มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 1304
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1304
เล่ากันว่าการบุกเบิกฟ้าดินนั้น สิ่งแรกที่มีคือตรีภพ หลังจากที่ตรีภพถูกบุกเบิก บนล่างซ้ายขวาทั้งสี่ด้านก็กลายเป็นจักรวาล ซึ่งเป็นตัวแทนของปริภูมิ ตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน กาลเวลาคือช่วงเวลาตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบันและอนาคต ซึ่งเป็นตัวแทนของเวลา
ในห้วงเวลาหลังตรีภพถูกบุกเบิก ตรีภพถึงจะเริ่มวิวัฒนาการหยินหยางออกมา จากนั้นค่อยแปรเปลี่ยนไปเป็นธาตุทั้งห้า ก่อให้เกิดอัสนีวาโย กำเนิดสรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาล และประกอบเป็นโลกที่สมบูรณ์แบบหนึ่งใบ
การเปิดจุดลมปราณของนักยุทธ์ และกำเนิดเป็นพิภพหนึ่งในจุดลมปราณอลวน การปฏิบัติก็เป็นหลักการเดียวกันเช่นกัน
“เริ่มเถอะ”
หลัวซิวนั่งท่าขัดสมาธิอยู่ด้านล่างกมลโลกา เมื่อเปรียบเทียบกับกมลโลกาที่ใหญ่โตดุจดวงดาวแล้ว เห็นได้ชัดเจนเลยว่าร่างของหลัวซิวเล็กน้อยมาก ๆ
เขาโคจรวรยุทธ์ มีระลอกคลื่นสีดำปรากฏเหนือศีรษะเขา ซึ่งภายในระลอกคลื่นมีกฎความตายและกฏปริภูมิซ่อนแฝงอยู่
พลังชีวีดั้งเดิมที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังมหาศาลในกมลโลกาถูกดูดซับออกมาอย่างต่อเนื่อง ผ่านระลอกคลื่นสีดำที่อยู่เหนือศีรษะ แล้วใช้กฎความตายขจัดตราประทับที่อยู่ภายในทิ้ง กลายเป็นพลังแห่งชีวิตที่บริสุทธิ์มากที่สุด ผสมเข้าไปในร่างกายเขา
พลังแห่งชีวิตเป็นแก่นสารฟ้าดินประเภทหนึ่งตั้งแต่แรกอยู่แล้ว สารพลังชีวิตที่แฝงซ่อนอยู่ในตราประทับของผู้แข็งแกร่งราชาเทพเป็นสิ่งที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังอันมหาศาล ซึ่งสามารถนำมันมาฝึกวิชาบรรพเทพโลหิตได้พอดี!
“หยุดบัดเดี๋ยวนี้นะ!”
เสียงตะคอกโกรธเกรี้ยวดังเข้ามาในตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว มีเงาลาง ๆ ร่างหนึ่งปรากฏอยู่ในกมลโลกา รูปร่างสูงใหญ่ ร่างกายมีปราณปีศาจมืดทึมน่ากลัว เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเป็นรูปร่างลักษณะของเผ่าปีศาจ
ไม่ต้องพูดอะไรก็พอจะทราบได้แล้วว่าเงาลาง ๆ ที่ปรากฏนี้ เป็นภาพของราชาเทพเผ่าปีศาจที่เป็นผู้บุกเบิกโลกาอสูรฟ้า
“เจ้าเป็นผู้ใด เหตุใดถึงมายึดแก่นสารที่อยู่ในตราชีวีของข้า?”
