มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 149 การฆ่าไม่มีผิดถูก
บทที่ 149 การฆ่าไม่มีผิดถูก
เหยียนเยว่เอ่อร์ถอดแหวนโบราณที่อยู่บนนิ้วมือออกมาหนึ่งวง ยื่นส่งให้หลัวซิวโดยตรง
“ภายในแหวนมีกระบี่อ่อนชั้นกลางหนึ่งเล่ม หินพลังจิตชั้นกลางสามหมื่น หินพลังจิตชั้นสูงหนึ่งพัน และมีวรยุทธ์ระดับแปดหนึ่งวิชา!”
นี่เป็นค่าตอบแทนที่เหยียนเยว่เอ่อร์จ่ายเพื่อให้หลัวซิวลงมือ
สมบัติจำนวนนี้มีมูลค่าเกือบเทียบเท่าคลังสมบัติที่หลัวซิวได้มาจากราชายุทธ์ปู้เฉิน!
เห็นได้ชัด เหว้ยหยุนกู่ เหอปาซานและคนอื่นที่อยู่ฝั่งตรงข้ามไม่มีปัญญานำสมบัติจำนวนนี้ออกมา
“ข้าฆ่าคนจำเป็นต้องมีเหตุผล สมบัติจำนวนนี้ก็คือเหตุผลที่ข้าฆ่าคน!”
การฝึกยุทธ์จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก การฆ่าเพื่อทรัพยากรเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไปในโลกของจอมยุทธ์
ถ้าหากพวกเหว้ยหยุนกู่ไม่ได้เป็นคนประเภทสมควรตาย หลัวซิวย่อมไม่มีทางฆ่าคนที่ไม่ไม่รู้อะไรเลยเพียงเพื่อทรัพยากรความมั่งคั่ง
แต่อยู่บนโลกใบนี้ มีผู้ฝึกยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จคนไหนบ้างไม่เคยมือเปื้อนเลือด?
เหว้ยหยุนกู่เพื่อฝึกวิชามารฆ่าคนทั้งหมู่บ้านสามร้อยกว่าชีวิต เหาปาซานมีกิเลสตัณหาเป็นสันดาน ล่วงประเวณี ปล้นสะดม ไม่เช่นนั้นก็คงไม่มาตกอยู่ในมือของเหยียนเยว่เอ่อร์
และจอมยุทธ์พรสวรรค์คนอื่น บนตัวของทุกคนล้วนแต่รายล้อมด้วยกลิ่นอายที่ชั่วร้าย ไม่รู้มีกี่ชีวิตที่ต้องตายด้วยมือของพวกเขา
แม้กระทั่งหลิวซิวเอง คนที่เขาเคยฆ่ายังน้อยอีกหรือ?
ในเมืองเมืองชิงหยุน เขาฆ่าองครักษ์เกราะเขียวหนึ่งคนหนึ่งกระบี่ไม่รู้มากน้อยเท่าไหร่ อสูรที่เขาเคยฆ่าก็มีนับไม่ถ้วน ในโลกของผู้แข็งแกร่งโลกยุทธ์เป็นเจ้า มือของใครไม่เคยเปื้อนเลือด?
การฆ่าไม่มีถูกผิด มีเพียงจิตใจ!
