มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 164 ซิวหลัวปรากฏตัวอีกครั้ง
บทที่ 164 ซิวหลัวปรากฏตัวอีกครั้ง
ภายในห้องลับ หลัวซิวที่กำลังฝึกตนปิดขัง จู่ ๆ ก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมา ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขาจึงรู้สึกไม่สบายใจอยู่ตลอดเวลา
หลังจากที่การฝึกตนก้าวเข้าสู่แดนพรสวรรค์แล้ว และเปิดการรับรู้จิตวิญญาณ จากนั้นผลการฝึกตนก็พัฒนาขึ้น การรับรู้จิตวิญญาณนับวันจะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น และมักจะเกิดลางสังหรณ์ขึ้นเสมอ
การฝึกตนปิดขังเป็นเวลาสองเดือน เขาสามารถฝึกตนถึงแดนพรสวรรค์ขั้น 9 ได้สำเร็จ เปลี่ยนจากจอมยุทธ์ กลายเป็นจอมยุทธ์ใหญ่
ทว่าตอนที่เขากำลังรักษาความมั่นคงของผลการฝึกตนที่เพิ่งบรรลุมาหมาด ๆ ในหัวของเขาจู่ ๆ ก็ปรากฏใบหน้าของลู่เมิ่งเหยาขึ้นมา ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความโศกเศร้า และมีคราบน้ำตา……
“หรือนางต้องเจอกับปัญหาในสำนักเหลยหวู่ ?”
ถึงแม้ในตอนนั้นจะมีสาเหตุมาจากลู่เฟยเฉินผู้เป็นพ่อของนาง ที่ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองต้องเกิดความบาดหมางกัน
แต่ในใจของหลัวซิว ความรู้สึกที่เขามีต่อลู่เมิ่งเหยาคือความจริงใจ
ถึงแม้จะหมดหนทางที่จะอยู่ร่วมกัน และเป็นคู่รักที่ก้าวเดินไปบนหนทางการฝึกตนด้วยกัน แต่ก็ยังถือว่าเป็นเพื่อนสนิทที่เคยผ่านความยากลำบากมาด้วยกัน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็ไม่อาจฝึกตนปิดขังต่อได้อีก จึงลุกแล้วเดินออกจากห้องลับไป
ตอนแรกที่เขามาถึงองค์กรนักล่ายุทธ์สาขาเขตการปกครองโตว้ไห่ ชายชราระดับฝึกจิตที่ออกมาต้อนรับเขามีชื่อว่าโสว่หยวนโหย่ว เป็นผู้อาวุโสของสาขาเขตการปกครองโตว้ไห่ อยู่ในตำแหน่งพนักงานต้อนรับ
“ท่านโสว่ ช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นในสำนักเหลยหวู่บ้างหรือไม่ ?”
หลัวซิวหาโสว่หยวนโหย่วจนเจอ และเอ่ยปากถามขึ้นทันที
องค์กรนักล่ายุทธ์มีข้อมูลข่าวกรองที่ละเอียดที่สุดอยู่ในมือ ในฐานะที่เป็นสมาชิกอัจฉริยะ รวมไปถึงยังครอบครองขั้นเหลืองระดับสูงอีก หลัวซิวจึงสามารถรับรู้ข่าวสารมากมายได้จากองค์กรโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
