มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 1072
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1072
ตามคำพูดของหงเทียน เจ้าของแดนปริศนาเทพฟ้าแห่งนี้ มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าจะเป็นเทพฟ้าในสมัยโบราณท่านนั้นที่เปิดโลกแสงดาวออกมา
แม้จะจะเป็นการคาดเดาจากเบาะแส ภายในแดนอนาคินใหญ่ต่าง ๆ ของโลกแสงดาว ต่างก็มีร่องรอยที่เทพฟ้าในสมัยโบราณหลงเหลือเอาไว้ จุดมุ่งหมายก็เพื่อยกระดับพลังของนักยุทธ์แห่งโลกแสงดาว เมื่อใดก็ตามที่มีคนสามารถเติบโตจนบรรลุถึงแดนเทพฟ้า เทพฟ้าในสมัยโบราณท่านนั้นก็มีความหวังที่จะได้เกิดใหญ่อีกครั้ง
ไม่มีใครที่จะทำเรื่องบางเรื่องขึ้นมาโดยไม่มีเหตุมีผล โดยเฉพาะผู้แข็งแกร่งที่มีผลการฝึกตนบรรลุถึงเทพฟ้าขึ้นไป การกระทำทุกสิ่งทุกอย่างของพวกเขาต่างก็มีความหมายแฝงอยู่ทั้งนั้น ทำเรื่องใหญ่โตอย่างการเปิดโลกพิภพ เป้าหมายแรกเริ่มเลยก็เพื่อที่จะค้นหาหนทางที่จะได้เกิดใหม่อีกครั้ง
ทันใดนั้น หลัวซิวก็พลันสัมผัสได้ถึงคลื่นออร่าที่เข้มข้น นักยุทธ์จำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ เข้าสู่โซนแดนปริศนาแห่งนี้ คนจำนวนไม่น้อยที่ค้นพบสมบัติแล้ว จากนั้นก็เกิดการต่อสู้กันขึ้นมา
หลัวซิวนั้นไม่ได้สนใจคนอื่น ๆ แต่กลับเดินหน้าค้นหาเข้าไปในส่วนลึกของแดนปริศนาแห่งนี้ต่อ ตัวสำนึกแพร่กระจายออกไป สามารถครอบคลุมเขตพื้นที่นับพันลี้ ทันใดนั้นสีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป ที่ห่างออกไปราวสองพันลี้ พบสมบัติอยู่ชิ้นหนึ่ง
เขาก้าวเท้าออกไป โซนตรงหน้าก็ถูกเขาเหยียบจนแตกสลาย ร่างของเขาหายไป และปรากฎตัวขึ้นที่บริเวณที่ห่างออกไปสองพันลี้ในทันที
เห็นเพียงเขาเอื้อมมือออกไปจับ ด้านล่างหินและดินกระเด็นกระดอน พื้นแยกออก หินเทวะชิ้นหนึ่งที่ส่องประกายแพรวพราว ยาวประมาณสองฟุต กว้างหนึ่งฟุตลอยอยู่กลางอากาศ
“หินสรรพเทียนโหล?”
หลัวซิวแววตาเป็นประกาย นี่คือทรัพยากรระดับเทพชิ้นหนึ่ง อีกทั้งมันยังเป็นสิ่งที่หายากที่สุด เขาก็เพียงแค่เคยได้ยินชื่อเท่านั้น แต่กลับไม่เคยได้เห็นมันเลย
หินสรรพเทียนโหลถือเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดสำหรับนักค่ายเทพ ใช้เพื่อเป็นทรัพยากรชั้นยอดในการสังเวยสมบัติค่ายกล
อย่างที่ซุ๋นซินเหลียนในตอนนั้นที่อัญเชิญเข็มทิศค่ายกล ก็ใช้หินสรรพเทียนโหลประเภทนี้กลั่นออกมา
หินสรรพเทียนโหลด้านบนสามารถสลักลายค่ายสัญลักษณ์ของค่ายเทพระดับสามได้ เพียงแต่ตอนนี้หลัวซิวมีระดับเพียงนักค่ายเทพระดับหนึ่ง จึงสามารถทำได้เพียงสลักลายค่ายสัญลักษณ์ของค่ายเทพระดับหนึ่งเท่านั้น
ถึงอย่างนั้น เพียงแค่สังเวยมันให้กลายเป็นเข็มทิศชิ้นหนึ่ง เขาก็สามารถจัดการกับศัตรูได้อย่างที่ใจต้องการ
“ไอ้หนุ่ม วางสมบัติลง!”
ทันใดนั้น เสียงตะโกนดังกังวานมาจากที่ไกล ๆ นักยุทธ์สามสี่คนบินมาทางนี้ มองเห็นหินเทวะที่เปล่งประกายชิ้นนี้ ในใจก็เกิดความโลภขึ้นมา
คนพวกนี้เห็นว่าหลัวซิวค่อนข้างเยาว์วัย จึงได้คิดไปเองว่าคนผู้นี้ผลการฝึกตนไม่สูง เพราะฉะนั้นท่าทางทีแสดงออกมาจึงได้ดุร้ายและหยิ่งผยองมาก
“แย่งข้า? รนหาที่ตายเสียแล้ว”
หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง ฝ่ามือค่อย ๆ ยกขึ้น กดลงไปบนอนัตตา พลังฝ่ามือขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า บดบังทั่วผืนฟ้า ครอบนักยุทธ์สามสี่คนนั้นไว้ใต้ฝ่ามือ
ผุ! ผุ! ผุ! ……
ผลการฝึกตนของนักยุทธ์พวกนี้เป็นเพียงแค่แดนเจ้ายุทธจักรไม่สามารถที่จะต้านทานเอาไว้ได้เลย ทันใดนั้นก็กลายเป็นละอองเลือดอยู่ภายใต้ฝ่ามือของหลัวซิว ไม่เหลือแม้แต่กระดูก
หลังจากนั้น ตัวสำนึกของหลัวซิวก็ม้วน กวาดเอาแหวนเก็บของของคนเหล่านี้เข้ามา แต่ก็ไม่พบสมบัติที่สามารถทำให้เขาพอใจได้ ก็พลันคร้านที่จะสนใจ และจากไปทันที
ผ่านไปอีกสักพัก หลัวซิวสัมผัสได้ถึงความเหี่ยวเฉาหนาวเหน็บอันยิ่งใหญ่ที่แผ่กระจายไปทั่วทั้งเขตพื้นที่ เขาก้าวข้ามอนัตตาเดินเข้าไป มองเห็นซากของกระบี่หักเล่มหนึ่ง
นี่คือกระบี่ยุทธ์เล่มหนึ่งที่แตกหัก ด้านบนขึ้นสนิม แต่กลับยังมีจิตสังหารอันยิ่งใหญ่พันเอาไว้อยู่รอบ ๆ อนัตตา
หลัวซิวจ้องมองไป สามารถรับรู้ได้ว่าออร่ากฎดั้งเดิมบนกระบี่หักเล่มนี้มันมากเกินกว่าแดนเทพมาร มีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะเป็นอาวุธที่ผู้แข็งแกร่งระดับเทพฟ้าท่านหนึ่งทิ้งเอาไว้
กระบี่ยุทธ์เล่มนี้ถึงแม้จะแตกหักไปแล้ว อีกทั้งดูแล้วยังมีสนิมขึ้นไปทั่ว แต่หากสามารถฟื้นฟูมันได้ ต้องเป็นกระบี่ยุทธ์เทพฟ้าเล่มหนึ่งเป็นแน่ อีกอย่างต่อให้ไม่สามารถฟื้นฟูมันได้ หากสามารถสัมผัสรู้กฎความลึกลับของผู้แข็งแกร่งเทพฟ้าภายในนั้นได้ ก็จะได้รับผลมหาศาล ยกระดับแดนกฎได้อย่างรวดเร็ว