รับแหวนที่เหยียนเยว่เอ่อร์ส่งมาเก็บ หลัวซิวเงยหน้าขึ้นมองไปทางเหว้ยหยุนกู่และคนอื่น ปลดปล่อยกลิ่นอายแห่งการฆ่าที่บานสะพรั่ง
สีหน้าของเหว้ยหยุนกู่และเหอปาซานเปลี่ยนไปทันที รู้ตัวแล้วว่าทั้งสองคนจำเป็นต้องตัดสินความเป็นความตายกับหลัวซิว
ส่วนจอมยุทธ์พรสวรรค์ทั้งเจ็ดที่อยู่ด้านหลัง ถูกทำลายผลแห่งการฝึกตนไปหมดแล้ว ไม่สามารถเข้าสู่สนามรบ
“อยากฆ่าพวกเขา ยังจำเป็นต้องใช้เลือดพวกเขามาสังเวยค่ายวาร์ปเข้าสู่เขตที่สาม”
เห็นหลิวซิวเตรียมตัวลงมือ เหยียนเยว่เอ่อร์ถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วพูดเตือน
ชายชุดขาวดูแล้วเหมือนนักปราชญ์ ท่าทางสุภาพเรียบร้อยและเป็นมิตร แต่ทันทีที่โบกมือกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายของคาวเลือด ปราณแท้สีแดงสดเหมือนเลือดคน มีพลังกัดกร่อนแฝงอยู่ด้านใน
สิ่งที่เหยียนเยว่เอ่อร์พูดไม่ผิด เห็นได้ชัดเหว้ยหยุนกู่คนนี้ใช้วิธีการบางอย่างกลืนพลังและเลือดเพื่อฝึกวิชามาร
วิชามารแบบนี้เรียกว่าวิชาโลหิตมาร จำเป็นต้องดูดเลือดของมนุษย์ เป็นสิ่งที่เลวร้ายและอันตรายอย่างยิ่ง
ทว่า เมื่ออาคมเลือดเจอกับเพลิงมรณะ กลับเป็นเหมือนหิมะที่ถูกโยนเข้าไปในกองไฟที่ร้อนระอุ ละลายในทันที
หลัวซิวลงมืออย่างไร้ความปราณี ฟันกระบี่ยุทธ์ชั้นกลางออกไป ปราณแท้โลหิตมารไม่สามารถต้านทานแม้แต่นิดเดียว
เสียงดังฉึก เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูด ศีรษะของเหว้นหยุนกู่ลอยกระเด็นออกไปไกล เลือดอุ่นพุ่งพรวดดั่งน้ำพุ
เหว้นหยุนกู่พรสวรรค์ขั้นเจ็ดถูกฆ่าด้วยกระบี่เดียว!
ดาบเร็วของหลัวซิว มีเพียงปรมาจารย์ยุทธ์แดนฝึกจิตอาศัยการสำนึกหนุนเสริม ถึงจะสามารถต้านทาน
และแดนฝึกจิตลงไป นอกเสียจากฝึกวิชาอย่างใดอย่างหนึ่งจนอยู่ในระดับแดนบริบูรณ์ ไม่เช่นนั้นไม่มีใครสามารถต้านทานกระบี่ของเขาได้เกินหนึ่งกระบวนท่า
เห็นเหว้ยหยุนกู่โดนฆ่า ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่เหอปาซานตกใจจนขวัญหาย ปฏิกิริยาแรกของเขาคือหันหลังแล้ววิ่งหนี
แต่ทันทีที่เขาหันหลัง แสงกระบี่สีดำสายหนึ่งพุ่งไปถึงตัวเขา ทะลวงหลังศีรษะของเขาจนทะลุ สมองสาดกระเซ็น
จอมยุทธ์ทั้งเจ็ดที่โดนทำลายผลการฝึกตนรู้สึกเย็นวูบในใจ ส่วนเหยียนเยว่เอ่อร์กลับขมวดคิ้ว เพราะหลัวซิวฆ่าคนพวกนี้ จะนำเลือดไปสังเวยค่ายวาร์ปอย่างไง?