เช่นเดียวกับตอนที่เขาได้รับแผนที่โดยย่อของเทือกเขากวนเหลยจากองค์กร ก็เพราะเหตุผลเดียวกัน
ทรัพยากรต่าง ๆ ที่อยู่ในมือขององค์กรนักล่ายุทธ์ อยู่ไกลกินกว่าที่กองกำลังธรรมดา ๆ จะเทียบได้
“หากจะพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในสำนักเหลยหวู่ ดูเหมือนว่าช่วงนี้จะมีอยู่หลายเรื่อง”
โสว่หยวนโหย่วไตร่ตรองเล็กน้อยแล้วพูดว่า : “ประการแรกคือเมื่อสองเดือนก่อน เจ้าสำนักแห่งสำนักเหลยหวู่ เหลยเว่ยหลงและกงซุนเชียนจี ได้สะกดรอยตามจักรพรรดิยุทธ์ซึ่งได้รับบาดเจ็บ และมีผลการฝึกตนที่ถดถอยลง แต่ในที่สุดก็ยังตามตัวกลับมาไม่สำเร็จ
จากนั้นก็มีชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำนามว่าซิวหลัวปรากฏตัวขึ้น มีข่าวลือว่าสักวันเขาจะเหยียบสำนักเหลยหวู่ให้จมดิน และตัดหัวของเหลยเว่ยหลงมาให้ได้
จากนั้น ก่อนหน้านี้ไม่นาน เจ้าสำนักน้อยแห่งสำนักเทียนซานเสว่ เดินทางมายังเขตการปกครองโตว้ไห่ แล้วเข้าเยี่ยมเยียนสำนักเหลยหวู่เพื่อทำการสู่ขอ ได้ยินมาว่าต้องการสู่ขอผู้หญิงที่ชื่อว่าลู่เมิ่งเหยา เดิมทีผู้หญิงคนนี้เป็นลูกสาวของเจ้าสำนักเซียวเหยา”
ข่าวที่อยู่ในมือขององค์กรนักล่ายุทธ์ ทำให้รู้ว่าเด็กหนุ่มชุดคลุมยาวดำนามว่าซิวหลัว อันที่จริงแล้วคือหลัวซิวที่ยืนอยู่ตรงหน้า
ในเมื่อหลัวซิวเคยขู่ว่าจะเหยียบสำนักเหลยหวู่ให้จมดิน และตัดหัวของเจ้าสำนักเหลยเว่ยหลงมาให้ได้ ดังนั้นเมื่อเขาถามถึงข่าวคราวของสำนักเหลยหวู่ โสว่หยวนโหย่วจึงตอบออกมาตรง ๆ
หลัวซิวขมวดคิ้ว ทั้งสามเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสำนักเหลยหวู่ ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับเขาทั้งสิ้น
จักรพรรดิยุทธ์ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่เหลยเว่ยหลงและกงซุนเชียนจีสะกดรอยตาม ไม่ต้องถามกู้ว่าเป็นเหยียนเยว่เอ๋อร์
ส่วนที่เขาคาดเดาสาเหตุที่ทำให้จิตใจของเขาไม่สงบ นั่นเป็นเพราะเกิดปัญหาขึ้นกับลู่เมิ่งเหยา
ตอนนี้เอง หลัวซิวได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจากถนนด้านนอก ดังเข้ามาในองค์กรนักล่ายุทธ์
และในขอบเขตการรับรู้ถึงสิ่งมีชีวิตของหลัวซิว มีลมหายใจของชีวิตที่เขารู้สึกคุ้นเคยปรากฏขึ้น
“เมิ่งเหยา ?”
