มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 129 อสูรม้าทองเกล็ดม่วง
บทที่ 129 อสูรม้าทองเกล็ดม่วง
ไม่เพียงเท่านั้น ทุกคนยังสังเกตเห็นอีกด้วยว่า เชียนก้วนยังคงทำท่ากำกระบี่ไว้ด้วยมือขวาไว้ เหมือนว่าเขายังไม่ทันได้ชักกระบี่ออกมาเลย ก็กระเด็นออกไปแล้ว
ที่หน้าอกของเชียนก้วน มีรอยเลือด ถ้าไม่ใช่เพราะคนลงมือออมมือให้ กระบี่นี้ก็คงฟันลึกเข้าไปในตัวเขาแล้ว
ทุกคนโดยรอบก็ตกใจตาโตกันออกมา ในใจก็ตื่นตระหนก มีคนออกกระบี่รวดเร็วแบบนี้ด้วยหรือนี่?
แม้แต่จอมยุทธ์ทั้ง3คนที่เป็นคนนำทีม ก็เผยสีหน้าเล็กน้อย วิชายุทธ์ในโลกนี้อาศัยความเร็ว ทุกคนล้วนรู้ดี แต่คนที่สามารถทำได้เร็วจนไม่มีใครทำลายได้นั้น มันมีน้อยมาก
ชายชุดฟ้าที่หาเรื่องก่อนก็อึ้งจนอ้าปากค้างไป ตอนที่สายตาของหลัวซิวมองมาที่เขานั้น เขาก็ต้องกลืนน้ำลายลงคอไป สีหน้าค่อนข้างเกรงกลัว
หลัวซิวไม่ได้ลงมือต่อ เพราะถึงอย่างไร นอกจากคนที่มาประกาศรับเพิ่มอีก6คนแล้ว คนที่เหลือล้วนเป็นคนของหอหย่งชาง ถ้าไม่จำเป็น เขาก็ไม่อยากจะไปหาเรื่องกองกำลังใหญ่แบบนี้
“พอได้แล้ว น้องชายคนนี้มีพลังไม่เบา แดนพรสวรรค์ขั้น1 แต่กระบี่รวดเร็วเทียบเคียงแดนพรสวรรค์ขั้น4ได้เลย มีพลังของแดนพรสวรรค์ช่วงกลางเลย”
จอมยุทธ์นำทีมทั้ง3คนนั้น มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งพยักหน้าพูดว่า “ในเมื่อเชียนก้วนมาแล้ว ถ้ายินดี ก็เดินทางตามมาด้วยกันเถอะ”
เพิ่งสิ้นเสียงของชายวัยกลางคนคนนั้น ก็มีคนจูงม้าคอขนเขาเดียวมาหลายตัว
ทั้ง101คน ขี่คนละตัว ใช้ม้าคอขนเขาเดียวแทนการเดินเท้า ถือว่าหรูหรามาก ต้องรู้ก่อนว่าม้าคอขนเขาเดียวเป็นอสูรระดับ3ที่ได้รับการฝึกมาแต่ละตัวราคาหลายพันหินพลังจิต
แน่นอนว่า ม้าคอขนเขาเดียวใช้เป็นแค่พาหนะ ไม่ได้ให้พวกหลัวซิวไปใช้เลย
ม้าคอขนเขาเดียววิ่งเร็วมาก ใช้เวลาเพียงครึ่งวัน ทุกคนก็เดินทางมาถึงรอบนอกของเทือกเขากวนเหลย
ทุกคนลงมาจากม้าคอขนเขาเดียว มีคนคอยรับผิดชอบดูแลม้าพวกนี้ที่ด้านนอกเขา ทุกคนก็เข้าไปในป่า โดยมีจอมยุทธ์3คนเป็นผู้นำ
อสูรซ่อนตัวอยู่ในป่าดึกดำบรรพ์ แต่พอเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ทั้ง101คนรวมตัวกันเป็นทีม ถ้าโผล่ออกมาก็จะถูกฆ่าตาย ศพของอสูรระดับ2ไม่มีใครไปสนใจ วัสดุที่ได้ ล้วนไม่อยู่ในสายตาของจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์
แต่ว่าพอเข้าไปลึกมากขึ้นเรื่อยๆ อสูรที่ทุกคนเจอก็ถึงระดับ3 ใครเป็นคนฆ่าตาย ก็จะได้ของทั้งหมดไป
ส่วนอสูรระดับ4ไม่ได้ออกมา เห็นได้ชัดว่าหอหย่งชางก็ได้ควบคุมความปลอดภัยของเส้นทางไว้แล้ว มีผู้แข็งแกร่งคอยกำจัดอสูรระดับสูงพวกนี้เพื่อเปิดทาง จนสามารถไปถึงยังที่ตั้งของวัดกวนเหลยได้