สะบัดคราบเลือดที่ติดอยู่บนกระบี่ยุทธ์ หลัวซิวมองไปทางจอมยุทธ์ทั้งเจ็ดที่โดนทำลายผลการฝึกตน
ในแดนนานาอสูร ไม่มีผลการฝึกตน ถึงหลัวซิวจะไม่ฆ่าพวกเขา คนพวกนี้ก็ยากจะเอาชีวิตรอด
จอมยุทธ์ทั้งเจ็ดไม่กล้าหายใจแรงเลยด้วยซ้ำ เพราะกลัวจะทำให้หลัวซิวเทพแห่งการสังหารคนนี้โกรธ
ไม่มีใครยินดีไปตาย ถึงแม้ไม่มีผลการฝึกตนจะถูกกำหนดไม่สามารถเอาชีวิตรอดในแดนนานาอสูร พวกเขาก็ยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อให้ได้นานที่สุด
“ถึงแม้จะโดนเจ้าฆ่าไปสองคน แต่ใช้คนทั้งเจ็ดมาสังเวยเลือดก็ถือว่าเพียงพอ”
เสียงของเหยียนเยว่เอ่อร์เบาบาง แต่น้ำเสียงกลับเย็นชามาก เพื่อเข้าไปเขตที่สามตามหาหญ้าคืนวิญญาณฟื้นฟูแผลแห่งเทพจิตได้สำเร็จ แม้ต้องใช้วิธีการสังเวยเลือด นางก็จะทำ
หลัวซิวไม่ได้พูดอะไร เพราะเขาเองก็อยากไปล่าอสูรที่เขตสามเพื่อรับลูกแก้วฝึกจิต ตามคำบอกเล่าของเหยียนเยว่เอ่อร์ แม้มีหยกอสูรจันทราคู่อยู่ในมือ หากไม่มีผลการฝึกตนฝึกจิต ก็ไม่สามารถเข้าสู่เขตที่สาม
มีเพียงใช้วิธีการสังเวยโลหิต ถึงจะสามารถชดเชยผลการฝึกตนที่ไม่เพียงพอ
คนพวกนี้ไม่ได้เป็นญาติมิตรสหายกับเขา หลัวซิวย่อมไม่มีทางช่วยคนพวกนี้จนทำให้ตนเองต้องสูญเสียโอกาสที่จะทำให้แดนร่างเนื้อพัฒนาไปอีกขั้น
ภาพปริศนาอยู่ในแหวนเก็บของที่เหยียนเยว่เอ่อร์ให้เขา บันทึกอยู่ในม้วนหยกเล่มหนึ่ง มีของเส้นทางเขตที่หนึ่งถึงเขตที่สามอย่างชัดเจน และรวมไปถึงภาพโดยรวมส่วนหนึ่งของเขตที่สี่
ตามเส้นทางบนภาพปริศนา คนทั้งกลุ่มมุ่งตรงไปพื้นที่สุดทางของเขตที่สอง โดยมี หลัวซิวเป็นผู้นำ
ระหว่างทาง มีอสูรมากมายขวางทาง ในเวลาสั้นๆเพียงสามวัน หลัวซิวฆ่าอสูรไปทั้งหมดเกือบสามร้อยตัว ซึ่งเทียบเท่ากับต้องฆ่าอสูรวันละเกือบหนึ่งร้อยตัว
เนื่องจากการสังหารมากเกินไป ส่งผลให้เมื่อไหร่ที่หลัวซิวปลดปล่อยกลิ่นอายออกมา บนตัวมีแสงสีเลือดจางๆปรากฏขึ้นรายล้อมร่างกาย มันคือกลิ่นอายแห่งการสังหารที่ควบแน่นกลายเป็นกลิ่นอายที่ชั่วร้าย
กลิ่นอายแห่งการสังหารที่ชั่วร้ายมีผลของการสยบ สัตว์อสูรและจอมยุทธ์ทั่วไปภายใต้แรงกดดันของกลิ่นอายสังหาร กลัวตั้งแต่ยังไม่ทันได้สู้
ตลอดการฆ่าระหว่างทาง หลัวซิวได้รับลูกแก้วโลหิตพรสวรรค์หนึ่งร้อยกว่าลูก
ในขณะที่เข้าใกล้พื้นที่สุดทางของเขตที่สองมากขึ้น อสูรที่เจอระหว่างทางก็แข็งแกร่งมากขึ้น แต่ละตัวสามารถเทียบกับพรสวรรค์ขั้นเจ็ดขึ้นไป โดยเฉพาะจ่าฝูงที่แข็งแกร่งบางตัว ถึงขั้นสามารถเทียบกับปรมาจารย์จอมยุทธ์และระดับฝึกจิตครึ่ง
