มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 1471
เสี้ยววินาทีที่หลัวซิวฝึกเคล็ดแสงดาวเทียนเต้าสำเร็จ อีกทั้งผนึกรวมดวงดาวแรกขึ้นมาตรงจุดตันเตียนในร่างกายตัวเอง ห้วงอากาศบริเวณรอบ ๆ ก็เหมือนหยุดนิ่งไปแล้วยังไงอย่างนั้น
หินศิลาจารึกที่สูงตระหง่านค่อย ๆ ถอยและจางหายไป ชายหนุ่มชุดคลุมยาวดาราปรากฏตัวอีกครั้ง แล้วจ้องเขม็งมาทางหลัวซิวด้วยสีหน้าท่าทางที่หวั่นไหวเล็กน้อย
ปัญญา ปณิธาน ความสามารถในการตระหนักรู้ ล้วนยอดเยี่ยมมาก!
“เจ้าผ่านด่านนี้แล้ว!”
ชายหนุ่มชุดคลุมยาวดาราพูดเสียงดัง“เจ้ามีคุณสมบัติพื้นฐานตามข้อกำหนดของการได้รับการถ่ายทอดสืบสานแล้ว และยังเหลือบททดสอบด่านสุดท้าย”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น ชายหนุ่มชุดคลุมยาวดาราก็ยกมือขึ้นมาโบกทีหนึ่ง ระลอกคลื่นประตูแสงก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าหลัวซิว ซึ่งประตูแสงดังกล่าวได้มุ่งไปสู่พื้นที่ที่ไม่รู้จักแห่งหนึ่ง
สีหน้าของหลัวซิวดูไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเขาก็รีบย่างเท้าเดินเข้าไปภายใน เรื่องทุกอย่างดำเนินการมาจนถึงจุดนี้แล้ว เขาไม่อาจทำตามใจตนเองได้
สถานที่ดังกล่าวคือพื้นที่ที่มืดมนแห่งหนึ่ง ส่วนบนของพื้นที่ดังกล่าวมีดวงดาวที่แวววาวจับตาลอยอยู่ ทำให้ผู้ที่อยู่ภายในพื้นที่ดังกล่าวรู้สึกเหมือนอยู่กลางห้วงดาราที่กว้างใหญ่ไพศาล
หลัวซิวจ้องเขม็งไปข้างบน จำนวนดวงดาวที่อยู่เหนือศีรษะไม่ได้มีเยอะมากนัก มีทั้งหมด 18 ตัว ดวง ดวงดาวทุกดวงใหญ่โตมหึมาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ความรู้สึกเหมือนมันใหญ่โตยิ่งกว่าดาราเรืองแสงเสียอีก และอยู่ในห้วงเวลาที่ไกลเกินเอื้อม
และในตอนนี้เอง แท่นหินสีเขียวที่ดูโบราณและเรียบง่ายก็บินตรงมาจากตำแหน่งไกล ลักษณะภายนอกของแท่นหินดังกล่าวเรียบลื่น ไม่มีจุดที่ดูพิเศษเลยแม้แต่จุดเดียว ด้านบนแท่นหินมีเบาะนั่งทรงกลมหนึ่งใบ และด้านบนเบาะนั่งคือโครงกระดูกร่างหนึ่งที่ไร้พลังชีวิตกำลังนั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิ
ทันใดนั้นก็มีแสงเงาหนึ่งบินออกมาจากโครงกระดูก แสงเงาดังกล่าวเลือนลางไม่ชัดเจน ราวกับขอเพียงถูกลมเป่าเล็กน้อย มันก็จะสลายหายไปยังไงอย่างนั้น
แสงเงาลอยไปตรงหน้าหลัวซิว เงาร่างมนุษย์ที่เลือนลางไม่ชัดเจน ราวกับมีดวงตาที่มองไม่เห็นคู่หนึ่งข้ามผ่านห้วงกาลเวลา แล้วหยุดมองอยู่บนตัวเขายังไงอย่างนั้น
“รากฐานมั่นคงถึงขีดสุด พรสวรรค์ดีเลิศ ปณิธานแน่วแน่ เจ้าเหมาะกับการเป็นผู้สืบทอดของข้ามากที่สุดแล้วจริง ๆ”เสียงเสียงหนึ่งดังเข้าไปในหัวหลัวซิว“เจ้าทราบตัวตนของข้าหรือไม่?”
