มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 121 หินหยิน
บทที่ 121 หินหยิน
“นายระวังตัวด้วย” ลู่เมิ่งเหยาพยักหน้า เธอไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้หลัวซิวทำอะไรลงไป แต่สามารถรับรู้ได้ว่าคงทำเรื่องที่ไม่ธรรมดาแน่ๆ ทำให้เธอรู้ว่ายิ่งไม่ค่อยเข้าใจหลัวซิวมากขึ้น เหมือนกับว่าบนตัวของหนุ่มน้อยอายุ14ปีคนนี้ จะเต็มไปด้วยความลึกลับ
เธอรู้ว่าบนตัวของหลัวซิวจะต้องมีความลับอะไรแน่ๆ ไม่อย่างนั้นก็จะอธิบายไม่ได้ว่า ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี ไม่ว่าจะเป็นผลการฝึกตนหรือพลังฝีมือ ก็ล้วนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในถ้ำทั้งหนาวและชื้น ยิ่งลึกเข้าไป กลิ่นอายของความตายก็เข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ
ทันใดนั้น หลัวซิวก็รู้สึกเจ็บๆ ที่เท้า พอจ้องมองดูลงไป เขามองเห็นเศษอะไรบางอย่างเล็กเท่าขนาดของเล็บมือ เมื่อครู่นี้เขาเหยียบโดนมันไป ทำให้เท้าของเขาได้รับบาดเจ็บ
เศษเล็กๆ พวกนี้มีลักษณะพิเศษ ยิ่งเดินเข้าไปลึก ก็ยิ่งพบว่ามีเศษแบบนี้10กว่าชิ้น ถ้าเศษพวกนี้มารวมตัวกัน ก็น่าจะเป็นกองทัพดิน
หลัวซิวคาดเดา นักยุทธ์นี้ น่าจะเป็นอาวุธที่ซูจิ้งหยุนใช้ตอนยังมีชีวิตอยู่ ไม่รู้ว่าเขาพบกับคู่ต่อสู้แบบไหน ไม่เพียงนักยุทธ์แตกเป็นเสี่ยง ร่างกายก็แหลกเป็นผุยผง เหลือเพียงเศษเสี้ยวของเทพจิตที่ดำรงอยู่น้อยนิด
ผ่านไปสักพัก หลัวซิวก็มาถึงยังส่วนลึกที่สุดของถ้ำ ติดตามที่มาของกลิ่นอายแห่งความตาย เขามองเห็นก้อนหินสีดำขนาดเท่ากำปั้น
และข้างๆ หินสีดำนั้น ก็มีโครงกระดูกที่ไม่เหลือชิ้นดีแล้ว มือซ้ายของโครงกระดูกนั้น สวมแหวนเก็บของอยู่หนึ่งวง บนพื้นก็ยังมีเศษอาวุธและเสื้อเกราะ
โครงกระดูกนี้ น่าจะเป็นของซูจิ้งหยุน จักพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งคนนั้น
หลัวซิวค่อยๆ เดินเข้าไป พอมั่นใจว่าไม่มีอันตราย ก็ยื่นมือจะเข้าไปหยิบหินสีดำก้อนนั้น
ตอนที่จะหยิบกินสีดำก้อนนั้น พลังเย็นบางอย่างก็ไหลเข้าร่างกาย ทำให้เขารู้สึกว่าจะแข็งทื่อและชาไปทั้งตัว
“ที่แท้ก็เป็นหินหยิน ผู้สืบทอดตัวน้อย เจ้าโชคดีไม่เบาเลยนะ” ในหัวของหลัวซิว เกิดเป็นเสียงของเทพแห่งวัฏจักรชีวิตขึ้นมา
เวลาปกติ เทพแห่งวัฏจักรชีวิตจะไม่สนใจเขา แต่ส่งเสียงออกมาตอนนี้ เห็นได้ชัดว่า สิ่งที่ถูกมันเรียกว่าหินหยินก้อนนี้ จะไม่ธรรมดา
“ในหินหยินแฝงไปด้วยปราณหยิน เป็นพลังแห่งความตายอีกอย่างหนึ่ง ถ้าเอาไปกลั่นแปรดูดซึมเข้าไป จะทำให้เพิ่มผลการฝึกตนได้ไม่น้อย”