ผลการฝึกตนของจอมยุทธ์ทั้งเจ็ดถูกทำลาย เหยียนเยว่เอ่อร์ไม่สามารถลงมือ อาศัยกำลังของหลัวซิวเพียงคนเดียว เริ่มรู้สึกเหนื่อยทีละนิด
ตอนไปถึงแท่นบูชาโบราณของพื้นที่สุดทางเขตที่สาม สภาพของหลัวซิวผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าฉีกขาด
ท่าทางดูสะบักสะบอม แต่บนตัวกลับมีกลิ่นอายสังหารที่ทำให้ผู้คนรู้สึกสะพรึงกลัวรายล้อม และหลังจากผ่านประสบการณ์การเข่นฆ่าครั้งนี้ พลังของเขาก็กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เหยียนเยว่เอ่อร์ก็เริ่มเข้าใจความแข็งแกร่งของหลัวซิวมากขึ้น เด็กหนุ่มคนนี้ดูแล้วเหมือนเพิ่งจะมีอายุสิบสี่สิบห้า ด้วยผลการฝึกตนพรสวรรค์ขั้นสาม สามารถพูดได้ว่าศัตรูที่อยู่ระดับฝึกจิตลงไปไม่มีใครเทียบได้ ไม่ต้องพูดถึงสิบตระกูลใหญ่ของประเทศเทียนหวู แม้แต่กลุ่มมหาอำนาจทั้งสามที่มีอิทธิพลสูงสุด ก็ไม่มีทางปลูกฝังอัจฉริยะแบบนี้ออกมาได้แน่นอน
ในละแวกใกล้เคียงแท่นบูชาค่ายวาร์ปของเขตที่สอง ไม่มีอสูรแต่อย่างใดมาอาศัยอยู่ที่นี่ ด้วยแท่นบูชาโบราณเป็นจุดศูนย์กลาง ในรัศมีพื้นที่สิบลี้จึงเป็นพื้นที่ปลอดภัย
ก่อนเข้าสู่เขตที่สาม หลัวซิวเตรียมตัวกลืนกินลูกแก้วโลหิตเพิ่มระดับแดนร่างเนื้อที่นี่ อย่างไรก็ตาม ยิ่งเขาแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ความมั่นใจในการเอาชีวิตรอดในเขตที่สามก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
ในเมื่อเขารับแหวนของเหยียนเยว่เอ่อร์และในเมื่อได้ลงมือช่วยเหลือแล้ว ก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด หลังจากเข้าสู่เขตที่สาม ช่วยนางตามหาหญ้าคืนวิญญาณต่อ
หยิบแหวนของเหยียนเยว่เอ่อร์ออกมา การรับรู้แทรกซึมเข้าไปด้านใน ทันทีที่เคลื่อนไหวทางจิต มีหินพลังจิตชั้นกลางนับร้อยก้อนกระจายออกมาโดยรอบ
หลังจากนั้น หลัวซิวหยิบผังค่ายระดับห้าออกมา เมื่อเป็นแบบนี้ก็จะสามารถดูดซับพลังของหินพลังจิตและพัฒนาผลการฝึกตนได้เร็วขึ้น
ในขณะที่โคจรวิชาดูดซับพลังจิตเพื่อฝึกตน หลัวซิวหยิบม้วนหยกออกมา สิ่งที่บันทึกอยู่ในม้วนหยก มันคือวรยุทธ์ระดับแปดที่เหยียนเยว่เอ่อร์พูดถึง
การรับรู้แทรกซึมเข้าไปในม้วนหยก เคล็ดวิชายุทธ์ที่ถูกบันทึกไว้ด้านในหลั่งไหลเข้ามาในหัวสมองอย่างต่อเนื่อง
########################