หนึ่งในอันตรายที่สุดนั้น ก็คือเจอกับฝูงแมงมุมพิษลายเสือ มันเป็นแมงมุมพิษที่มีลายเสือ ถ้าถูกกัดเพียงครั้งเดียว ต่อให้เป็นจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ก็ต้องตาย แต่ละตัวขนาดเท่ากับอ่างล้างหน้า ออกมาจากต้นไม้ใหญ่ มีหลายร้อยตัว
เป็นอสูรระดับ3อย่างหนึ่ง เขี้ยวพิษและต่อมพิษล้วนมีราคาไม่เบา แต่เนื่องจากพวกมันอยู่กันเป็นฝูง เลยตามล่ายาก
แมงมุมพิษลายเสือรวดเร็วมาก ในทีมมีคนตายไป7-8คน และมี30กว่าคนถูกพิษ ถึงแม้จะกินยาแก้พิษไปแล้ว แต่หน้าก็ยังซีดขาว
สนามรบดูไม่จืด เต็มไปด้วยรอยเลือดและกลิ่นคาวของของเหลว ศพของแมงมุมพิษลายเสือก็เกลื่อนไปหมด
สีหน้าของจอมยุทธ์ทั้ง3ก็ค่อนข้างหนักใจ ยังไม่ถึงวัดกวนเหลย ก็สูญเสียคนไปมากมายขนาดนี้ ถือว่าไม่เป็นมงคล
แต่ที่โชคดีก็คือ ที่นี่ห่างจากพื้นที่ของวัดกวนเหลยไม่ไกลแล้ว ฝูงแมงมุมพิษลายเสือก็เสียมาก และถอยไปแล้ว ไม่อย่างนั้นสู้สุดชีวิต เกรงว่าก็คงจะสูญเสียไปอีกหลายคน
หลังจากจัดความเรียบร้อยของทีมแล้ว ก็เริ่มเดินทางกันต่อไป พอเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว ทั้งทีมก็ตั้งค่ายพักกันที่ในป่าหิน
วัดกวนเหลยอยู่ที่พื้นที่ใจกลางคของเทือกเขากวนเหลย ถ้าต้องการจะไปถึงที่นั่น อย่างน้อยต้องใช้เวลา2วัน
ในจอมยุทธ์ผู้นำทีมทั้ง3คน มีชายแก่คนหนึ่งเป็นอาจารย์ค่ายกลขั้น3 หลังจากทีมได้ตั้งค่ายในป่าหินแล้ว เขาก็เริ่มตั้งค่ายกลขึ้นในป่าหิน
หลัวซิวเองก็มีความรู้ถึงระดับอาจารย์ค่ายกลขั้น5แล้ว ถึงแม้ในมือจะไม่มีธงค่าย และไม่อาจตั้งค่ายกลได้ แต่ก็มองออกว่า ชายแก่คนนี้ตั้งเป็นค่ายกลที่ปิดกันสัญญาณพลัง ค่ายกลป้องกัน ค่ายยากเย็นและค่ายจิ่วเสวียน
เทือกเขากวนเหลยในยามค่ำคืนมันอันตรายแน่นอน โดยเฉพาะตำแหน่งที่ทุกคนอยู่นั้น ถือว่าเป็นส่วนลึกแล้ว ดังนั้นการตั้งค่ายกลขึ้นมา ถือว่าใช้ได้ผลดีเลยทีเดียว
พอฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆ เสียงคำรามของสัตว์ในป่าก็ดังขึ้นเป็นระยะ นอกจากคนที่สู้กับแมงมุมพิษลายเสือจนบาดเจ็บแล้ว คนอื่นๆ ก็ล้วนมีสติกันตลอดเวลา ถึงแม้รอบๆ จะต่างค่ายกลไว้แล้ว แต่ก็ไม่มีคนละทิ้งการระวังภัย
หลัวซิวเอนหลังพิงเสาหิน ดวงตาค่อยๆ ปิดลง ประสาทสัมผัสก็ปล่อยออกมา ในหัวก็มีผังกฎดั้งเดิม ภาพที่2ของวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพโผล่ออกมา แล้วก็ทำความเข้าใจความลึกซึ้งภายใน
เมื่อเทียบกับภาพที่1 ภาพที่2ดูลึกซึ้งกว่ามาก ต่อให้เป็นรายละเอียดเล็กน้อย ด้วยผลการบรรลุของหลัวซิวในตอนนี้ ก็ยากที่จะทำความเข้าใจได้
“โฮก!”
