ้นเท่านั้น!”
เมื่อนางสังเกตถึงเจตจํานงแห่งดาบที่ออกมาจากหยางเย่ ซูชิงฉือถึงกับกระตุกเล็กน้อย จากนั้นไม่นาน นางถอนหายใจพร้อมกล่าว “ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเจ้าถึงมีเจตจํานงแห่งดาบได้!”
หยางเย่ระงับรอยยิ้มไว้พร้อมกล่าวด้วยท่าที่จริงจัง ”ชิงฉือ ข้ายอมรับว่าความแข็งแกร่งตอนนี้ยังอ่อนแอ และมันต่ำต้อยกว่าที่เจ้าหมายมั่นไว้ แต่ตราบใดที่ท่านยังให้เวลาข้า ข้าก็จะฝึกให้หนัก ข้าจะฝึกจนท่านให้ความสําคัญกับข้า!”
แต่ก่อนหยางเย่ไม่ทราบว่าความรักคืออะไร และไม่ทราบว่าความรู้สึกก่อนนี้ที่มีต่อนางนั้นคือความรักหรือไม่ แต่ตอนนี้เขามีความรู้สึกต่อนางอย่างชัดเจน และมันไม่ใช่การปรารถนาครอบครอง เขารู้สึกดีต่อสตรีตรงหน้าอย่างแท้จริง
เนื่องจากมีความรู้สึกที่ดีต่อนาง เขาจึงกล่าวอย่างไม่เกรงกลัวอีก สําหรับความต่างของสถานะและความแข็งแกร่ง ผู้ชายคนหนึ่งที่เต็มใจจะฝึกหนักเพื่อนาง ใยต้องสนใจในสองสิ่งนั้นด้วย?
เขา หยางเย่ไม่ได้เกิดมาในชนชั้นสูง แต่แล้วยังไงล่ะ? ทุกคนจําเป็นต้องเกิดมาเช่นนั้นงั้นหรือ? ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผู้ก่อตั้งจักรวรรดิต้าฉันเองก็สร้างจักรวรรดิขึ้นมาจากการไม่มีอะไรมาก่อนตลอดหลายปีที่ผ่านมา บรรพบุรุษผู้ก่อนตั้งสํานักดาบราชัน สามารถปกครองจนโด่งดังไปทั่วโลก เช่นนั้น เหตุใดเขาถึงจะทําเช่นนั้นไม่ได้ล่ะ?
เขาไม่เคยรู้สึกว่าไม่คู่ควรกับซูชิงฉือ!
เมื่อได้ยินและเห็นท่าทีที่หนักแน่นมั่นคงปรากฏผ่านดวงตาหยางเย่ ความรู้สึกแปลกประหลาดปรากฏขึ้นในใจซูชิงฉือ นางข่มความรู้สึกนั้นไว้ หลังจากผ่านไปได้ครู่หนึ่ง นางหันหลังกลับพร้อมกล่าว “ข้าจะตั้งตารอ!”
ทันทีที่กล่าวจบ นางเดินไปยังประตู เมื่อมาถึงประตู นางหยุดอีกครั้ง ”ตามข่าวลือที่ได้ยินมา มีอัจฉริยะคนหนึ่งในโรงเรียนปราชญ์นามว่าหยวนเย่ เขาได้สังหารยอดฝีมือขั้นปราณราชันได้เพียงแค่ขั้นปราณสวรรค์ระดับหนึ่งเท่านั้น ยิ่งกว่านั้น เขายังอยู่เพียงแค่อันดับสิบสี่บนเทียบอันดับสํานักนอกของโรงเรียนปราชญ์”
ซูชิงฉือไม่ได้อยู่ต่อ เมื่อกล่าวจบนางหายตัวไปทันที
“เขาสังหารยอดฝีมือขั้นปราณราชันได้เพียงแค่อยู่ขั้นปราณสวรรค์! หยางเย่ชะงักพร้อมหัวเราะอย่างเย็นเยือก ”แล้วยังไง? เหตุใดข้า หยางเย่ จําต้องเกรงกลัวเขาด้วย?”