หลัวซิวไม่ได้สนใจเขาเลยด้วยซ้ำ โคจรวรยุทธ์ต่อ ดูดซับสารพลังชีวิตที่บริสุทธิ์พลังหนึ่งเข้าไปในร่างกาย เพื่อชุบพลังสายเลือด
เมื่อผู้แข็งแกร่งในโบราณกาลบุกเบิกพิภพ อสูรจิตที่กำเนิดในพิภพดังกล่าวก็เหมือนดั่งวัวควายที่ถูกเลี้ยงอยู่ในคอกของผู้แข็งแกร่งเหล่านั้น ทันทีที่มีผู้ใดเติบโตจนบรรลุถึงแดนที่สูงมากพอแล้ว ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นก็จะทำการยึดครองร่าง ยึดทุกอย่างที่คนอื่นได้รับมาอย่างยากลำบากมาเป็นของตัวเอง
ถึงแม้คนเหล่านั้นจะสรุปว่าเรื่องเช่นนี้เป็นวิถีแห่งเหตุและผล เป็นอสูรจิตที่อยู่ในพิภพ ชำระผลที่ตนเองมาหาได้ให้แก่ผู้แข็งแกร่งโบราณ
แต่หลัวซิวกลับรังเกียจเช่นนี้มาก ๆ สุดท้ายแล้วผู้แข็งแกร่งที่บุกเบิกพิภพเหล่านี้ล้วนทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น นี่มันพฤติกรรมที่ไร้ยางอายของพวกโจรชัด ๆ แต่กลับทำให้การกระทำเช่นนี้ดูมีเหตุมีผล ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก
“ข้าบอกให้เจ้ายั้งมือบัดเดี๋ยวนี้ เจ้าไม่ได้ยินหรือไง?”ราชาเทพเผ่าปีศาจตะคอกเสียงดังลั่น จากนั้นเขาก็สังเกตเห็นทันทีว่าผู้ที่ยึดสารพลังชีวิตของตัวเองอยู่ มีผลการฝึกตนเพียงมหาจักรพรรดิยุทธ์!
“นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?”ต่อให้เป็นราชาเทพเผ่าปีศาจในอดีต เขาก็ทำสีหน้าท่าทางอย่างรู้สึกเหลือเชื่อเช่นกัน
เนื่องจากเขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าตัวเองได้ทิ้งพลังกฎความตายระดับราชาเทพเอาไว้ในเหวมรณะ ผู้คนในโลกาอสูรฟ้าไม่มีทางเข้ามาในนี้ได้แน่นอน จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะมีคนมายึดแก่นสารในตราชีวีของเขา
“ผู้น้อย หากเจ้ายั้งมือบัดนี้ละก็ ข้าสามารถให้อภัยกรรมชั่วนี้ของเจ้าได้! เจ้ามีผลการฝึกตนเพียงมหาจักรพรรดิยุทธ์ ดูดซับให้ตายเจ้าก็ไม่มีทางดูดแก่นสารในตราชีวีของเจ้าหมดหรอก”
ราชาเทพเผ่าปีศาจพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น“เมื่อสิบปีก่อน ข้าก็ยึดครองร่างผู้อื่นสำเร็จแล้ว การจะฆ่าเจ้าน่ะ มันง่ายดั่งการบดขยี้มดตัวหนึ่งให้ตาย!”
“ยึดครองสำเร็จแล้ว?”หางคิ้วหลัวซิวกระตุก มองเงาร่างลาง ๆ ของราชาเทพเผ่าปีศาจด้วยสายตาที่เฉื่อยชา
หากเป็นอย่างที่ราชาเทพเผ่าปีศาจกล่าวมาจริง ๆ เช่นนั้นเมื่อหนึ่งแสนปีก่อนผู้คนในโลกาอสูรฟ้าก็มีผู้ที่บรรลุถึงแดนราชาเทพแล้วสิ บางทีในมุมมองคนอื่นอาจจะรู้สึกว่าเขาทำสำเร็จแล้ว แต่ในความเป็นจริงเขาล้มเหลวต่างหาก เพราะถูกราชาเทพเผ่าปีศาจยึดครองร่าง เขาจึงไม่ใช่เขาคนเดิมอีกต่อไปแล้ว