มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 116 ป้ายบัญชาการเหลยหวู่
บทที่ 116 ป้ายบัญชาการเหลยหวู่
ราคาของแผนที่โดยคร่าวในเมืองโจว๋ซิงคือหินพลังจิตชั้นล่าง 2 ก้อน หลังจากที่หลัวซิวเข้าเมืองมาแล้วจึงซื้อมาฉบับหนึ่ง ตามรายละเอียดที่ระบุไว้บนแผนที่ หลัวซิวจะยังไม่ไปที่องค์กรนักล่ายุทธ์ แต่จะพาลู่เมิ่งเหยาไปยังฐานที่ตั้งของสำนักเหลยหวู่ก่อน
สำนักเหลยหวู่ถือว่าเป็นสำนักที่มีอำนาจมากในเขตการปกครองโตว้ไห่แห่งนี้ ในเมืองโจว๋ซิงที่มีเจริญรุ่งเรืองแห่งนี้ก็มีฐานที่ตั้งอยู่เช่นกัน
ทว่าหลัวซิวกับลู่เมิ่งเหยายังไม่ทันจะเดินไปถึงฐานที่ตั้งของสำนักเหลยหวู่ ก็มีชายหนุ่มสวมชุดสีแดงเพลิงคนหนึ่งออกมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของคนทั้งสองแล้วขวางทางเอาไว้ ใบหน้าของหนุ่มชุดแดงคนนี้โอหังวางโต ด้านหลังของเขายังมีผู้ติดตามที่พกอาวุธมาด้วยอีกสองคน
“พวกแกสองคนเพิ่งมาถึงเมืองโจว๋ซิงใช่ไหม” หนุ่มชุดแดงเอ่ยถามขึ้น ทว่าสายตาของเขาจับต้องไปที่ลู่เมิ่งเหยาอยู่ตลอดเวลา
หลัวซิวขมวดคิ้ว เขาสัมผัสได้ว่าหนุ่มชุดแดงคนนี้มาด้วยเจตนาไม่ดี แต่ตอนนี้เขาเพิ่งมาถึงเมืองโจว๋ซิงจึงไม่อยากก่อเรื่องให้วุ่นวาย
ทว่าหลัวซิวยังไม่ทันเอ่ยปากพูด หนุ่มชุดแดงก็เบนสายตามาที่เขาแล้วกล่าวอย่างเรียบง่ายว่า “ผู้หญิงที่ติดตามมากับแกคนนี้ไม่เลวเลยนะ ต่อไปให้เธอมาอยู่กับฉันก็แล้วกัน”
สีหน้าของหลัวซิวเปลี่ยนไป เขาไม่คิดว่าหนุ่มชุดแดงจะเป็นอันตพาลแบบนี้ ท่าทางของเขาโอหังวางโต เชิดหน้าสูงมองฟ้า ชัดเจนว่าเขาจะต้องเป็นบุคคลใหญ่โตของกลุ่มอำนาจกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในเมืองโจว๋ซิงอย่างแน่นอน ถึงไม่เห็นหัวใครทั้งนั้น
เขาเหลือบมองลู่เมิ่งเหยา จึงเห็นว่าเธอกำลังส่ายหน้าด้วยความสับสน การที่ต้องเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ตั้งแต่เขามาเยือนเขตการปกครองโตว้ไห่ทำให้เธอหวาดกลัว
ลู่เมิ่งเหยายืนอยู่ข้างหลังหลัวซิว มือน้อยๆ ของเธอจับชายเสื้อของเขาไว้แน่น เธอรู้ตัวดีว่าตัวเองคือคนที่ไร้ที่พึ่ง ดังนั้นที่พึ่งเดียวที่เธอมีก็คือหลัวซิว
หนุ่มชุดแดงขมวดคิ้ว “ที่เมืองโจว๋ซิงแห่งนี้ ไม่เคยมีใครกล้าปฏิเสธเยี่ยนชิวมาก่อน”
ระหว่างที่เขากล่าว ผู้ติดตามมาด้านหลังทั้งสองคนก็เริ่มแสดงท่าทีข่มขู่คุกคามออกมา
หลัวซิวพยายามสงบความโกรธของตัวเองเอาไว้ เขารู้ดีว่าบนผืนแผ่นดินนี้มักจะใช้กำลังพูดคุยกัน อีกฝ่ายไม่เห็นจอมยุทธ์ชี่ไห่ตัวเล็กๆ อย่างเขาอยู่ในสายตาอยู่แล้ว
