มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 1162
แต่หลัวซิวกลับไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามมีโอกาสได้หยุดพักหายใจ กระตุ้นกฎปริภูมิ ประชิดใกล้เข้าไปภายในชั่วพริบตา เตาเทพหนึ่งพุ่งออกมาจากหว่างคิ้ว เสียงกวงดังขึ้น ปราบปรามคนดังกล่าวเข้ามาในเตาเทพ
ถัดจากนั้นอัคคีเทพชิงเทียนก็เริ่มลุกโชนอยู่ในเตาเทพ ทำให้ผู้แข็งแกร่งเทพมารคนนี้จมอยู่ในอัคคีเทพ ถูกกลั่นแปรอย่างต่อเนื่อง
ทุกอย่างแทบจะเกิดขึ้นภายในเวลาปะทะหน้ากันครั้งเดียว หลัวซิวก็ปราบปรามกลั่นแปรผู้แข็งแกร่งเทพมารคนหนึ่งสำเร็จแล้ว! ต่อให้ผลการฝึกตนของฝ่ายตรงข้ามจะกดอัดลงมาที่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ แต่ก็พอจะทำให้เห็นเลยว่ากำลังรบของเขาแข็งแกร่งยิ่งใหญ่ถึงระดับที่เหลือเชื่อมากเพียงใด
ในขณะเดียวกัน พลังอมตะอีกสองพลังก็ได้โจมตีทะลวงฆ่าเข้ามาด้วย พลานุภาพของแสงเทวแท่นเสวียนมโหฬารพันลึก จากร่างยุทธ์ร่างเนื้อในตอนนี้ของเขา ต้องไม่มีทางต้านทานไหวแน่นอน
“ตู้ม!”
เสี้ยววินาทีที่แสงเทวแท่นเสวียนประชิดใกล้เข้ามา รัศมีเทวที่อยู่บนตัวหลัวซิวก็เปล่งประกายแวววาวขึ้น เรียกเกราะเทพเวหากาลออกมา แรงโจมตีของแสงเทวแท่นเสวียนกระทบลงบนเกราะ ก่อนจะถูกพลังสะท้อนกลับของเกราะเทพเวหากาลพังทลายจนย่อยยับภายในพริบตาเดียว
“ผึง!”
ส่วนวิชาไร้เจตสิกนั้นเป็นพลังอมตะที่โจมตีจิตวิญญาณ มันกลายเป็นกระบี่ตัวสำนึกทิ่มแทงเข้าไปในห้วงจักรหยั่งรู้ของเขา
ภายในห้วงจักรหยั่งรู้ของเขา ร่างกลเมื่อชาติปางก่อนของหลี่ยู่ลืมตาขึ้นมาอย่างกะทันหัน ตัวสำนึกที่แข็งแกร่งกว่าโถมเข้าใส่ ทำให้การโจมตีของตัวสำนึกนี้สลายหายไปอย่างง่ายดาย
“ไปตายซะ!”