หลัวซิวขยับร่างกาย และหายตัวไปต่อหน้าต่อตาของโสว่หยวนโหย่ว การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วดุจสายลม เกิดแสงสว่างวาบสีเงินอยู่ใต้ฝ่าเท้า ราวกับกำลังไล่ตามดวงจันทร์บนท้องฟ้า
นี่คือวิชาท่าร่างขั้น 7 ตามลมล่าจันทรา ระหว่างการเคลื่อนไหว มีความเร็วมากกว่าวิชาท่าร่างวิชาเงาเศษสิบช่องหลายเท่านัก
ปิดขังฝึกตนทุกขเวทนาสองเดือน ไม่เพียงแต่เพิ่มระดับผลการฝึกตนเท่านั้น แต่เพิ่งจะบรรลุวิชายุทธ์ขั้น 7 อีกสองวิชา ซึ่งหลัวซิวต้องฝึกฝนอย่างหนัก
เมื่อมีรากฐานที่มั่นคงในวิชายุทธ์ วิชายุทธ์ขั้น 7 ทั้งสองวิชานี้ ต่างก็ฝึกตนถึงแดนบรรลุผลได้ในระยะเวลาอันสั้น
หลังจากรับรู้ถึงลมหายใจของลู่เมิ่งเหยา หลัวซิวก็พุ่งตรงออกจากองค์กรนักล่ายุทธ์โดยไม่คิด ในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงสิบลมหายใจ สายตาของเขาก็มองเห็นลู่เมิ่งเหยา
ใบหน้าของลู่เมิ่งเหยาซีดเผือด ฝีเท้าของนางดูอ่อนแรง และวิ่งโซซัดโซเซมุ่งหน้ามาที่องค์กรนักล่ายุทธ์
ห่างจากนางออกไปไม่ไกลทางด้านหลัง มีผู้ฝึกตนสองสามคนกำลังวิ่งตามมาอย่างรวดเร็ว และตะโกนด่าทอด้วยความโกรธเพื่อให้นางหยุด
ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างหลีกทางให้ พวกเขาจำได้ว่าสัญลักษณ์ที่อยู่บนตัวของผู้ฝึกตนเหล่านี้เป็นของสำนักเหลยหวู่ จึงกลัวว่าจะพลอยติดร่างแหไปด้วย หากล่วงเกินเข้าจะต้องเดือดร้อนเป็นแน่
“ขอแค่ข้าหนีเข้าไปในองค์กรนักล่ายุทธ์ได้ คนของสำนักเหลยหวู่คงไม่กล้าลงมือจับตัวข้าในองค์กรนักล่ายุทธ์อย่างแน่นอน”
เมื่อเห็นว่ากำลังจะหนีเข้าไปในองค์กรนักล่ายุทธ์แล้ว แววตาของลู่เมิ่งเหยาก็เต็มไปด้วยความหวังทันที
“หลัวซิว ?”
มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นต่อหน้านาง ลู่เมิ่งเหยาตกใจ และน้ำเสียงของนางก็สั่นเครือเล็กน้อย
“เมิ่งเหยา เจ้าเป็นอะไรไป ?” หลัวซิวเดินเข้าไปหา เขาขมวดคิ้วแล้วหันมองผู้ฝึกตนของสำนักเหลยหวู่สองสามคนที่วิ่งตามมาทางด้านหลัง
“ลู่เมิ่งเหยา เจ้าเป็นศิษย์ใจกลาง แต่กลับเห็นแก่ตัวและหนีออกมาจากสำนักเช่นนี้ ยังไม่รีบสารภาพความผิดแล้วตามพวกเรากลับไปรับโทษแต่โดยดีอีกหรือ ?”
ผู้ฝึกตนสี่คนวิ่งตามมา หนึ่งในนั้นตะโกนขึ้นเสียงดัง
หลัวซิวรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับลู่เมิ่งเหยาในสำนักเหลยหวู่แล้ว นางหลบหนีออกมาจากสำนักเหลยหวู่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นเพราะไม่ต้องการแต่งงานกับเจ้าสำนักน้อยแห่งสำนักเทียนซานเสว่
ดังนั้น เขาจึงเดินตรงไปข้างหน้า แล้วใช้สายตาเย็นชาจ้องมองผู้ฝึกตนทั้งสี่ของสำนักเหลยหวู่ แล้วพูดออกมาเพียงคำเดียวว่า “ไสหัวไป !”
ในบรรดาทั้งสี่คนนี้ มีสองคนอยู่ในแดนพรสวรรค์ขั้น 7 หนึ่งคนอยู่ในแดนพรสวรรค์ขั้น 8 และอีกหนึ่งคนเป็นจอมยุทธ์ใหญ่ในแดนพรสวรรค์ขั้น 9
หลัวซิวเองก็สังเกตเห็น ผลการฝึกตนของลู่เมิ่งเหยาบรรลุถึงแดนพรสวรรค์ขั้น 2 ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ
เพราะก่อนที่ลู่เมิ่งเหยาจะเป็นโรคชีพจรขาดธาตุไฟ ตัวนางเองเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์สูงมาก และเคยอยู่ห่างจากการบรรลุถึงแดนพรสวรรค์เพียงก้าวเดียวเท่านั้น
หลังจากโรคชีพจรขาดธาตุไฟหายดีแล้ว นางก็สามารถบรรลุถึงแดนพรสวรรค์ได้รวดเร็วเช่นนี้ ถือเป็นเรื่องปกติ
“เจ้าสวะ คนอย่างเจ้าคิดจะทำตัวเป็นผู้กล้าช่วยสาวงามอย่างนั้นหรือ ? เจ้ากล้ายุ่งเรื่องของสำนักเหลยหวู่เราอย่างนั้นหรือ ? ฆ่ามัน !”