“ผู้น้อยไม่ทราบขอรับ โปรดกรุณาผู้อาวุโสไขข้อสงสัยให้ผู้น้อยด้วยนะขอรับ”หลัวซิวก้มคำนับแสดงความเคารพ เขามองเงาร่างที่อยู่ตรงหน้าสลับกับโครงกระดูกที่กำลังนั่งท่าขัดสมาธิอยู่บนแท่นหิน เขาไม่แน่ใจว่าผู้แข็งแกร่งโบราณผู้นี้ดับสลายสูญสิ้นไปแล้วจริง ๆ หรือไม่ ในขณะเดียวกันเขาก็เตรียมป้องกันอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน เกรงว่าฝ่ายตรงข้ามจะใช้กลอุบายประเภทยึดครองร่างกะทันหัน
อีกอย่างเขาก็รู้สึกสงสัยต่อผู้แข็งแกร่งที่ทิ้งบททดสอบมากมายขนาดนี้ไว้เช่นกัน โดยเฉพาะเนื้อหาในเคล็ดแสงดาวเทียนเต้านั่น เขาต้องการทราบเนื้อหาที่มากกว่านี้
“ข้าเป็นหนึ่งในจ้าวมหาเทพทั้งสามของตระกูลลู่ในมหาโลกาแสงดาว จ้าวมหาเทพแสงดาว! สิ่งที่เจ้ามองเห็น ณ บัดนี้ เป็นเพียงเงาแห่งเศษความคิดที่ข้าทิ้งไว้ และพลังชีวิตของตัวข้านั้น หมดสิ้นไปตั้งแต่ในยุคที่ผ่านมายาวนานอย่างไม่รู้จบแล้ว”
“การที่เจ้าสามารถเดินมาถึงจุดนี้ได้ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเจ้าตระหนักรู้และฝึกบทแรกของเคล็ดแสงดาวเทียนเต้าสำเร็จแล้ว บทแรกเป็นเพียงพื้นฐานของเคล็ดแสงดาวเทียนเต้า หากฝึกจนบรรลุผลโดยที่อยู่แดนเทพมาร สามารถทำให้รากฐานวิถียุทธ์ของตัวเราบรรลุถึงระดับที่สมบูรณ์แบบขีดสุด หากมีโอกาสดี ๆ น้อยสุดได้กลายเป็นจ้าวมหาเทพ มากกว่านั้นคืออาจสามารถยึดอำนาจกลายเป็นจักรพรรดิเทพแนวหน้าได้อีกด้วย!”
“เคล็ดแสงดาวเทียนเต้ามีทั้งหมดหกบท ตลอดจนถึงธรรมจักรวาลดั้งเดิม หากฝึกทั้งหกบทจนสำเร็จละก็ สามารถกลายเป็นผู้ที่มีอิทธิฤทธิ์แข็งแรงที่สุดในจักรวาล แต่น่าเสียดายที่ข้ามีเพียงบทแรกเท่านั้น วรยุทธ์ที่ต้องฝึกหลังบรรลุเป็นเทพฟ้า เป็นวรยุทธ์การถ่ายทอดสืบสานที่ตระกูลลู่ของข้าอนุมานขึ้นมาจากเคล็ดแสงดาวเทียนเต้า ซึ่งมีนามว่าเคล็ดธรรมท้องดารา!”
“ผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดสืบสานจากข้า ก็ควรสืบต่อปณิธานของตระกูลลู่ ยึดการปกป้องวิถีแห่งสวรรค์เป็นหน้าที่ของตน……”
เสียงที่ดังก้องอยู่ในหัวหลัวซิวยิ่งอยู่ยิ่งอ่อนแอลง จากนั้นจำนวนข้อมูลที่มากมายมหาศาลก็พรั่งพรูเข้ามาในตัวหยั่งรู้ของเขา
เคล็ดธรรมท้องดารา!
และวรยุทธ์นี้ก็คือการถ่ายทอดสืบสานของตระกูลลู่ในมหาโลกาแสงดาว ซึ่งเป็นวรยุทธ์ภาคต่อที่บุกเบิกโดยการอนุมานจากบทแรกของเคล็ดแสงดาวเทียนเต้า
บางจุดของเคล็ดแสงดาวเทียนเต้าค่อนข้างคล้ายคลึงกับเคล็ดวิชาจุดลมปราณ เคล็ดวิชาจุดลมปราณที่หลัวซิวได้รับมาก็เป็นฉบับที่ไม่สมบูรณ์เช่นกัน จากทั้งหกส่วนบนร่างกายของมนุษย์ แค่สามารถบุกเบิกจุดลมปราณทั้ง 18 จุดบนแขนซ้าย