“พลังแห่งความตายมีหลายแบบงั้นหรือ?” หลัวซิวถามขึ้นมาอย่างสงสัย
“พูดแบบนี้ก็ถูก และไม่ถูก เพราะว่าพลังแห่งชีวิต และพลังแห่งความตายนั้น ถือว่าเป็นของขอบเขตกฎเกณฑ์แล้ว และภายใต้กฎเกณฑ์ ก็มีพลังที่มีหลายคุณสมบัติ ที่แฝงไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย”
“ดั่งเช่นในหยินหยาง Attrหยินจะแฝงพลังแห่งความตาย Attrหยางจะแฝงพลังแห่งชีวิตถึงแม้จะเพิ่มไปจนถึงขั้นกฎเกณฑ์ กฎชีวิตและกฎความตาย ก็จะอยู่เหนือกว่ากฎหยินหยาง”
“หินหยินตรงหน้าเจ้า มีสภาพธรรมดาๆ แต่สำหรับจอมยุทธ์ชี่ไห่อย่างเจ้า ก็เพียงพอที่จะใช้ได้แล้ว”
ที่เทพแห่งวัฏจักรชีวิตพูดมานี้ หลัวซิวค่อนข้างไม่เข้าใจ แต่เขากลับรู้ว่า หินหยินก้อนนี้ มีผลต่อการเพิ่มผลการฝึกตนของเขามาก
หลัวซิวรีบเก็บหินหยินก้อนนี้มาทันที แล้วก็ถอดแหวนที่มือซ้ายบนโครงกระดูกของซูจิ้งหยุน ด้านในมีหินพลังจิตชั้นกลางนับหมื่นเม็ด แล้วก็ยังมีหินพลังจิตชั้นสูงอีกหลายร้อยเม็ด
นอกจากนี้ยังมีม้วนหยกอีก2อัน ทำให้หลัวซิวตาเป็นวาวขึ้นมา
เท่าที่เขารู้มา มีเพียงระดับปรมาจารย์ฝึกจิตขึ้นไปเท่านั้น จึงจะสามารถใช้ดวงจิตแกะสลักม้วนหยกได้ จะต้องถึงระดับแดนพรสวรรค์ และมีพลังกระแสสัมผัสพลังวิญญาณจึงจะสามารถอ่านเนื้อหาบนม้วนหยกได้
ดังนั้น สิ่งของในระดับสูงนั้น ล้วนจะบันทึกลงในม้วนหยก และคนที่มีสิทธิ์จดบันทึกม้วนหยกได้ ได้ยินว่าอย่างต่ำที่สุด ก็ต้องเป็นวิชายุทธ์ระดับ7
นอกจากหินพลังจิตและหินพลังจิตอีกสองอันแล้ว ในแหวนเก็บของนี้ กลับไม่มีนักยุทธ์ยา และของล้ำค่าอย่างค่ายกลอะไรเลย
หลัวซิวสามารถปล่อยพลังกระแสสัมผัสพลังวิญญาณออกมาได้แล้ว ดังนั้นก็เลยเอาม้วนหยกสองอันนั้นออกมา แล้วสัมผัสไปด้านบนนั้น เนื้อหาที่ม้วนหยกบันทึกไว้ ก็ไหลเข้าสู่สมอง
ม้วนหยกอันหนึ่งบันทึกค่ายกลเอาไว้ หนึ่งในค่ายกลที่สูงที่สุด ถึงระดับอาจารย์ค่ายกลขั้น6
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ซูจิ้งหยุนผู้ตาย ไม่ได้เป็นเพียงจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง แต่ยังเป็นอาจารย์ค่ายกลที่ถึงขั้น6อีกด้วย
ม้วนหยกอีกอันหนึ่งบันทึกวิชายุทธ์ระดับ7ไว้ คือวิชาพลังทมิฬซวนโหลว
ในนั้นยังมีทักษะยุทธ์ วิชาท่าร่างของพลังทมิฬซวนโหลวด้วย
หลัวซิวเคยได้ยินว่า วิชายุทธ์ที่มีวรยุทธ์ ทักษะยุทธ์ วิชาท่าร่างรวมเป็นชุดไว้ ถึงจะเป็นวิชายุทธ์ที่สมบูรณ์แบบ
ส่วนวิชายุทธ์ของสำนักยุทธ์และสำนักเซียวเหยาที่แยกทักษะยุทธ์ วรยุทธ์ วิชาท่าร่างนั้น ล้วนไม่นับว่าเป็นวิชายุทธ์ที่สมบูรณ์แบบ
วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพของหลัวซิว นับว่าเป็นวิชายุทธ์ที่สมบูรณ์แบบ แต่ไม่ว่าจะเป็นวรยุทธ์ ทักษะยุทธ์ หรือวิชาท่าร่าว ล้วนจะต้องให้เขาไตร่ตรองเอาเองจากผังกฎดั้งเดิมทั้ง9ภาพเอาเอง
หลังจากเก็บของพวกนี้แล้ว หลัวซิวก็ค้นหาอย่างละเอียดอีกครั้ง พอไม่พบของมีค่าอื่นๆแล้ว ก็ค่อยออกจากถ้ำมา
หินหยินถูกเขาเก็บไปแล้ว ดังนั้นก็เลยไม่มีพลังความเย็นแพร่ออกมาแล้ว
พอเห็นหลัวซิวเดินออกมาจากถ้ำ ลู่เมิ่งเหยาไม่รู้ว่าเขาเกิดอะไรขึ้นบางด้านใน แต่ว่าหลัวซิวไม่ได้บอกอะไร เธอเองก็ไม่อยากเข้าไปถามเอง
จากบันทึกในม้วนหยก หุบเขานี้ถูกค่ายยากเย็นระดับ6ปกคลุมไว้ ซูจิ้งหยุนสร้างทิ้งไว้ ปากถ้ำเป็นประตูค่ายกล เข้าได้อย่างเดียว ออกไม่ได้
ถ้าอยากจะทำลายค่ายยากเย็นระดับ6นี้ มีเพียง2วิธี หนึ่งคือใช้กำลังทำลาย อีกหนึ่งวิธีคือ หาประตูค่ายกลให้พบ
เพียงแต่ว่า ถ้าอยากจะใช้กำลังทำลายค่ายยากเย็นระดับ6นี้ อย่างน้อยจะต้องมีพลังระดับจักพรรดิยุทธ์ถึงจะไหว
“ถ้าพวกเราอยากจะออกไปจากที่นี่ ก็จะต้องทำลายค่ายกลในหุบเขานี้เสีย”
พอตะโกนบอกกับลู่เมิ่งเหยาแล้ว หลัวซิวก็เริ่มตั้งใจศึกษาม้วนหยกที่บันทึกรายละเอียดค่ายกลไว้
ก่อนหน้านี้เคยศึกษาค่ายกลพื้นฐานที่ได้มาจากจางไห่เฟย ทางทฤษฎี ได้มีความรู้ระดับอาจารย์ค่ายกลขั้น3แล้ว ดังนั้นหลักการที่บันทึกลงในม้วนหยกอันนี้ ถึงแม้จะซับซ้อนมาก แต่ก็ไม่ยากที่หลัวซิวจะเข้าใจได้
ระหว่างที่วิจัยค่ายกลอยู่นั้น ผังกฎดั้งเดิมภาพแรกของวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ ก็ปรากฏขึ้นในหัว ตัวหนังสือและลวดลายพวกนั้นก็เริ่มมีชีวิต ประกอบเข้าด้วยกันอย่างหลากหลายรูปแบบ
ไม่ทันไร ก็ผ่านไป10วัน หลัวซิวก็ค่อยๆ ลืมตาออกมา
ก่อนหน้านี้ เขาอ่านผังกฎดั้งเดิม ก็เหมือนกับอ่านคัมภีร์สวรรค์ ไม่เข้าใจสัญลักษณ์พวกนั้นว่ามีความหมายอย่างไร
จนกระทั่งที่ได้ค่ายกลพื้นฐานจากในแหวนของจางไห่เฟย ใช้ความรู้ด้านค่ายกลมาประมวนด้วยกัน ก็เลยเข้าใจถึงจุดที่ไม่เคยเข้าใจได้มาก่อน
จากจุดเล็กๆ ขยายกว้างและลึกมากขึ้น ในที่สุดก็ทำให้เขาเข้าใจผังกฎดั้งเดิมภาพแรกได้อย่างมาก ทั้งยังมีความรู้ด้านทฤษฎีค่ายกลถึงระดับนักค่ายกลระดับ5เลยทีเดียว
ที่บอกว่าเป็นด้านทฤษฎีนั้น เพราะว่าผลการฝึกตนของหลัวซิวยังต่ำ ให้วัสดุและธงค่ายแก่เขา เขาก็ไม่สามารถสร้างค่ายกลระดับ5ออกมาได้ และไม่สามารถสร้างสมบัติค่ายกลระดับ5ออกมาได้
ไม่ต้องพูดถึงระดับ5 ด้วยผลการฝึกตนของเขา อย่างมากก็แค่ตั้งค่ายระดับ3ออกมาได้เท่านั้น
แต่ว่าด้วยความรู้ด้านค่ายกลในตอนนี้ ถ้าอยากจะออกไปจากค่ายยากเย็นแห่งนี้ ก็ไม่ได้เป็นเรื่องยากอะไรแล้ว
########################