มีเกราะเทพเวหากาลอยู่บนตัว กำลังรบของหลัวซิวพุ่งพรวดอย่างบ้าคลั่งในชั่วพริบตา ถึงแม้จะอยู่ภายใต้กฎการกดอัดของโลกเซียนเสวียนเทียน ไม่สามารถบรรลุถึงแดดเทพมารได้ แต่ทว่าการโจมตีในครั้งนี้ก็ไม่ธรรมดาแน่นอน
เขาแทงหอกออกไป การโจมตีในครั้งนี้ถูกอาวุธที่ผู้แข็งแกร่งเทพมารคนหนึ่งเรียกออกมาต้านทานไว้ แต่ทว่าทันทีที่เทพมารผู้นั้นต้านทานหอกยุทธ์ไว้ ก็เห็นมังกรกระบี่ห้าสายปรากฏ บินวนอยู่รอบกายเขา ปราณกระบี่ที่ดุดันและเฉียบคมอย่างไร้ที่ติปะทุออกมา
สมแล้วที่คนดังกล่าวเป็นผู้แข็งแกร่งเทพมาร ท้ายที่สุดเมื่อฝืนรับการโจมตีจากกระบี่มังกรอมตะทั้งห้า เขาก็ยังมีลมหายใจอยู่ ตะคอกด้วยความโกรธเกรี้ยวทีหนึ่งแล้วถอยหลังกลับไปอย่างรวดเร็ว ทั่วทั้งร่างกายถูกปราณกระบี่เฉือนจนเลือดท่วมตัว บาดเจ็บสาหัส
แต่ทว่ายังไม่รอให้เขาได้หยุดพักหายใจ อัคคีเทพสีเขียวก็ได้พุ่งบินเข้ามา เสียงพึชดึงขึ้น ยิงทะลวงหว่างคิ้วเขา ถัดจากนั้นทั้งร่างกายของเขาก็ถูกเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่าน
ปัจจุบันเขาฝึกภูตอัคคีร้อยแปรถึงหกแล้ว บรรลุถึงระดับอัคคีเทพชิงเทียน ภายใต้สถานการณ์ที่ผลการฝึกตนของทุกคนล้วนถูกกดอัดอยู่ต่ำกว่าแดนเทพมาร อานุภาพของอัคคีเทพชิงเทียนจึงสามารถทำลายล้างทุกอย่างได้ ไม่ว่าใครก็ต้านทานไม่ไหว
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วมาก ทุกอย่างดูเหมือนจะยาวนาน แต่ในความเป็นจริงเวลาผ่านไปแค่เหมือนพบหน้ากัน ผู้แข็งแกร่งระดับเทพมารก็ตายโหงคาที่ไปสองคนแล้ว
คนสุดท้ายที่เหลือคือคนที่ศักยภาพค่อนข้างแข็งแกร่ง ผลการฝึกตนเดิมของเขาอยู่ที่เทพมารขั้น 5 แม้ผลการฝึกตนจะถูกกดอัดลงมาที่มหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นสูง แต่ทว่าศักยภาพของเขากลับไม่ธรรมดา สามารถต้านทานการโจมตีของหลัวซิวได้เรื่อย ๆ
เหนือศีรษะของคนดังกล่าวมีกระจกเทพหนึ่งบานลอยอยู่ มีแสงเทวสาดส่องออกมาจากตัวกระจก ซึ่งมีคุณสมบัติทั้งโจมตีและป้องกัน สามารถต้านทานวรยุทธ์นับหมื่น
“ผลการฝึกตนของไอ้หมอนี่อยู่แค่มหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 2 จริงหรือ?”
วินาทีนี้เทพมารคนนี้ก็รู้สึกตะลึงมาก ๆ การโจมตีที่ทรงพลังของฝ่ายตรงข้ามล้วนอยู่เหนือการคาดหมายของเขา ทุก ๆ การโจมตีสามารถเทียบทัดกับพลังโจมตีของเทพมาร ทำให้กระจกเทพที่อยู่เหนือหัวเขาสั่นสะเทือนไม่หยุดหย่อน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นนักยุทธ์มหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 2 มีพลังการโจมตีที่ดุดันเช่นนี้
โดยเฉพาะเมื่อสังเกตเห็นว่าสหายสองคนของตนถูกฆ่าแล้ว ก็ยิ่งมีความรู้สึกหนาวเหน็บผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจ เขารู้สึกเหมือนตัวเองไม่ใช่เทพมาร แต่ฝ่ายตรงข้ามต่างหากที่เป็นเทพมารตัวจริง มองตนที่เป็นมดตัวจ้อยลงมาจากที่สูง
ภายใต้กฎการกดอัดในโลกเซียนเสวียนเทียน ถึงแม้พวกเขาจะเป็นเทพมารผู้สูงส่ง แต่ก็ต้องล้มลงมาจากบัลลังก์เทพ ผลการฝึกตนถูกกดอัดอยู่ที่มหาจักรพรรดิยุทธ์ ขั้น 9 ขั้นสูง มีเพียงผู้แข็งแกร่งจำนวนน้อยเท่านั้น ถึงจะสามารถแสดงศักยภาพระดับเทพมารออกมาในแดนนี้