แต่หนุ่มชุดแดงคนนี้ทั้งโอหังและดูถูกคนอื่น
สำหรับหลัวซิวแล้ว การฝึกตนของหนุ่มชุดแดงคนนี้ไม่มีอะไรน่ากังวล ก็แค่จอมยุทธ์ชี่ไห่ชั้น 6 คนหนึ่งเท่านั้น แต่คนทั้งสองที่ติดตามมาข้างหลังนั้นกลับไม่ธรรมดาเพราะเป็นถึงจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ขั้น 1
“หึๆ สาวคนนี้หน้าตาไม่เลวเลย มิน่าเยี่ยนชิวถึงชอบ”
ในตอนนั้นเอง มีเสียงหัวเราะของสาวน้อยชุดเขียวดังขึ้น ด้านหลังของเธอมีผู้อาวุโสเคราขาวติดตามมา
สาวชุดเขียวอายุยังไม่มากนัก ทว่าฝึกตนถึงจอมยุทธ์ชี่ไห่ขั้น 7 แล้ว การฝึกตนของผู้อาวุโสเคราขาวผู้นั้นยิ่งสูงกว่าเพราะบรรลุถึงแดนพรสวรรค์ขั้น 4 แล้ว
“สาวตระกูลต้วนคิดจะทำลายแผนการของฉันอีกแล้วหรือ” หนุ่มชุดแดงที่มีนามว่าเยี่ยนชิวเอ่ยด้วยใบหน้าเย็นเฉียบ
สาวชุดเขียวแซ่ต้วนหัวเราะเสียงแข็ง “ใครๆ เขาก็รู้กันทั่วว่าคนชื่อเยี่ยนชิวเอาแต่เที่ยวรังแก เด็ก คนแก่และก็ผู้หญิงเท่านั้น แถมยังได้ยินมาว่าแกฝึกพลังเก็บหยิน อยู่อีก ในเวลาเพียงครึ่งเดือนนี้มีผู้หญิงโดนแกข่มเหงไปแล้วสิบกว่าคน หากอาศัยแค่พรสวรรค์ง่อยๆ ของแกอย่างเดียว จะฝึกได้ถึงชี่ไห่ขั้น 6 เชียวหรือ”
เมื่อได้ยินคำพูดของสาวชุดเขียวคนนี้ สีหน้าของเยี่ยนชิวก็ยิ่งโกรธเกรี้ยว คนทั้งสองเริ่มทำสงครามน้ำลายกันกลางถนน
หากฟังจากบทสนทนาที่ทั้งสองกำลังถกเถียงกันอยู่นั้น หลัวซิวพอจะสรุปได้ว่าหนุ่มชุดแดงเยี่ยนชิวผู้นี้อันที่จริงแล้วค่อนข้างกลัวสาวชุดเขียวอยู่ไม่น้อย
ส่วนเรื่องพลังเก็บหยิน หลัวซิวพอได้ยินมาบ้าง เป็นวิชามารที่ใช้หยินมาเสริมหยาง เป็นวรยุทธ์ระดับ 6 สูงสุด จึงไม่ได้ต้องการคนที่มีคุณสมบัติอย่างหลัวซิว เพียงแค่ต้องใช้สตรีมาช่วยเสริมให้เพียงพอ การฝึกตนจะยิ่งพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว
ในขณะเดียวกันหลัวซิวก็เริ่มสังเกตได้ว่าบริเวณรอบๆ ไม่มีใครสนใจมุงดูเหตุการณ์นี้ มีเพียงคนที่มองมาด้วยความสงสัยเท่านั้น แต่ก็มองมาด้วยความระมัดระวังแล้วรีบเดินหนีไปอย่างไม่อยากเข้ามาข้องเกี่ยว
จากจุดนี้แสดงให้เห็นว่าสถานะของคนทั้งสองในเมืองโจว๋ซิงแห่งนี้ไม่ธรรมดา
“ต้วนหงเอ๋อร์ วันนี้ฉันจองผู้หญิงคนนี้แล้ว อย่าคิดว่าตระกูลต้วนของเธอมีสำนักเหลยหวู่หนุนหลังอยู่แล้วจะไม่เห็นหัวคนอย่างฉันอยู่ในสายตานะ” เยี่ยนชิวกล่าวพลางชี้ไปที่ลู่เมิ่งเหยาที่อยู่ด้านหลังหลัวซิว
ตระกูลต้วน? สำนักเหลยหวู่?