ทันใดนั้นเอง เสียงคำรามก็ดังสนั่นขึ้น จอมยุทธ์แดนพรสวรรค์90กว่าคนก็ตกใจกับเสียงที่ดังขึ้น ทุกคนลืมตาขึ้น สีหน้าก็ขะมักเขม้น
ถึงแม้จะมีค่ายกลแยกส่วนกันเอาไว้ แต่เสียงคำรามนี้ทำให้ทุกคนล้วนเลือดสูบฉีดไปตามกัน เห็นได้ชัดว่าอสูรที่สามารถคำรามออกมาแบบนี้ได้ คงจะไม่ธรรมดา
เสียงคำรามเข้าใกล้มาเรื่อยๆ ในยามค่ำคืน ถึงแม้จะมองไม่ชัดเจน แต่จอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ล้วนมีความสามารถด้านประสาทสัมผัส รู้ว่ามีสัตว์ตัวใหญ่โผล่ขึ้นมาในประสาทสัมผัสของพวกเขา
เป็นอสูรตัวใหญ่ที่มีเกล็ดสีม่วงรอบตัว ที่ลำคอมีขนสีขาวเป็นกระจุกใหญ่ ตัวยาวประมาณ23เมตร เป็นตัวผู้เต็มวัย สายตาที่โหดร้ายเผยแสงสีเขียวของอสูรออกมา
“อสูรม้าทองเกล็ดม่วง!” จอมยุทธ์นำทีมคนหนึ่งพูดออกมาอย่างตกใจ
“คุณพระช่วย ทำไมพวกเราถึงได้มาเจอกับเจ้าน่ากลัวตัวนี้ได้?” จอมยุทธ์นำทีมอีก2คนก็สีหน้าเปลี่ยนไปเหมือนกัน
คนอื่นในทีม ก็ล้วนมีสีหน้าดูไม่จืดเหมือนกัน
อสูรม้าทองเกล็ดม่วงเป็นอสูรระดับ4 อสูรม้าทองเกล็ดม่วงที่โตเต็มวัย มีพลังเทียบเท่าปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น9เลยทีเดียว
เจ้าอสูรที่น่ากลัวนี้ ต่อให้เป็นปรมาจารย์โลกยุทธ์พบเข้า ก็ต้องหลีกทางให้มัน ฆ่าได้ยาก
ได้ยินว่าถ้าอสูรม้าทองเกล็ดม่วงลอกคราบเพื่อเพิ่มหลัง ก็จะสามารถเข้าสู่โลกยุทธ์ เทียบเท่าราชายุทธ์ มีปีสองปีก ชื่อว่าอสูรขนทองปีกม่วง พลังเท่ากันกับเสือสองหัวเขมือบลึก
ถึงแม้รอบๆ ป่าหินจะตั้งค่ายปิดกั้นสัญญาณพลังแล้ว แต่ไม่ได้ผลกับอสูรม้าทองเกล็ดม่วง เพราะว่าค่ายกลระดับ3มันยังไม่พอ
“โครม!”
เสียงสนั่นหูก็ดังเข้ามา เสียงฉีกขาดดังขึ้น ทำให้สีหน้าของทุกคนดูไม่จืดมากยิ่งขึ้น
อสูรม้าทองเกล็ดม่วงกำลังโจมตีค่ายกลป้องกันรอบๆ ป่าหิน
ค่ายกลระดับ3 เมื่อเผชิญกับอสูรแข็งแกร่งแบบนี้ ก็เหมือนมีไว้แต่ไร้ประโยชน์ ไม่อาจจะต้านทานได้นานเท่าไร
“หนี!”
ไม่รู้ว่าใครตะโกนออกมา ทุกคนก็วิ่งหนีกันไปคนละทิศคนละทาง
########################