มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 1473
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1473
ทั้งหมดนี้ไม่มีค่าพอที่จะให้หลัวซิวชายตามอง ตรงหว่างคิ้วของเขากระพริบ ร่างกลวัฏสงสารที่หนึ่งปรากฏ และเริ่มขุดค้นเส้นทางในพื้นที่ใจกลางดาราเรืองแสงนี้ต่อ
ส่วนร่างแท้ของหลัวซิวนั้นกลับโบกมืออย่างไม่หยุดหย่อน เก็บแก้วเทวจำนวนมากเข้ากระเป๋า
หลังจากผ่านไปสามเดือน พื้นที่ใจกลางของดาราเรืองแสงก็แทบจะถูกหลัวซิวขุดจนว่างเปล่าโดยสิ้นเชิงแล้ว ส่วนภายในแหวนเก็บของของเขานั้น ก็มีแก้วเทวชั้นกลางสะสมเป็นจำนวนมากเช่นกัน ซึ่งมีมากกว่าหน่ึงหมื่นล้านชิ้น!
การเดินทางตามหาแก้วเทวชั้นกลางในห้วงดาราครั้งนี้ พูดได้เลยว่าหลัวซิวเป็นผู้ที่ได้รับกำไรสูงสุด เมื่อเปรียบเทียบกับทรัพย์สินแก้วเทวชั้นกลางหนึ่งหมื่นล้านชิ้นที่มากมายดุจมหานทีแล้ว ผลสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาก็คือการได้รับการถ่ายทอดสืบสานเคล็ดแสงดาวเทียนเต้า!
เมื่อฝึกเคล็ดวิชาจุดลมปราณบนร่างกายมนุษย์และเคล็ดแสงดาวเทียนเต้าพร้อมกัน ก็หมายความว่าเมื่อเขาอยู่แดนเทพมาร ในร่างกายเขาจะมีดวงดาวผนึกรวมได้ทั้งหมด 36 ดวง!
ในทุก ๆ ดวงดาวล้วนมีผลการฝึกตนที่มากมายมหาศาลและพลังแห่งโลกาอัดแน่นอยู่ภายใน ต่างช่วยส่งเสริมกันและกัน ทำให้ร่างเนื้อและผลการฝึกตนของเขาสามารถขึ้นไปถึงจุดสูงสุด!
เงาร่างของเขาบินลอยขึ้นฟ้า ข้ามผ่านชั้นบรรยากาศไปอย่างรวดเร็ว มาถึงห้วงดารานอกดาราเรืองแสง
เงยหน้าขึ้นมามองออกไปไกล ๆ เรือรบดาราทั้งสองลำดุจป้อมปราการสงครามกำลังลอยในห้วงดารา ภายใต้การนำพาของเจ้านภาสิบกว่าคน ผู้แข็งแกร่งเทพฟ้านับพันต่างปิดล้อมอยู่บริเวณรอบ ๆ อย่างแน่นหนา รอคอยเขาออกมานานมาก ๆ แล้ว
เสี้ยววินาทีที่เห็นหลัวซิวปรากฏตัว แววตาของจี้ซิวและเหอเฟิงต่างดูช็อกมาก!
เนื่องจากคนดังกล่าวอยู่ในดาราเรืองแสงมานานสามเดือนกว่า หากบอกว่าเขาไม่ได้รับผลสำเร็จอะไรเลยละก็ พวกเขาไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน!
“ผู้เพื่อนยุทธ์หลัว เจ้าปิดบังข้าได้แนบเนียนมาก”เหอเฟิงหกระเหินเดินฟ้าออกไป จ้องเขม็งไปทางหลัวซิว“เจ้ามีวิธีเข้าไปในดาราเรืองแสง เหตุใดถึงไม่แบ่งบันวิธีดี ๆ ร่วมกับพวกข้า?”
หลัวซิวอมยิ้ม“หากข้าอยากทราบความลับของผู้เพื่อนยุทธ์เหอเฟิง เจ้ายินดีที่จะแบ่งปันกับข้าไหมเล่า?”