เมื่อได้ยินเยี่ยนชิวกล่าวออกมาเช่นนี้ หลัวซิวจึงนึกถึงเป้าหมายของการมาเยือนที่เขตการปกครองโตว้ไห่ออก นั่นก็คือพาลู่เมิ่งเหยาไปส่งที่สำนักเหลยหวู่
ตามที่เขารู้ ก่อนที่ลู่เฟยเฉินจะตายได้ทิ้งของแทนใจไว้ให้ลู่เมิ่งเหยา เพียงใช้ของแทนใจนี้ก็จะสามารถเข้าสำนักเหลยหวู่ได้
ลู่เมิ่งเหยาเองก็เป็นคนเฉลียวฉลาด แน่นอนว่าเธอย่อมเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ เธอจึงรีบหยิบป้ายบัญชาการที่มีตัวอักษรคำว่าเหลยหวู่ออกมา
“ป้ายบัญชาการเหลยหวู่?”
เมื่อเห็นป้ายบัญชาการในมือลู่เมิ่งเหยา ไม่ว่าจะเป็นต้วนหงเอ๋อร์ หรือว่าเยี่ยนชิว ต่างร้องออกมาด้วยความตกใจ
จากสีหน้าท่าทางของคนทั้งสองก็พอจะเดาได้ว่า ป้ายบัญชาการเหลยหวู่ชิ้นนี้ไม่ใช่ของธรรมดา
“น้องหญิง ไม่ทราบว่าได้ป้ายบัญชาการนี้มาจากไหน” ต้วนหงเอ๋อร์ก้าวออกมาพลางเอ่ยถาม ดวงตาของเธอจ้องไปที่ป้ายบัญชาการในมือของลู่เมิ่งเหยา
“พ่อของฉันทิ้งไว้ให้” ลู่เมิ่งเหยาตอบตามความจริง
“เธอยกป้ายบัญชาการนี้ให้ฉันได้ไหม แลกกับอะไรก็ได้ตามที่เธอต้องการ” ต้วนหงเอ๋อร์เสนอออกมา
เมื่อต้วนหงเอ๋อร์กล่าวออกมาเช่นนี้ หลัวซิวจึงมั่นใจได้ในทันทีว่าป้ายบัญชาการชิ้นนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ เสียแล้ว
ลู่เมิ่งเหยาไม่ต้องรอให้เขาบอกก็ตระหนักประเด็นนี้ได้ อีกอย่างป้ายบัญชาการอันนี้ยังเป็นป้ายที่พ่อทิ้งไว้ให้เธอ เธอย่อมไม่ยอมยกให้ใคร
“ขอโทษด้วย ของที่พ่อทิ้งเอาไว้ให้ฉัน ฉันไม่สามารถยกให้เธอได้” ลู่เมิ่งเหยากล่าวปฏิเสธ
“ฮ่าๆ ป้ายบัญชาการสำนักเหลยหวู่ต้องเป็นของฉัน!”
เยี่ยนชิวที่อยู่อีกด้านหนึ่งหัวเราะเสียงดังออกมา สายตาของเขาจ้องไปที่ป้ายบัญชาการเหลยหวู่ที่อยู่ในมือลู่เมิ่งเหยา
“ซงซานเอ้อร์สง ไปเอาป้ายบัญชาการเหลยหวู่มาให้ได้ ฉันต้องการทั้งป้ายบัญชาการและผู้หญิงคนนี้”
“ครับ!”
ผู้ติดตามทั้งสองของเยี่ยนชิวกล่าวรับพร้อมกัน หนึ่งในนั้นยื่นมือออกไปหมายจะแย่งป้ายบัญชาการมาจากลู่เมิ่งเหยา
“คุณหนู จะให้ฉันไปแย่งป้ายบัญชาการนั้นมาด้วยไหม” ผู้อาวุโสที่อยู่ตามหลังต้วนหงเอ๋อร์กล่าวขึ้นมา
สายตาของต้วนหงเอ๋อร์เป็นประกาย เธอรู้ดีว่าป้ายบัญชาการเหลยหวู่จะทำให้ผู้ที่ครอบครองกลายเป็นศิษย์ใจกลางของสำนักเหลยหวู่ แม้ว่าตระกูลต้วนของเธอจะมีอำนาจในเมืองโจว๋ซิงแห่งนี้ แต่ก็เป็นได้เพียงผู้ติดตามนอกสำนักเหลยหวู่เท่านั้น
“ฟึ่บ!”
หลัวซิวเริ่มลงมือ กระบี่เงามืดเรืองแสงกระบี่สีดำออกมา
ซงซานเอ้อร์สงก็ดึงมีดออกมาเช่นกัน จากนั้นจึงได้ยินเสียงกระบี่กระทบกันจนเกิดดวงไฟกระเด็นออกมาเมื่อกระบี่ฟาดฟันใส่กัน
หลัวซิวหาโอกาสถอยหนี พร้อมดึงลู่เมิ่งเหยาไปด้วย เขาวิ่งหนีโดยมุ่งหน้าไปยังด้านนอกประตูเมือง
เขาคิดว่าการเดินทางไปยังองค์กรนักล่ายุทธ์เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด คนพวกนี้ไม่มีทางกล้าลงมือในองค์กร แต่จากตำแหน่งตอนนี้ยังห่างไกลอยู่มากนัก
เขาไม่สนใจซงซานเอ้อร์สงที่ฝึกตนในแดนพรสวรรค์ขั้น 1 แต่ผู้อาวุโสที่อยู่ในแดนพรสวรรค์ขั้น 4 ที่ติดตามต้วนหงเอ๋อร์มาต่างหากที่ทำให้เขากลัว
ทั้งสองฝ่ายลงมือกันกลางแจ้ง ถนนสายนั้นจึงชุลมุนวุ่นวายขึ้นมา คนสัญจรไปมาต่างพากันวิ่งหาที่หลบเพราะกลัวว่าตัวเองจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย
“ท่านหลิว” ต้วนหงเอ๋อร์หันไปส่งสายตาให้ผู้อาวุโสเคราขาวที่อยู่ข้างกาย
ท่านหลิวพยักหน้าแล้วหายตัวอย่างรวดเร็วเข้าไปในฝูงชน
เยี่ยนชิวเองก็สังเกตเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ริมฝีปากของเขาปรากฏรอยยิ้มเย็น แม้ว่าซงซานเอ้อร์สงจะอยู่ในแดนพรสวรรค์ขั้น 1 แต่ชำนาญการต่อสู้แบบประสานโจมตี ผู้ที่มีพรสวรรค์ช่วงกลางลงไปไม่นับว่าเป็นคู่แข่งของพวกเขา
บนถนนใหญ่ของเมืองโจว๋ชิง หลัวซิวพาลู่เมิ่งเหยาวิ่งทะยานหนีออกไปด้วยความเร็ว โดยมีซงซานเอ้อร์สงตามมาในระยะที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
เป็นเพราะเขาต้องพาลู่เมิ่งเหยาหนีไปด้วย ทำให้ไม่สามารถใช้ความเร็วอย่างเต็มที่ของตัวเองได้
########################