ใบหน้าของจอมยุทธ์ใหญ่ผู้เป็นหัวหน้าเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า เขาออกคำสั่งกับจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ที่ยืนอยู่ด้านข้างทั้งสามคน
จอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ทั้งสามคนสำแดงวิชาท่าร่างโดยไม่รอช้า พวกเขาชักกระบี่ออกมา แล้วพุ่งตรงเข้าไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
ในเขตการปกครองโตว้ไห่แห่งนี้ ไม่มีใครกล้าแสดงท่าทีหยิ่งยโสต่อหน้าคนของสำนักเหลยหวู่เช่นนี้ พวกโง่เช่นนี้ถือว่ามีอยู่น้อยนัก
ไม่ต้องพูดว่าคนพวกนี้มาเพื่อจับตัวลู่เมิ่งเหยา ต่อให้ไม่ใช่ แค่เพียงเพราะสาเหตุเรื่องเหยียนเยว่เอ๋อร์ หลัวซิวก็ไม่คิดจะญาติดีกับสำนักเหลยหวู่เลยแม้แต่น้อย มีให้เพียงแค่เจตนาฆ่าเท่านั้น
เขาขยับร่างกาย ไม่ได้หยิบกระบี่ออกมา ทำเพียงแค่กางนิ้วทั้งห้าออก แล้วรวบรวมเพลิงมรณะ รวมตัวออกมาเป็นปราณกระบี่เปลวไฟดำห้าสาย และพุ่งเข้าไปห่อหุ้มจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ทั้งสามเอาไว้ทันที
ลมหายใจแห่งความตายที่เย็นเยือกค่อย ๆ แผ่ซ่านออกมาอย่างน่ากลัว !
“ฟึบ !”
จอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ขั้น 7 คนหนึ่งยังไม่ทันจะได้ตั้งสติ ร่างกายของเขาก็ถูกปราณกระบี่เปลวไฟดำทั่งห้าสายฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ทันที เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นไปทั่ว
“เขาคือจอมยุทธ์ใหญ่……”
จอมยุทธ์แดนพรสวรรค์ขั้น 8 ผู้นั้นสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่หลัวซิวปล่อยออกมา สีหน้าของเขาตกตะลึง เพียงแต่เขายังไม่ทันจะพูดจบ ปราณกระบี่เปลวไฟดำที่น่ากลัวทั้งห้าสายก็พุ่งตรงเข้ามาทันที จากนั้นก็เกิดเสียงดังฟึบ เขาลงไปนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นด้วยร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลทันที
ส่วนจอมยุทธ์แดนพรสวรรค์อีกคนที่เหลือ หลัวซิวใช้กำปั้นทุบออกไป เกิดเสียงดังเช้ง ดาบชั้นกลางที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายแหลกละเอียดทันที
ปราณแท้ที่ปกป้องร่างกายเปรียบเสมือนกระดาษหนึ่งแผ่น เมื่อถูกกำปั้นทุบทำลายในทันที หน้าอกของเขาก็ถูกกำปั้นของหลัวซิวทุบจนยุบลงไป ส่วนร่างของเขาลอยกระเด็นออกไปไกลหลายร้อยเมตร เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็น และตายในทันที
จอมยุทธ์ที่ถือว่าเป็นยอดฝีมือในแดนพรสวรรค์ช่วงท้ายทั้งสามคน ถูกฆ่าตายในการเผชิญหน้ากับเขาเพียงครั้งเดียว โดยไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะต่อต้านเลยแม้แต่น้อย
########################