หลัวซิวตรงไปตรงมากและเด็ดขาดมาก ซึ่งแตกต่างจากจี้ซิว เขายืนอยู่บนชั้นดาดฟ้าเรือรบอย่างหยิ่งผยอง แล้วพูดอย่างเย็นเยือก: “เปิดตัวสำนึกของเจ้าออกแล้วให้ข้าเข้าไปสำรวจความทรงจำของเจ้า มิเช่นนั้นตาย!”
หลัวซิวไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ค่อย ๆ ยกมือซ้ายขึ้นมา อสูรดูดจิตโบราณคำรามพร้อมกับพุ่งออกมาจากโลกาจุดลมปราณ
เขาไขว้มือทั้งสองข้างไว้ด้านหลังพลางยืนอยู่บนศีรษะของอสูรดูดจิตโบราณ พลังออร่าของอสูรโบราณแผ่กระจายออกไป ทำให้ผู้แข็งแกร่งเทพฟ้าจำนวนมากต่างสัมผัสได้ว่ากฎพลังเทพที่อยู่ในร่างกายถูกระงับ มีเพียงผู้แข็งแกร่งระดับเจ้านภาเป็นต้นไปเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบเล็กน้อย
“โฮกก!”
อสูรดูดจิตโบราณแหงนหน้าขึ้นฟ้าแล้วคำรามเสียงดัง มันคืออสูรโบราณดาราในยุคสมัยโบราณ ใช้ชีวิตอยู่ในห้วงดารา จึงทำให้มันรู้สึกเหมือนได้กลับบ้านเกิด
“ดูท่าเจ้าวางแผนจะต่อต้านแล้วสินะ ต่อให้เจ้ามีศักยภาพระดับกึ่งราชาเทพ วันนี้เจ้าก็ถูกลิขิตไว้แล้วว่าต้องได้ตายอย่างแน่นอน และความลับที่อยู่บนตัวเจ้า รวมไปถึงทุกสิ่งอย่างที่เจ้าได้รับมาในดาราเรืองแสงก็ถูกลิขิตไว้แล้วว่าต้องตกเป็นของข้า!”
จี้ซิวหัวเราะ ในเสียงหัวเราะเขามีความดูหมิ่นที่ลึกซึ้งแฝงซ่อนอยู่ ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งถึงบัดนี้ เขาไม่เคยเอาหลัวซิวมาไว้ในสายตาเลย
แม้ว่าคนดังกล่าวจะมีศักยภาพระดับกึ่งราชาเทพ แต่ทว่าเบื้องหลังเขามีผู้แข็งแกร่งระดับราชาเทพคอยหนุนหลัง ซึ่งแตกต่างจากบุคคลตรงหน้าที่ไม่มีภูมิหลังที่น่าเกรงขามเลยแม้แต่น้อย
“ฆ่ามันซะ!”
จี้ซิวยกมือขึ้นแล้วโบกมือทีหนึ่ง ภายในชั่วพริบตาเดียวเทพฟ้าและเจ้านภาจำนวนมากก็ต่างเบียดเสียดกันเข้าไป ค่ายกลระดับเทพที่วางซ่อนอยู่ทุกสารทิศก็ต่างพากันเปิดออก จิตจะฆ่าที่ไร้ขอบเขตได้ผนึกไปทางหนึ่งอสูรและหนึ่งมนุษย์ที่อยู่กลางห้วงดารา!
ค่ายกลระดับเทพเหล่านี้ อย่างน้อยสุดก็เป็นค่ายเทพระดับ 5 ในจำนวนนั้นยิ่งมีสามค่ายกลที่มีระดับสูงถึงระดับ 6 ซึ่งสามารถปล่อยพลังการโจมตีที่เทียบเท่ากับผู้แข็งแกร่งระดับเจ้านภาออกมาได้ จึงจะดูถูกไม่ได้เลย
อย่างไรก็ตามในขณะที่จัดวางค่ายกลเหล่านี้อยู่นั้น ร่างกลวัฏสงสารที่สองของหลัวซิวก็เข้าร่วมเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เขาจึงสามารถมองทะลุเห็นการจัดเรียงร่องรอยค่ายกลและวงโคจรค่ายกลเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน